มิติประวัติศาสตร์ของกลุ่มชาติพันธุ์ :
การศึกษากลุ่มคนไทใหญ่ในเชิงมิติทางประวัติศาสตร์ในยุครัฐชาติ อาจแบ่งได้เป็นสองแนวทางดังนี้ แนวทางแรก การศึกษาประวัติศาสตร์และพัฒนาการทางการเมืองของประเทศพม่า และแนวทางที่สอง การศึกษาพัฒนาการทางการเมืองที่เกี่ยวข้องกับชายแดนและการจัดการกับประชากรในประเทศไทย โดยมีรายละเอียด ดังนี้
แนวทางแรก การศึกษาประวัติศาสตร์และพัฒนาการทางการเมืองของประเทศพม่า สังคมไตยุคจารีตเป็นสังคมเกษตรกรรม แรงงานเพื่อการผลิตเป็นสิ่งจำเป็น ช่วงอายุของคนหนุ่มจึงเป็นช่วงที่ยาวนานกว่าช่วงอื่น หน้าที่ทางสังคมของคนไตมักสัมพันธ์กับเพศและช่วงอายุ ในงานศึกษาเรื่อง สังคมและวัฒนธรรมไทบ้านใหม่หมอกจ๋าม ของนงนุช จันทราภัย และเรณู วิชาศิลป์ (2541) กล่าวถึงเพศ และ วัยของชาวไตบ้านใหม่หมอกจ๋ามว่า เพศและวัยเป็นองค์ประกอบสำคัญในการจัดระบบช่วงวัย (Age – grade system) ในสังคมไต การเป็นสมาชิกในกลุ่มชาติพันธุ์ ทำให้สมาชิกต่างผ่านกระบวนการการขัดเกลาทางสังคม (Socialization) และมาตรการควบคุมทางสังคม (Social Control) ตามลำดับช่วงวัยของตน การจัดระบบช่วงวัยจึงเป็นกลไกในการผลิตสมาชิกให้เหมาะสมกับระบบสังคมเกษตรกรรมที่ต้องพึ่งพาตนเองเป็นหลัก สมาชิกของสังคมจะถูกจำแนกกลุ่มตามแรงงานและสติปัญญา เพื่อพัฒนาไปสู่วัยที่สูงกว่าระบบช่วงวัยจึงมีความสำคัญต่อการสร้างคุณสมบัติและเอกลักษณ์ของการเป็นสมาชิกกลุ่มชาติพันธุ์ (นงนุช จันทราภัยและเรณู วิชาศิลป์, 2541,306)
การเปลี่ยนแปลงทางสังคมวัฒนธรรมครั้งใหญ่ในรัฐฉานเกิดขึ้นหลังจากที่อังกฤษยึดพม่าทั้งหมดรวมทั้งรัฐฉานได้อย่างเบ็ดเสร็จในปี พ.ศ. 2429 รัฐบาลอังกฤษใช้วิธีการแบ่งแยกกลุ่มชาติพันธุ์ต่าง ๆ ออกเป็นกลุ่ม ๆ เพื่อให้ง่ายต่อการปกครอง อาณานิคมอังกฤษได้นำความเปลี่ยนแปลงมาสู่รัฐฉานสองประการ ดังนี้
ประการแรก การเปลี่ยนแปลงรูปแบบการปกครองแบบรัฐชาติสมัยใหม่ โดยช่วงทศวรรษที่ 2460 อังกฤษได้เปลี่ยนรูปการปกครองในรัฐฉานใหม่ รวบรวมหัวเมืองต่าง ๆ กว่า 33 หัวเมืองสถาปนาโครงสร้างการปกครองรัฐฉานรูปแบบใหม่ที่เรียกว่า “สหพันธรัฐฉาน” (Federated Shan State) จัดตั้งสภาผู้นำแห่งสหพันธรัฐฉาน (Federal Council of Shan Chiefs) ขึ้นเป็นหน่วยปกครองหลักมีสมาชิกสภาประกอบไปด้วยเจ้าฟ้าเมืองต่าง ๆ ทำหน้าที่ดูแลกิจการภายในและงบประมาณของรัฐ แต่ทั้งหมดต้องอยู่ภายใต้การควบคุมของรัฐบาลอังกฤษ การปกครองแบบรัฐสมัยใหม่ของอังกฤษทำให้ความเป็น “รัฐฉาน” ในทางการเมืองการปกครองเริ่มก่อตัวเป็นรูปเป็นร่างขึ้น สร้างสำนึกทางชาติพันธุ์ที่ไปไกลกว่ายุคจารีตที่สำนึกทางชาติพันธุ์นั้นเชื่อมโยงเฉพาะเมืองต่าง ๆ อย่างเป็นเอกเทศ ผ่านตำนานเรื่องเล่าประจำเมือง ไม่ได้เชื่อมโยงกับความเป็นชาติพันธุ์ไตโดยรวมเหมือนรัฐฉาน.
ประการที่สอง การเปลี่ยนแปลงไปสู่ความทันสมัย ทั้งด้านการศึกษา การค้าเสรี การคมนาคม และเทคโนโลยีด้านต่าง ๆรัฐบาลอังกฤษได้ตัดถนน สร้างทางรถไฟ โรงเรียน โรงพยาบาล นำวัฒนธรรมตะวันตกมาเผยแพร่ อังกฤษเปิดบริษัทค้าไม้สัก ทำเหมืองแร่ โดยแบ่งรายได้ส่วนหนึ่งให้กับพวกเจ้าฟ้า และค่าจ้างให้กับชนชนชั้นแรงงานในรัฐฉาน ดังนั้นภายใต้การปกครองของอังกฤษที่ยาวนานกว่า 70 ปี จึงเป็นช่วงของการปะทะสังสรรค์ระหว่างวัฒนธรรมตะวันตกและวัฒนธรรมท้องถิ่นของไต วิถีชีวิตของคนไต เคลื่อนจากสังคมเกษตร เปิดรับสิ่งใหม่ ๆ เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิต
ในระดับชาวบ้าน สิ่งที่เข้ามาเปลี่ยนวิถีชีวิตของพวกเขาในช่วงอาณานิคม ไม่ใช่การศึกษาเนื่องจากการศึกษายังกระจุกอยู่กับชนชั้นปกครองเท่านั้น แต่เป็นระบบเศรษฐกิจการค้าสมัยใหม่โดยเฉพาะการค้าไม้และสินแร่ จากการพัฒนาระบบการคมนาคมที่สะดวกสบายมากขึ้น กิจกรรมการค้ารุ่งเรืองในรัฐฉานเป็นอย่างมาก เกิดคาราวานพ่อค้าไต หรือ พ่อค้าวัวต่างที่ออกเดินทางไปค้าขายยังที่ต่าง ๆ กลายเป็นกิจกรรมทางสังคมที่ทำให้คนหนุ่มคนสาวในยุคนั้น (วราภรณ์ เรืองศรี, 2557; นิติ ภวัครพันธุ์, 2558) การเปลี่ยนรูปแบบการปกครองไปสู่รัฐชาติสมัยใหม่ และการเปิดรับความทันสมัยทำให้สังคมและวัฒนธรรม ของรัฐฉานเปลี่ยนไป เป็นสังคมที่เปิดกว้างผสมผสานระหว่างความทันสมัยและจารีตนิยม
ต่อมายุคหลังสงครามโลกครั้งที่สอง ความขัดแย้งทางชาติพันธุ์ในพม่าทวีความรุนแรงมากขึ้น รัฐฉาน ตกลงทำสัญญาปางโหลงกับรัฐพม่าและรัฐชาติพันธุ์อื่น ๆ เพื่อขอเอกราชจากอังกฤษภายใต้เงื่อนไขว่ารัฐฉานมีสิทธิแยกตัวออกจากสหภาพได้หากอยู่ร่วมกันครบ 10 ปี สิทธิการแยกตัวนี้ถูกที่ระบุไว้ในรัฐธรรมนูญฉบับแรกของสหภาพพม่า (พ.ศ. 2491-2505) กระนั้นก็ตามภายใต้สหภาพพม่า นโยบายการบริหารสหภาพบางประการ สร้างผลกระทบต่อกลุ่มชาติพันธุ์ไม่น้อย จากฐานคิดเรื่องการหลอมรวมชนในชาติให้เป็นเอกภาพ ละเลยความหลากหลายทางชาติพันธุ์ ทำให้ปัญหาความขัดแย้งทางด้านชาติพันธุ์เริ่มรุนแรงมากยิ่งขึ้นประกอบกับการเมืองในระดับโลกที่กำลังขับเคี่ยวกันภายใตสงครามตัวแทนระหว่างฝ่ายประชาธิปไตย (เสรีนิยม)กับฝ่ายคอมมิวนิสต์ (สังคมนิยม) พม่ากับรัฐฉานจึงกลายเป็นสมรภูมิรบทั้งจากกลุ่มชาติพันธุ์และกลุ่มมหาอำนาจ
ต่อมาในช่วงเผด็จการทหาร (พ.ศ. 2505 - 2553) ปัญหาความขัดแย้งระหว่างกลุ่มชาติพันธุ์ในพม่าได้ทวีความรุนแรงมากขึ้นจนกลายเป็นสงครามกลางเมือง เผด็จการทหารปรับนโยบายเศรษฐกิจของประเทศมาเป็นสังคมนิยมภายใต้ชื่อว่า “สังคมนิยมวิถีพม่า” (The Burmese Way to Socialism) แล้วยึดกิจการต่าง ๆ ของภาคเอกชนมาเป็นของรัฐนั้น ส่งผลให้ภาคเศรษฐกิจสังคมการเมืองของพม่าพังทลายลง ในรัฐฉานเกิดขบวนการกู้ชาตินำโดยกลุ่มทหาร นักศึกษา พระสงฆ์ รวมถึงชาวบ้าน รัฐบาลทหารพม่าได้ใช้ยุทธวิธีทางการทหารเข้าปราบปราม ในการตัดกำลังของกองกำลังกู้ชาติกลุ่มต่าง ๆ ด้วยการละเมิดสิทธิมนุษยชนผ่านการคุกคามทางเพศ การเกณฑ์ทหาร การบังคับโยกย้ายถิ่นฐานและใช้แรงงานทาส รัฐฉานจึงไม่ใช่ดินแดนที่น่าอยู่สำหรับชาวไตบางกลุ่ม การอพยพโยกย้ายเข้ามาในประเทศไทยจึงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง
จากรายงานมูลนิธิสิทธิมนุษยชนชาวไต (Shan Human Right Foundation: SHRF) ในปี พ.ศ. 2539 ชี้ว่า ผู้นำของพม่าได้ใช้กำลังบังคับประชาชนจากหมู่บ้านในภาคกลางของรัฐฉานกว่า 1,400 แห่งให้ย้ายออกจากถิ่นที่อยู่อาศัย ชาวไตที่ส่วนใหญ่เป็นเกษตรกรถูกบังคับให้ย้ายออกจากที่ทำกินเดิมเพื่อไปอยู่ที่ใหม่ในเมืองที่รัฐบาลตระเตรียมไว้ให้ ทำให้สูญเสียที่ทำกินและทรัพย์สินที่เคยครอบครอง ประมาณว่าในปีนั้นมีประชาชนจากรัฐฉานมากกว่า 300,000 คนถูกบังคับย้ายถิ่น และระหว่างปี พ.ศ. 2539-2540 ประมาณว่ามีชาวไตถึง 80,000 คนหนีเข้ามาอยู่ในประเทศไทย (SWAN, 2546)
ต่อมาในยุครัฐบาลกึ่งพลเรือนกึ่งทหารในปัจจุบัน (พ.ศ. 2553 - ปัจจุบัน) พม่าได้ปฏิรูปประเทศเปลี่ยนการปกครองจากดเผด็จการทหารมาเป็นการปกครองกึ่งทหารกึ่งพลเรือน เปิดประเทศและเปิดรับการลงทุนจากต่างประเทศมากขึ้น ในลักษณะกึ่งปิดกึ่งเปิดทางการปกครองเช่นนี้และการเข้ามาของทุนต่างชาติ ได้ก่อให้เกิดปัญหาร่วมสมัยคือ การเข้ามาตักตวงทรัพยากรธรรมชาติ เช่น การทำเหมือง การทำเขื่อน เป็นต้น นำมาสู่การยึดที่ดินของชาวบ้าน โดยเฉพาะในพื้นที่ของกลุ่มชาติพันธุ์ซึ่งเป็นเขตที่อุดมไปด้วยทรัพยากรธรรมชาติ การเปิดประเทศและการจะพัฒนาไปสู่ความเป็นประชาธิปไตย ทำให้องค์กรต่าง ๆ สามารถมีพื้นที่ในการเคลื่อนไหวทางสังคมได้อย่างอิสระมากขึ้น
แนวทางที่สอง การศึกษาพัฒนาการทางการเมืองที่เกี่ยวข้องกับชายแดนและการจัดการกับประชากรในประเทศไทย คนไทใหญ่จำนวนหนึ่งอาศัยอยู่ในดินแดนล้านนาและบางส่วนในประเทศไทยมาตั้งแต่ก่อนยุครัฐชาติ คนกลุ่มนั้นก็ผสมกลมกลืนกลายเป็นพลเมืองไทยได้ไม่ยาก เพราะมีวัฒนธรรมคล้ายคลึงกันทั้งทางภาษา ศาสนา วัฒนธรรม รวมถึงอาหาร
นับในช่วงหลังยุครัฐชาติ ปี พ.ศ. 2501 เป็นช่วงที่ความขัดแย้งทางด้านชาติพันธุ์ในพม่าเริ่ม]ลุกลาม ในรัฐฉานเริ่มมีกลุ่มกองกำลังกู้ชาติจำนวนหนึ่งเกิดขึ้นเพื่อต่อสู้เรียกร้องเอกราชจากพม่า กองกำลังเหล่านี้เข้ามาอาศัยชายแดนไทย – พม่า เป็นฐานบัญชาการ ประกอบกับรัฐไทยในขณะนั้นต้องการป้องกันการเข้ามาของคอมมิวนิสต์จากจีน จึงได้อาศัยกองกำลังกู้ชาติไตเป็นรัฐกันชน(Buffer state) ตั้งแต่ชายแดนจังหวัดเชียงราย ถึงชายแดนจังหวัดแม่ฮ่องสอน ยาวนานกว่า 40 ปี เป็นช่วงที่ชายแดนไทย-พม่าเต็มไปด้วยภัยสงครามระหว่างกองกำลังกลุ่มชาติพันธุ์และรัฐบาลเผด็จการพม่า นอกจากนั้นยังมีปัญหายาเสพติดที่ระบาดหนักและปัญหาการทะลักเข้ามาของผู้อพยพจากพม่า พื้นที่ชายแดนจึงเต็มไปด้วยชุมชนของผู้อพยพและค่ายลี้ภัย
การที่กองกำลังกู้ชาติไตเข้ามาอาศัยบริเวณชายแดนเป็นฐานบัญชาการนั้น ได้ก่อให้เกิดชุมชนชาวไตอพยพหลายชุมชนขึ้นทั้งฝั่งไทยและพม่า เพื่อรองรับครอบครัวของทหารและชาวบ้านที่อพยพหนีภัยสงครามเข้ามา ชุมชนเหล่านี้บางแห่งมีสถานะเป็นรัฐซ้อนรัฐไม่อยู่ในการควบคุมทั้งจากรัฐไทยและพม่า บางพื้นที่ถูกประกาศเป็นรัฐอิสระไม่ขึ้นตรงต่อทั้งรัฐไทยและรัฐพม่า แต่อยู่ในการควบคุมของกองทัพ ที่สามารถจัดองค์กรทางการเมืองและวัฒนธรรมของตนเองขึ้นมาได้ เช่น โรงเรียน โรงพิมพ์ โรงพยาบาล ศูนย์ฝึกทหาร เป็นต้น นอกจากนั้นยังมีชาวไตอพยพอีกจำนวนมากที่อพยพกระจายตัวกันอยู่ตามชายแดนจังหวัดเชียงใหม่ เช่น อำเภอเชียงดาว อำเภอฝาง อำเภอไชยปราการ อำเภอแม่อาย และอำเภอเวียงแหง ในชุมชนชายแดนของไทย ใช้ชีวิตร่วมกับคนไทยและกลุ่มคนอื่น ๆ บริเวณชายแดน หรือสร้างชุมชนของตนเองขึ้นมาใหม่ในที่รกร้างว่างเปล่าตามชายแดน ชาวไตอพยพกลุ่มนี้ไม่ค่อยได้รับผลกระทบจากกองกำลังกู้ชาติมากนัก เนื่องจากไม่ได้อยู่ในพื้นที่ควบคุมของกองกำลังกู้ชาติ ทำให้ผู้อพยพจำนวนมากสามารถกลมกลืนเข้ากับชุมชนชายแดนของไทยได้ เนื่องจากมีภาษาและวัฒนธรรมที่ใกล้เคียงกันดังนั้นชุมชนที่อพยพเข้ามา สถานทางบุคคล การศึกษา ช่วงชั้นอายุ ที่มีความแตกต่างกันของผู้อพยพมาในช่วงนี้ จึงทำให้วิถีชีวิตของคนผู้อพยพแต่ละคนในแต่ละพื้นที่แตกต่างกัน
การศึกษาวิถีชีวิตของคนไทใหญ่ในช่วงนี้ปรากฎผ่านงานศึกษาเรื่อง “กระบวนการสร้างอัตลักษณ์ทางชาติพันธุ์ของชาวไทใหญ่ชายแดนไทย-พม่า กรณีศึกษาหมู่บ้านเปียงหลวง อำเภอเวียงแหง จังหวัดเชียงใหม่” ของวันดี สันติวุฒิเมธี (2545) เป็นงานศึกษาเกี่ยวกับชุมชนชาวไตอพยพที่ให้รายละเอียดของการเปลี่ยนแปลงภายในชุมชนได้ละเอียด ระหว่างปี พ.ศ. 2501 – 2544 และงานศึกษาเรื่อง สังคมและวัฒนธรรมไทบ้านใหม่หมอกจ๋าม ของนงนุช จันทราภัย และเรณู วิชาศิลป์ (2541) มักฉายภาพให้เห็นถึงพัฒนาการของการโยกย้ายตั้งถิ่นฐาน การปรับตัวให้เข้ากับสังคมไทย รวมทั้งการปรับตัวทางวัฒนธรรม ประเพณีและอัตลักษณ์ทางชาติพันธุ์ของพวกเขา หลังจากนั้นการศึกษาเกี่ยวกับคนไทใหญ่ในช่วงสามทษวรรษที่ผ่านมาได้ขยับมาศึกษาชาวไทใหญ่ที่อพยพเข้ามาเป็นแรงงานข้ามชาติในประเทศไทย
อาจจะกล่าวได้ว่า ปัจจุบันประชากรไทใหญ่ในประเทศไทยจำแนกออกเป็น 2 กลุ่มใหญ่ กลุ่มแรก เป็นคนไทใหญ่ที่อาศัยอยู่ในดินแดนแถบนี้มานานตั้งแต่ยุคจารีต มาจนถึงยุคก่อนรัฐชาติ และยุคก่อตัวของรัฐชาติ ซึ่งคนไทใหญ่กลุ่มนี้บางส่วนได้ผสมกลมกลืนเข้ากับสังคมวัฒนธรรมไทย จนกลายเป็นพลเมืองไทย โดยเฉพาะกลุ่มที่เป็นลูกหลานของคนไทใหญ่ในยุคแรก ๆ ส่วนกลุ่มที่สอง เป็นกลุ่มคนไทใหญ่ที่อพยพมาหลังยุคสร้างชาติในช่วงสามทศวรรษที่ผ่านมา คนไทใหญ่กลุ่มนี้บางส่วนยังมีความเชื่อมโยงกับไทใหญ่ในพม่า บางส่วนสามารถสามารถตั้งถิ่นฐานในประเทศไทยได้แล้ว และบางส่วนยังดำรงชีพด้วยการเป็นแรงงานข้ามชาติในประเทศไทย
รูปแบบการตั้งถิ่นฐาน :
รูปแบบการตั้งถิ่นฐาน
ลักษณะทางภูมิทัศน์วัฒนธรรมของชุมชนไทใหญ่ (ในจังหวัดแม่ฮ่องสอน) โดยได้แสดงให้เห็นถึงภูมิทัศน์วัฒนธรรมชุมชนไทใหญ่ตั้งแต่อดีต และการเปลี่ยนแปลงในปัจจุบัน (ชัยสิทธิ์ ด่านกิตติกุล และสิงหนาท แสงสีหนาท, 2549) โดยสรุปได้ดังนี้
การเลือกพื้นที่ตั้งบ้านเรือน
อดีตโดยทั่วไปชาวไทใหญ่มักจะตั้งถิ่นฐานในที่ราบหุบเขาซึ่งมีแม่น้ำไหลผ่าน ที่ราบระหว่างหรือเนินเตี้ยๆ เนื่องจากชาวไทใหญ่เป็นกลุ่มที่มีความชำนาญในการปลูกข้าวบนที่ราบ จึงเลือกที่จะตั้งถิ่นฐานบนที่ราบใกล้แหล่งน้ำ เพื่อปลูกข้าวและสร้างที่อยู่อาศัย นอกจากนั้นการสร้างเหมืองฝายเป็นเอกลักษณ์หนึ่งของชาวไทใหญ่ โดยเลือกตำแหน่งเหมืองฝายที่สามารถที่สามารถผันน้ำเข้าสู่พื้นที่ชุมชนได้ ทั้งนี้ลักษณะการวางผังชุมชนมักจะกลมกลืนไป ลักษณะภูมิประเทศ ไม่รุกล้ำพื้นที่ธรรมชาติ
ปัจจุบัน การตั้งถิ่นฐานของชาวไทใหญ่ยังมีความคล้ายคลึงกับอดีต กล่าวคือยังคงเป็นที่ราบใกล้แม่น้ำ เนื่องจากลักษณะทางภูมิประเทศส่วนใหญ่เป็นหุบเขามีที่ราบน้อย จึงเป็นข้อจำกัดของการขยายที่อยู่อาศัย ชุมชนจึงยังคงลักษณะเดิมไว้อยู่ จึงกล่าวได้ว่าแบบแผนทางภูมิทัศน์วัฒนธรรมในระดับการตั้งถิ่นฐาน ที่ปรากฏในปัจจุบันยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงออกไปจากแบบแผนดั้งเดิมของชาวไทใหญ่มากนัก อย่างไรก็ตาม ก็ยังมีความเปลี่ยนแปลงในด้านความสัมพันธ์ระหว่างชุมชนกับสภาพแวดล้อมในบางพื้นที่ เช่น การใช้น้ำจากระบบชลประทานอ่างเก็บน้ำในการทำเกษตรกรรมแทนการผันน้ำแบบเดิม ทำให้ความผูกพันกับน้ำลดลง
แบบแผนการสร้างบ้านเรือน
อดีต ลักษณะการวางผังชุมชนของชาวไทใหญ่ดั้งเดิม มีทิศทางไม่ชัดเจน มักจะวางเป็นรูปตาข่ายที่กลมกลืนไปกับลักษณะภูมิประเทศ การใช้ประโยชน์ที่ดินเป็นไปเพื่อการทำเกษตรกรรม ใกล้แหล่งน้ำและที่อยู่อาศัย ชุมชนไทใหญ่มีองค์ประกอบโดยทั่วไป ได้แก่
ศาสนสถาน ตั้งอยู่กึ่งกลางชุมชน หรือตำแหน่งที่สูงเด่นมองเห็นชัด เรียกว่า “ตำแหน่งมหาฐาน” ตามความเชื่อเดิม
ศาลเจ้าเมือง หรือเรียกว่า “เสื้อบ้าน” “เสื้อเมือง” ตั้งอยู่กึ่งกลางชุมชน เป็นที่แสดงออกถึงการเคารพสักการะบรรพชนผู้ล่วงลับ ทั้งบรรพชนในตำนานและผู้ก่อตั้งหมู่บ้าน ที่ได้รับการยกย่องให้เป็นเทพประจำหมู่บ้าน
ใจบ้าน เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของชุมชน มักจะตั้งกึ่งกลางหมู่บ้าน บริเวณใต้ต้นไม้ใหญ่ ให้ความร่มเย็นและความอบอุ่นทางใจ อาจอยู่บริเวณเดียวกับศาลเจ้าเมือง เป็นสถานที่ที่มีกฎระเบียบเคร่งครัด เป็นที่ประกอบพิธีกรรมหรือกิจกรรมตามประเพณีสำคัญของหมู่บ้าน
สุสาน เป็นสถานที่สำหรับประกอบพิธีกรรมเกี่ยวกับคนตาย โดยจะตั้งไว้ในพื้นที่ห่างจากชุมชน
ปัจจุบัน แบบแผนการสร้างบ้านเรือนลักษณะบ้านเรือนและสถาปัตยกรรมขอบชุมชนไทใหญ่มีความเปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัย ในด้านการวางผังชุมชน ปัจจุบันแม้ว่าจะคงไว้ซึ่งองค์ประกอบสำคัญของชุมชน เช่นศาสนสถาน หอเจ้าเมือง และใจบ้าน แต่องค์ประกอบเหล่านี้ก็เริ่มลดบทบาทลง จากที่เคยเป็นสถานที่ศูนย์กลางของชุมชน ได้มีสถานที่อื่นเข้ามามีบทบาทแทน คือ ศาลากลางบ้าน ศาลาอเนกประสงค์ หรือศาลาประชาคม กลายเป็นสถานที่ใหม่สำหรับการพบปะหารือ การมีส่วนร่วมในการพัฒนาของคนในชุมชน นอกจากนั้นภูมิทัศน์ภายในชุมชน ได้มีการรับเอาวัฒนธรรมที่ทันสมัยเข้ามาในการสร้างเรือนพักอาศัย ทำให้ภูมิทัศน์มีทั้งบ้านเรือนรูปแบบดั้งเดิมและทันสมัยอยู่ในชุมชน อีกทั้งมีการเปลี่ยนแปลงรูปแบบเส้นทางคมนาคม จากการเดินเท้ามาสู่การใช้รถจักรยานยนต์และรถยนต์ ส่งผลให้รูปแบบการคมนาคมจากเดิมที่เป็นรูปตาข่าย กลายเป็นตารางตามรูปแบบการสร้างถนนโดยใช้คอนกรีต
โครงสร้างบ้านเรือนและการแบ่งพื้นที่ใช้ประโยชน์
ชาวไทใหญ่เรียกบ้านที่อยู่อาศัยว่า “เฮิน” เป็นเรือนเครื่องผูกด้วยโครงสร้างหลักจากไม้จริง ยกพื้นสูง ใต้ถุนโล่งระบายอากาศได้ดี หลังคาจั่วมีความลาดชันยาวปกคลุมตัวบ้าน เพื่อกันแดด ลม ฝน มีชายคาปีกนกคลุมจั่วทั้งด้านหน้าและหลัง นอกจากนั้นยังมีชานบันได้และบันไดขึ้นทางหน้าบ้าน หลังคาคลุมใบตองตึงเหมาะสมกับอากาศที่ร้อนตอนกลางวัน การใช้สอยพื้นที่ของเรือนอาศัย มีส่วนประกอบสำคัญ ได้แก่ ตัวเรือนใหญ่ติดกับชานบ้าน ชานเปิดโล่งในบ้าน หรือเรียกว่า “เติน” ครัว หรือเรียกว่า “แม่เตาไฟ” และส่วนเก็บข้าวเปลือก ซึ่งการแบ่งสัดส่วนภายในเรือนพักอาศัยของชาวไทใหญ่ มีชื่อเรียกดังนี้ (ปุ่น เที่ยงบูรณธรรม, 2553)
เฮินโหลง คือ ตัวเรือนใหญ่ ลุก คือ ห้องนอน ห้องข่ามแขก คือ โถงรับแขก ส่องไพ คือ ครัวชานใหญ่ หัวเข่งหมา คือ ชานเล็ก หยองข้าว คือ ยุ้งข้าว เข่งน้ำ คือ หิ้งหม้อน้ำ เข่งเจ้าพารา คือ หิ้งพระ ชึ้นไหล คือ บันได
ลักษณะเรือนอาศัยของชาวไทใหญ่แบ่งเป็นสองรูปแบบ ได้แก่
เรือนแบบจั่วเดียว เรียกว่า “เฮินโหลงดอยเหลียว” มีหลังคาเดียว อาจมียุ้งข้าวอยู่ใต้ชายคาเดียวกัน
เรือนแบบจั่วแฝด เรียกว่า “เฮินโหลงสองส่อง” หลังคาแฝดชิดกัน มีรางรินตรงกลางเพื่อระบายน้ำ อาจมียุ้งข้าวใต้ชายคาเดียวกัน หรือแยกออกจากตัวบ้าน (ดูเพิ่มเติม ฐานข้อมูลเรือนพื้นถิ่นในประเทศไทย)
การวางผังเรือนอาศัยของชาวไทใหญ่มีลักษณะไม่แน่นอน มีความแตกต่างกันของการจัดวางพื้นที่ตามดวงชะตาของเจ้าบ้าน ตามหลักวิชา “มหาทักษา” คัมภีร์โบราณที่จำแนกลักษณะการวางตำแหน่งพื้นที่ในบ้านตามวันเกิดเจ้าบ้าน
เรือนพักอาศัยของชาวไทใหญ่ในปัจจุบันจะเป็นรูปแบบที่ทันสมัยขึ้น เนื่องจากชาวไทใหญ่ในปัจจุบันมีวิถีชีวิตที่เปลี่ยนไป เป็นผลมาจากการรับวัฒนธรรมใหม่จากการสื่อสาร การเรียนรู้ระบบการศึกษาสมัยใหม่ การย้ายถิ่นเข้ามาของกลุ่มชาติพันธุ์อื่นๆ และการแต่งงานข้ามชาติพันธุ์ ทำให้วิถีชีวิต ค่านิยมเปลี่ยนแปลงไป โดยเฉพาะการเปลี่ยนแปลงของรูปแบบสถาปัตยกรรมบ้านเรือนที่พักอาศัย จะเห็นว่าเรือนพักอาศัยของชาวไทใหญ่เป็นแบบสมัยใหม่ มีสองชั้นหลังคาหน้าจั่วหรือปั้นหยา ชายคาสั้น ช่องเปิดแบบบานเปิด ลูกฟักกระจก สัดส่วนอาคารขนาดใหญ่ ตัวอาคารสร้างติดพื้นดิน การใช้วัสดุก่อสร้างจะใช้วัสดุที่คงทนแข็งแรง มากกว่าวัสดุธรรมชาติ เช่น สังกะสี คอนกรีต หิน อิฐ กระเบื้องมุงหลังคา เป็นต้น ในด้านการใช้สอยพื้นที่ จะมีความเป็นส่วนตัวมากขึ้น มีโรงจอดรถภายในบริเวณบ้าน มีจำนวนห้องมากขึ้น แบ่งพื้นที่ใช้สอยในบ้านแบบเดียวกันคนในเมือง เช่น ส่วนรับแขก ส่วนนั่ง ส่วนรับประทานอาหาร เป็นต้น
นอกจากชาวไทใหญ่จะมีการออกแบบบ้านเรือนแล้ว ยังได้สร้างงานศิลปกรรมที่มีความหลากหลาย โดยเฉพาะการสร้างวัดแบบไทใหญ่โดยได้รับอิทธิมาจากราชสำนักพม่าประกอบเข้ากับความถนัดของตน
ซึ่งงานศิลปกรรมของชาวไทใหญ่ในล้านนามี 6 ประเภท ได้แก่
1. งานแกะสลักไม้ งานแกะสลักไม้ที่โด่งดังของชาวไทใหญ่ คือ ซุ้มบันไดวิหารวัดศรีชุม จังหวัดลำปาง เป็นงานแกะสลักเป็นลายพรรณพฤกษาและรูปตุ๊กตาแต่งกายแบบพม่า ผสมศิลปะตะวันตก
2. งานก่ออิฐถือปูน ได้รับอิทธิพลจากศิลปกรรมแบบพม่า เนื่องจากชาวพม่าเป็นผู้เชี่ยวชาญในการสร้างอาคารด้วยอิฐ รู้จักวิธีก่อสันโค้งที่ช่วยให้โครงอาคารมีความแข็งแรงมากกว่าการก่อแบบสันเหลื่อมที่นิยมในกลุ่มเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งตั้งแต่สมัยพุกามที่ชาวพม่านิยมสร้างเจดีย์โดยการก่ออิฐถือปูน เจดีย์พม่ามีองค์ประกอบ 13 ส่วน ได้แก่ ฐานเจดีย์ ชั้นพระเจดีย์ ย่อมุมแปดเหลี่ยม ปากระฆัง รัดอก บาตรคว่ำ กนก ปล้องไฉน บัวคว่ำ ลูกแก้ว บัวหงาย ปลียอด และฉัตร
3. งานฉลุโลหะ เป็นงานประดับตกแต่งที่พบมากในศิลปกรรมไทใหญ่ในประเทศไทย นิยมใช้ส่วนของการตกแต่งโครงสร้างหลังคาในช่วงเชิงชาย ยอดฉัตร และดาวเพดาน โดยนำโลหะที่ตีเป็นแผ่นบางๆ มาฉลุลายโปร่ง
4. งานปั้นรักประดับกระจก งานรักกระแหนะและการติดกระจกเป็นสิ่งจำเป็นมากสำหรับการตกแต่งวัดของพม่าและไทใหญ่ งานปั้นรักประดับกระจกที่มีความสวยงามอยู่ที่วัดพระแก้วดอนเต้า จังหวัดลำปาง
5. งานลายคำ มีวิธีเดียวกันกับงานลายคำของล้านนา ต่างกันรงที่ลวดลาย แต่วัดไทใหญ่ไม่นิยมใช้ลายคำมากเท่ากับการปั้นรักประดับกระจก ลายคำจึงเป็นเพียงส่วนประกอบหนึ่งที่มาเติมให้พื้นที่ตกแต่งสมบูรณ์ขึ้น เช่น การตกแต่งลายประกอบมุม บริเวณหลังประธาน เพดาน ประตู หน้าต่าง เป็นต้น
6. งานปั้นปูน งานปูนปั้นส่วนใหญ่นิยมประดับตามองค์ระฆังและส่วนต่างๆ ของเจดีย์ซึ่งเป็นลายพฤกษา บริเวณรอบเจดีย์นิยมทำรูปสิงห์และตกแต่งซุ้มพระ ทั้งนี้ ยังพบว่าแต่ละวัดนิยมสร้างซุ้มประตูทางเข้าวัดและซุ้มทางเข้ากำแพงแก้วอีกด้วย (โครงการพิพิธภัณฑ์วัฒนธรรมและชาติพันธ์ล้านนา มหาวิทยาลัยเชียงใหม่, 2551)
การดำรงชีพ :
การดำรงชีพ
ชาวไทใหญ่ดั้งเดิมที่ตั้งถิ่นฐานในเมืองเชียงใหม่ ในอดีตแต่ละครัวเรือนจะประกอบอาชีพที่หลากหลาย ไม่ได้ยึดติดกับการประกอบอาชีพใดอาชีพหนึ่ง (สมโชติ อ๋องสกุล, 2546) ได้แก่
1. การค้าวัวต่างพ่อค้าวัวต่างส่วนใหญ่เป็นชาวไทใหญ่ ในช่วงฤดูแล้ง พ่อค้าวัวต่างจะรวมกลุ่มเป็นขบวน รวบรวมผลผลิตสินค้าภายในท้องถิ่นไปแลกเปลี่ยนสินค้ากับหมู่บ้านอื่นๆ กลับมาในท้องถิ่น เส้นทางการค้าวัวต่างมีทั้งระยะไกล เช่น เชียงใหม่ถึงมะละแหม่ง และเส้นทางระยะใกล้ เช่น เชียงใหม่ถึงฝาง ต่อมาเมื่อมีการพัฒนาทางด้านการคมนาคม การสร้างทางรถไฟและการสร้างถนนทำให้บทบาทของพ่อค้าวัวต่างหมดลงไป
2. การทำหนังพองขาย ในอดีตชาวไทใหญ่แทบทุกครัวเรือนจะทำหนังพอง ซึ่งเป็นการทำหนังควายแห้งนำมาทอด การขายหนังพองจะขายสองแบบ คือ แบบที่ยังไม่ได้ทอด และแบบทอดแล้ว ขายให้กับพ่อค้าคนกลางที่มารับซื้อเพื่อนำไปขายต่อ ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2500 เป็นต้นมา หลังจากที่เริ่มมีผู้คนจากพื้นที่ต่างๆ เข้ามาอาศัยในเมืองโดยเฉพาะบริเวณชุมชนช้างเผือก-ป่าเป้า ทำให้การทำหนังพองของชาวไทใหญ่ต้องเลิกกิจการไป เนื่องจากการทำหนังพองใช้กรรมวิธีที่ต้องใช้เชื้อเพลิงความร้อน และมีควันมาก เทศบาลนครเชียงใหม่เกรงว่าจะเกิดอัคคีภัยจึงขอให้เลิกทำหรือย้ายไปทำที่อื่น
3. การปั้นหม้อชาวไทใหญ่ที่มีอาชีพปั้นหม้อขาย จะใช้ดินในบริเวณบ้านที่อยู่อาศัย โดยการขุดดินลงไปเพื่อนำเอาดินเหนียวด้านล่างขึ้นมา นำมาตากแดด แล้วจึงทุบให้ละเอียด นำมาร่อนแล้วจึงผสมน้ำ ขึ้นเป็นรูปทรง นำไปเผาไฟเป็นหม้อดิน ส่วนใหญ่จะขายที่ห้องแถวย่านถนนราชวงศ์
4. การทำรองเท้ากาบโปก รองเท้ากาบโปก เป็นภูมิปัญญาของชาวไทใหญ่ เป็นการนำเอาไม้ไผ่หรือไม่ซางมาตัดเป็นพื้นรองเท้า แล้วใช้หนังควายหรือหนังหมูมาหุ้มทั้งด้านบนและล่าง และเย็บหนังติดกัน ส่วนใหญ่ทำขึ้นเพื่อใช้ถวายพระภิกษุ
5. การทำนาชาวไทใหญ่ที่อาศัยในเมืองเชียงใหม่ ส่วนน้อยที่จะทำนา ที่นาจะอยู่บริเวณหลังโรงเรียนโกวิทธํารงเชียงใหม่ รูปแบบการทำนาเป็นการจ้างแรงงานท้องถิ่นมาทำ
6. ช่างคำชาวไทใหญ่บางครอบครัวที่แต่งงานกับคนเมืองเชียงใหม่ ประกอบอาชีพช่างคำ โดยการซื้อทองคำในเมือง มาตีเป็นแหวน หรือกำไล
7. การค้าอัญมณีชาวไทใหญ่ส่วนหนึ่งประกอบอาชีพการค้าขายอัญมณี เช่น เพชร พลอย หยก เป็นต้น ซึ่งนับว่าชาวไทใหญ่เป็นกลุ่มที่มีความเชี่ยวชาญในเรื่องอัญมณีอ่างมาก
8. หมอยาสมุนไพร หมอนวด หมอดูชาวไทใหญ่ส่วนหนึ่งมีความเชี่ยวชาญทางด้านสมุนไพร จึงมีชาวไทใหญ่ที่เป็น “สล่ายา” นอกจากนั้นส่วนหนึ่งก็ประกอบอาชีพเป็นหมอนวดและหมอดู
9. สล่าหรือช่างทำงานก่อสร้างชาวไทใหญ่บางกลุ่มมีความเชี่ยวชาญทางด้านการก่อสร้างและช่างไม้ เรียกว่า “สล่า”
อาหารและยารักษาโรค :
อาหารและยารักษาโรค
วัฒนธรรมทางด้านอาหารของชาวไทใหญ่มีอัตลักษณ์ของตนเอง ชาวไทใหญ่จะรับประมาณข้าวเจ้าหรือข้าวสวยเป็นหลัก โดยจะใช้ข้าวเหนียวสำหรับการทำขนม วัตถุดิบในการทำอาหารไทใหญ่จะเป็นวัตถุดิบตามธรรมชาติ ตามลักษณะภูมิประเทศและฤดูกาล วัตถุดิบที่นำมาปรุงอาหารไทใหญ่เป็นวัตถุดิบที่หาได้ในท้องถิ่น เช่น ผักกุด ผักหนาม ผักหนาม (ชงโคบ้าน) ขนุน ผักหวาน ผักหละ (ชะอม) มะละกอ มะปราง ปลีกล้วย เป็นต้น นอกจากนั้นอาหารประเภทที่มีเนื้อสัตว์ ก็จะเป็นเนื้อหมู เนื้อปลา เนื้อกบ เนื้อไก่ เป็นต้น ทั้งนี้อาหารไทใหญ่บางเมนูก็มีความคล้ายคลึงกับอาหารคนเมืองล้านนา เช่น น้ำพริกอ่อง แกงฮังเล แกงขนุน เป็นต้น ซึ่งเครื่องปรุงที่สำคัญและเป็นเอกลักษณ์ของอาหารไทใหญ่ คือ “ถั่วเน่า” ทำมาจากถั่วเหลืองหมัก เป็นเครื่องปรุงที่มีอยู่ในอาหารส่วนใหญ่ของชาวไทใหญ่ (ปุ่น เที่ยงบูรณธรรม, 2553)
ผู้สูงอายุชาวไทใหญ่มีความเชื่อเกี่ยวกับการรับประทานอาหารว่าการทานอาหารเจในวันพระและวันเกิด ในกรณีเป็นไข้ ห้ามรับประทานข้าวสาลี ลำไย และแตงกวา โดยเฉพาะลำไยและแตงกวา หากรับประทานเข้าไปจะทำให้สั่น ไข้ไม่ลด และตาเหลือก นอกจากนั้นในพิธีขึ้นบ้านใหม่ของผู้สูงอายุชาวไทใหญ่ต้องมีอาหาร 3 ชนิดเป็นพื้นฐาน ได้แก่ แกงบ่ะหนุน (แกงขนุน) ลาบ และน้ำพริกอ่อง (คำว่า “อ่อง” ชาวไทใหญ่ หมายถึง มีความงอกงามเจริญรุ่งเรือง) จะทำให้บ้านหลังนั้นมีแต่คนรัก มีคนคอยช่วยเหลือ มีทรัพย์สินเงินทอง และมีความ เจริญรุ่งเรือง ส่วนผู้หญิงที่อยู่ไฟ ห้ามรับประทานชะอม และผักผักกาดเขียว ควรรับประทานแต่ข้าวจี่ ข้าวต้ม แคบหมู เนื้อหมู และกระดูกต้ม ในสมัยก่อนให้รับประทานเฉพาะข้าวจี่กับเกลือ อาหารอื่นๆ รับประทานไม่ได้ ดังมีข้อห้ามปรากฏไว้ว่า “กินไก่ กินไข่ ไข้จะคืน ผักตำลึง ผักหวานกินแล้วตาย (นงนุช จันทราภัย และเรณู วิชาศิลป์, 2541 ;ศันสนีย์ กระจ่างโฉม, 2556)
กรรมวิธีการทำอาหารไทใหญ่มีความหลากหลายวิธี ซึ่งชาวไทใหญ่มีชื่อเรียกกรรมวิธีการทำอาหารหลายอย่าง ได้แก่ ตั้ง น๊อก หมก โก ต้มแจ้จ๊อกมึบ หุง ต๋ำหลามดอง แกง ห่ำเผา หมัก จอ ปุนปิ้ง แย่น อุ้บ ตุงจี่เต๊ก อ้อบ ตุ๋งแฮงหมบ แอบ ขื่อ คั่วอุ่นเค็ว ยำ อ่อง นึง ลูโดยขอยกตัวอย่างอาหารไทใหญ่ซึ่งเป็นที่รู้จักกันอย่างกว้างขวาง คือ อุ๊กไก่ ข้าวแรมฟืน และถั่วเน่า
อุ๊บไก่ หรือ อุ๊กไก่ เป็นอาหารของชาวไทใหญ่ ที่อาศัยอยู่ในรัฐฉานของประเทศพม่าทางตอนใต้ของจีน เมืองชายขอบของอินเดีย ลาว รวมถึงทางภาคเหนือของไทย อุ๊บไก่ คือ ไก่อบด้วยเครื่องแกงที่มี พริก หอม กระเทียม ขิง ตะไคร้ ปรุงรสด้วยถั่วเน่า เกลือ ซีอิ๊วและรับประทานคู่กับข้าวเหนียวเหลืองที่หุงด้วยขมิ้น
ข้าวแรมฟืน หรือข้าวแรมคืน เป็นอาหารพื้นเมืองที่ของชาวไทยใหญ่ มีสามชนิดซึ่งแต่ละชนิดมีส่วนผสมแตกต่างกันออกไป ได้แก่ข้าวแรมฟืนขาว มีส่วนผสมเป็นแป้งข้าวเจ้าที่ต้มสุกจนมีลักษณะคล้ายวุ้น แล้วนำไปหั่นให้เป็นเส้นราดด้วยน้ำราดที่ทำจาก พริกตำ ถั่วเน่า ถั่วลิสงคั่ว น้ำกระเทียม และน้ำมะเขือเทศ ข้าวแรมฟืนถั่ว มีสองแบบคือถั่วลิสง จะมีสีม่วงอ่อน และถั่วเหลืองมีสีเหลืองอ่อน วิธีทำนำถั่วไปโม่จนกลายเป็นแป้ง แล้วนำมาต้มจนสุก แล้วนำไปใส่ถาดทิ้งไว้ให้แป้งกระด้างขึ้นรูปลักษณะคล้ายวุ้นราดด้วยน้ำราดที่มีส่วนผสมของน้ำเต้าหู้ยี้ขาว น้ำมันควาเจียว กระเทียมเจียว พริกป่นคั่ว ซีอิ้วเค็มน้ำเตี้ยวเจี้ยว และน้ำสู่คือน้ำที่ทำจากการหมักจากกล้วยและข้าวคั่ว ส่วนข้าวแรมฟืนทอด มีลักษณะคล้ายเต้าหู้ทอด วิธีทำและเครื่องปรุงเหมือนกับข้าวแรมฟืนขาว ต่างกันคือการนำแป้งที่สุกไปทอดจนกรอบ ข้าวแรมฟืนนิยมกินกับผักนานาชนิด เช่น ถั่วงอกกุยช่าย กะหล่ำปลี ถั่วฝักยาว เป็นต้น
ถั่วเน่า เป็นการแปรรูปอาหารดั้งเดิมของวัฒนธรรมไทใหญ่และไทยวน ซึ่งชาวไทใหญ่มีการใช้ถั่วเน่าเป็นส่วนประกอบสำคัญในอาหารหลายชนิด ซึ่งขั้นตอนการผลิตถั่วเน่า มีดังนี้ (จุฑารัตน์ สุภาษี, 2544)
1. การคัดเมล็ดถั่วเหลือง โดยการนำเอาเมล็ดถั่วเหลืองมาคัดเอาสิ่งแปลกปลอมออกไป เช่น กรวด หิน เศษใบไม้ เป็นต้น แล้วนำเมล็ดถั่วเหลืองที่คัดแล้วไปล้างทำความสะอาด
2. นำเมล็ดถั่วเลืองสะอาดไปแช่น้ำค้างคืนไว้ เพื่อให้เมล็ดถั่วเหลืองพองและมีความนิ่ม ช่วยให้ลดระยะเวลาในการต้มให้ถั่วเหลืองเปื่อยเร็วขึ้นได้
3. นำถั่วเหลือที่แช่น้ำแล้วไปต้มน้ำเดือดประมาณ 3-4 ชั่วโมง จนถั่วเหลืองสุก แล้วเทน้ำทิ้งให้ถั่วเหลืองสะเด็ดน้ำ
4. นำถั่วเหลืองที่ต้มแล้วไปหมักไว้ในตะกร้าที่รองด้วยใบตองตึง หมักไว้ประมาณ 3-4 วัน ถั่วเหลืองจะแปรสภาพ จะได้ถั่วหมักที่เรียกว่า “ถั่วเน่าซา” เป็นถั่วหมักที่ยังเป็นเมล็ด มีกลิ่นฉุน สามารถนำไปประกอบอาหารได้
5. การนำถั่วเน่าที่ยังเป็นเมล็ดไปบด โดยใช้ครกตำโขลกถั่วให้ละเอียด
6. นำถั่วเน่าบดละเอียด มาผสมกับเกลือเพื่อเพิ่มรสชาติ แล้วห่อด้วยใบดับยาง (ใบขางหูหมู) เรียกว่า “ถั่วเน่าห่อ” ซึ่งใบดับยางมีคุณสมบัติดูดซับความชื้นได้
7. นำถั่วบดมาผสมกับเครื่องปรุง ได้แก่ ตะไคร้ ข่า พริกขี้หนู ห่อด้วยใบตอง นำไปนิ่งให้สุก เป็นการเพิ่มรสชาติและสามารถถนอมอาหารได้นานขึ้น เรียกว่า “ถั่วเน่าทรงเครื่อง”
8. นำถั่วเน่าบดมาปั้นเป็นก้อนกลมๆ ใช้แผ่นไม้ทับให้แบน นำไปตากแดดประมาณ 4-5 วัน ช่วยให้สามารถถนอมได้ถึง 2-3 เดือน เรียกว่า “ถั่วเน่าแขบ”
การรักษาโรค
ชาวไทใหญ่มีความเชื่อว่าความเจ็บไข้นั้นเกิดมาจากหลายสาเหตุ เช่น ผิดผี มีเคราะห์ ขวัญหนี ลมและพยาธิ์ (โรค) โดยเมื่อวินิฉัยว่าเกิดมาจากสาเหตุใดแล้ว ก็จะมีการรักษาพยาบาลทั้งแบบไสยศาสตร์ การรักษาแผนโบราณ และแผนปัจจุบัน โดยมีรูปแบบการรักษาที่ต่างกันออกไป
นับตั้งแต่อดีตชาวไทใหญ่ส่วนหนึ่งมีความเชี่ยวชาญทางด้านสมุนไพร จึงมีชาวไทใหญ่ที่เป็น “สล่ายา” ที่ใช้สมุนไพรในการรักษาโรค ปัจจุบันชาวไทใหญ่ใช้วิธีการรักษาทั้งในรูปแบบการแพทย์แผนปัจจุบันและส่วนหนึ่งยังคงใช้วิธีการรักษาโรคแบบพื้นบ้าน โดยจะมีผู้รักษาโรคที่เรียกว่า “หมอเมือง” หรือ “สล่าหมอยา” เช่น การรักษากระดูกหัก จะใช้สมุนไพรพื้นบ้านในการรักษา ประกอบไปด้วย ข้าวก่ำ (ข้าวสีดำ) และหญ้าเอ็นยืด นำมาตำในครก ผสมเหล้าขาวและน้ำมันเลียงผา เมื่อได้ตัวยาจะนำไปทำพิธีกรรมบูชาครู จะมี “ขันตั้ง” ได้แก่ กรวยดอกไม้สด เหล้าขาว ข้าวสาร ข้าวเปลือกใส่ในแก้ว กล้วย ธงกระดาษ และเทียนสล่าหมอยาจะจุดธูปเทียน และสวดคำกล่าวบูชาครู และสวดคาถา จากนั้นนำยาสมุนไพรมาประคบตรงบริเวณที่กระดูกหัก เป่าคาถา ทาน้ำมันเลียงผา แล้วพันด้วยผ้าขาวบาง และนำไม้สนผ่าเป็นซี่มามัดเป็นแถวด้วยเชือกฟางแล้วเข้าเผือกแบบโบราณ เมื่อรักษาหาย ผู้ป่วยจะมาดำหัวหมอยาเพื่อแสดงความกตัญญูและขอบคุณ (ดนิตา มาตาและคณะ, 2561)
เสื้อผ้าและการแต่งกาย :
เสื้อผ้าและการแต่งกาย
การแต่งกายในชีวิตประจำของชาวไทใหญ่จะไม่นิยมแต่งกายด้วยชุดไทใหญ่ แต่จะแต่งกายด้วยเสื้อผ้าธรรมดาทั่วไปที่หาซื้อได้ตามท้องตลาด แต่งกายเช่นเดียวกับชาวท้องถิ่นตามสมัยนิยม เช่น สวมกางกระโปรง เสื้อยืด หรือเสื้อเชิ้ต เป็นต้น ทั้งนี้ มีเพียงกลุ่มผู้สูงอายุบางคนเท่านั้นที่ยังคงแต่งกายแบบไทใหญ่ ซึ่งส่วนใหญ่ชาวไทใหญ่จะแต่งกายด้วยชุดไทใหญ่เมื่อมีงานสำคัญทางศาสนา หรืองานเทศกาลประจำปีอื่นๆ (สุทัศน์ กันทะมา, 2542; ปณิธิ อมาตยกุล, 2547)
ชาวไทใหญ่ที่ย้ายเข้ามาตั้งถิ่นฐานทางภาคเหนือของประเทศนั้น บางกลุ่มมีทักษะทางด้านการทอผ้าติดตัวมา เมื่อเข้ามาอาศัยในประเทศไทยได้มีการฝึกทักษะการทอผ้าจากหน่วยงานการศึกษาที่เข้ามาฝึกสอนในชุมชน ในระยะแรกชาวไทใหญ่จะฝึกทอผ้าโดยเริ่มจากลายธรรมดา โดยมีการถ่ายทอดความรู้ทักษะไปสู่คนรุ่นต่อไป ซึ่งทำให้มีการปรับปรุงประยุกต์การทอลายเพิ่มเติม บางครั้งอาศัยต้นแบบจากผ้าทอพื้นเมือง เช่น ผ้าทอยกดอก หรือผ้าทอตีนจก ในการเพิ่มเติมลายของการทอผ้า (แก่นจันทร์ มะลิซอ, 2546)
การแต่งกายชาย สวมเสื้อสองตัว เสื้อตัวในเป็นเสื้อเชิ้ตสีขาวแขนสั้น เสื้อ ตัวนอกเป็นเสื้อแขนยาวคอกลม ผ่าหน้า ติดกระดุมผ้าแบบจีน เรียกว่า “เส้อแต๊กปุง” ส่วนกางเกงทรงหลวม ก้นหย่อน ขากว้าง เสื้อและกางเกงเป็นสีเดียวกัน โดยส่วนใหญ่ใช้สีน้ำตาลอ่อน เรียกว่า “ก๋นไต” หรือ “ก๋นห่งย่ง” มีผ้าแพรสีชมพูอ่อนโพก ศีรษะและคาดเอว (วันดี สันติวุฒิเมธี, 2545 ;สุทัศน์ กันทะมา, 2542)นอกจากนั้นชาวไทใหญ่ในอดีต ทั้งหญิงและชายนิยมสวม “รองเท้าก๊อบแก๊บ” ทำจากไม้ฉ่ำฉา เมื่อเดินจะมีเสียงก๊อบแก๊บ จึงเป็นที่มาของชื่อรองเท้า (สมโชติ อ๋องสกุล, 2546)
การแต่งกายหญิง มีสองแบบ คือ แบบเก่า เสื้อและซิ่นใช้ผ้าทอ ตัวเสื้อใช้ผ้าสีขาว ตัดเป็นเสื้อแขนสั้นและยาว คอกลมสาบเสื้ออยู่ด้านซ้ายมาติดกระดุมด้านขวา ขนาดสั้นแค่เอว มีการปักฉลุเป็นลวดลายดอกไม้ เรียกว่า “เส้อกนญิง” ส่วนซิ่นใช้ผ้าสีพื้น โดยส่วนใหญ่ใช้สีน้ำตาล และแบบใหม่ เสื้อและซิ่นใช้ผ้าสำเร็จรูปที่มีสีสันสดใส ตัวเสื้อเป็นเสื้อแขนยาว ผ่าหน้า ติดกระดุมผ้าตรงกลางแบบจีน ส่วนซิ่นใช้ผ้าสีพื้นเดียวกับเสื้อ บริเวณตั้งแต่สะโพกจนถึงหัวเข่า ใช้ผ้าทอที่มีลวดลายหลากสีสัน เย็บสลับกับผ้าพื้น ปัจจุบันผู้หญิงไทใหญ่ที่นิยมใส่เครื่องแต่งกาย แบบเก่าจะมีอายุ 40 ปีขึ้นไป ส่วนอายุต่ำกว่านั้น นิยมใส่เครื่องแต่งกายแบบใหม่ (วันดี สันติวุฒิเมธี, 2545;สุทัศน์ กันทะมา, 2542)
ระบบความเชื่อ ประเพณี และพิธีกรรม
ศาสนาและความเชื่อ
ชาวไทใหญ่ส่วนใหญ่นับถือศาสนาพุทธ ซึ่งศาสนาพุทธได้เริ่มเข้ามามีบทบาทในกลุ่มชาวไทใหญ่ที่อาศัยอยู่ในรัฐฉานในช่วง ปี พ.ศ. 2015 เริ่มเฟื่องฟูมากขึ้นในช่วงที่พระญาณคัมภีร์เดินทางมาจากเชียงใหม่ไปเผยแพร่ศาสนาพุทธนิกายโยน ในขณะเดียวกันชาวไทใหญ่ก็นับถือเทพและผีเจ้าเมืองด้วย เป็นความเชื่อดั้งเดิมที่เชื่อว่าเจ้าเมืองที่เสียชีวิตไปแล้วจะยังคงปกปักรักษาชาวบ้านในชุมชนอยู่
ชาวไทใหญ่นับถือศาสนาพุทธร่วมกับการนับถือเทพและเจ้าเมือง โดยมีความสัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิด ในชุมชนจึงมีทั้งวัดเป็นศาสนสถานและหอเจ้าเมืองและใจบ้าน อีกทั้งชาวไทใหญ่มีประเพณี 12 เดือน ที่ในแต่ละเดือนจะมีประเพณีที่เกี่ยวข้องกับวัดทั้งสิ้น จึงกล่าวได้ว่าชาวไทใหญ่เป็นผู้นับถือศรัทธาศาสนาพุทธอย่างแนบแน่น นอกจากนั้นชาวไทใหญ่ยังมีความเชื่อในเรื่องของโลกหน้าอีกด้วย ชาวไทใหญ่จะนิยมการทำบุญทำทาน และให้ความสำคัญกับประเพณีทางศาสนาอย่างมาก เชื่อเมื่อตายไปแล้วจะได้อยู่บนสวรรค์ (ปานแพร เชาวน์ประยูร, 2550)
ความเชื่ออื่นๆ
ความเชื่อของชาวไทใหญ่ในเรื่องสิ่งศักดิ์สิทธิ์นั้นเป็นลักษณะผสมผสานระหว่างพุทธ ผี พราหมณ์ ที่ได้รับอิทธิทั้งจากความเชื่อดั้งเดิมและความเชื่อจากชาติพันธุ์อื่นๆ ซึ่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่สำคัญของชาวไทใหญ่ลำดับได้ ดังนี้
1. พระเจ้า หมายถึง สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เนื่องจากวัฒนธรรมของชาวไทใหญ่นั้นนับถือพระพุทธศาสนา ด้วยความเชื่อในเรื่องของโลกหลังความตาย บุญกรรม และชีวิตในโลกหน้า ชาวไทใหญ่จึงนิยมการทำบุญทำทานเป็นอย่างยิ่ง ในวันพระจะเข้าวัดทำบุญ ถือศีล ในบ้านของชาวไทใหญ่จะมีหิ้งพระที่เรียกว่า “เข่งพารา” เป็นส่วนประกอบหนึ่งของเรือนทุกเรือน
2. ขุนสาง หรือสางฟ้า หรือเลงดอน หมายถึง เทพเทวดาโดยกำเนิด มีหน้าที่ดูแลเจ้าผีฟ้าทุกองค์ที่ตายไปแล้ว ต่อมาเมื่อพุทธศาสนาเข้ามามีบทบาทมากขึ้น เลงดอนจึงถูกรวมเรียกว่า “แถน” หรือขุนศึกยา สิ่งศักดิ์สิทธิ์นี้ปรากฏเพียงในตำนานการสร้างเมืองไต ทั้งนี้ธรรมเนียมในระดับพิธีกรรม ชาวไทใหญ่จะไหว้ขอพรและขอการคุ้มครองจากขุนสางที่หอเจ้าเมือง
3. เจ้าเมือง หรือขุนหอคำ ชาวไทใหญ่เชื่อว่าเจ้าเมืองที่สิ้นชีวิตไปแล้วจะขึ้นไปเป็นเทพที่เรียกว่า “ขุนสาง” เป็นขุนสางที่สามารถทำพิธีกรรมได้ แตกต่างจากสางฟ้าที่เป็นเทพเทวดาโดยกำเนิด มีหน้าที่ดูแลสารทุกข์สุขดิบของคนในชุมชน เจ้าเมืองจึงถือเทพวีรบุรุษประจำหมู่บ้าน เป็นผีที่มีอิทธิพลสูงสุดสามารถควบคุมผีอื่นๆ ที่มีอำนาจน้อยกว่าได้ (อรวรรณ วิไชย, 2557)
พื้นที่ศักดิ์สิทธิ์
1. หอเจ้าเมือง สถานที่สักการะเพื่อระลึกถึงสิ่งสูงสุดเป็นอำนาจฝ่ายผี เรียกว่า “ขั้นเจ้าเมือง” เพื่อตอบแทนบุญคุณที่เจ้าเมืองได้มาให้ความคุ้มครองคนในหมู่บ้านทั้งหมดให้มีความเป็นอยู่สุขสบายและอุดมสมบูรณ์ ขุนสางที่อันเชิญมาที่หอเจ้าเมืองนี้เชื่อว่าเป็นวิญญาณของเจ้าเมืองแรกของชุมชนแต่ละแห่งพิธีกรรมขึ้นเจ้าเมืองมักจะกระทำกันในเดือนเมษายน ขั้น 10 ค่ำของทุกๆ ปี อันเป็นช่วงประเพณีสงกรานต์ หรือ “สางจ้าน” เป็นพิธีกรรมร่วมกันทั้งหมู่บ้าน พิธีกรรมปฏิบัติต่อเจ้าเมืองมีปีละ 2 ครั้ง ได้แก่ วันสงกรานต์ เดือน 5 (เมษายน) ขั้น 10 ค่ำ และเดือนแปด ขั้น 13 ค่ำ บูชาเจ้าเมืองก่อนทำไร่ทำนา
2. ใจบ้าน สถานที่เคารพสักการะของชุมชน หรือเรียกว่า “มังคละเจ้าบ้าน” หมายถึง มงคลของบ้านหรือชุมชน คำอธิบายบางนัยบอกเล่าว่า ใจบ้านคือจุดศูนย์กลางของหมู่บ้าน สร้างเป็นหอใจบ้านขึ้นมา เป็นสัญลักษณ์ว่าชุมชนได้เลือกที่ตั้งทำเลแห่งนี้สำหรับลงหลักปักฐาน ใจบ้านจะมีลักษณะเหมือนเรือนหลังเล็กๆ มีเสาเพียงเสาเดียว เป็นจุดศูนย์กลางของชุมชน ความเชื่อของชาวไทใหญ่นั้น ใจบ้านจะไม่มีผีหรือสางสิงอยู่ เพราะเป็นสถานที่มงคล พิธีกรรมที่ปฏิบัติต่อใจบ้านทุกปี เรียกว่า “สวดมังคละใจบ้าน” (สวดมงคลใจบ้าน) เป็นการแสดงความขอบคุณที่ทำให้ตนได้มาอยู่ ณ สถานที่นั้นๆ อย่างเป็นสุข พิธีกรรมดังกล่าวจะจัดขึ้นหลังจากเสร็จสิ้นวันสงกรานต์แล้ว (เรณู อรรฐาเมศร์, 2541)
หลักปฏิบัติทางวัฒนธรรม :
หลักปฏิบัติทางวัฒนธรรม
การคลอดบุตร
ข้อควรปฏิบัติ ในขณะคลอดลูก ทุกสิ่งทุกอย่างที่ปิดและขัดข้องอยู่ ต้องเปิดคลี่คลายออกให้หมด เช่น ประตู หน้าต่าง คลี่มุ้งม่านออก ถอดเครื่องประดับที่สวมออก เพื่อเป็นการเอาเคล็ดให้คลอดลูกได้ง่าย เมื่อคลอดลูกเรียบร้อยแล้วจะนำรกไปฝังดินใต้บันไดแล้วเหยียบให้แน่น อีกทั้งชาวไทใหญ่มีความเชื่อว่าเด็กอ่อนทุกคนมีแม่ในชาติก่อนที่เรียกว่า “แม่พ้าย” ซึ่งจะตามมาเอาเด็กไป ดังนั้นเมื่อคลอดเด็กออกมาแล้วอาบน้ำให้สะอาด นำเด็กใส่กระด้งฝัดข้าว ออกไปนอกเรือนในตอนค่ำแล้วร้องว่า “สามวันลูกผี สี่วันลูกเรา ถ้าจะเอาก็เอาทันที หลังจากนี้เอาไปไม่ได้” ในระหว่างอยู่ไฟ ที่มุมเรือนจะเอาหนามชนิดต่างๆ มาติดไว้กับเสาเรือนเพื่อกันผีกระสือมาทำอันตรายเด็กอ่อน หากเป็นเด็กผู้ชายจะเอาดาบเหน็บไว้ที่หัวนอนด้วย
ข้อห้าม ในระหว่างตั้งครรภ์จะมีข้อห้ามต่างๆ อันเกิดจากความหวาดกลัวการคลอดลำบากและกลัวว่ารกจะไม่ออกมา เช่น ห้ามนั่งที่ธรณีประตู ห้ามกินหัวปลี ห้ามนั่งเอาหลังผิงไฟ ห้ามอาบน้ำเวลาตะวันตกดิน เพราะจะทำให้แฝดน้ำ ห้ามกินกล้วยแฝด เพราะจะทำให้ได้ลูกแฝด ห้ามทำพีไพหรือแม่เตาไฟ เพราะจะทำให้ลูกปากแหว่ง (เรณู วิชาศิลป์, 2541)
การทำศพ ผู้ที่ตายผิดปกตินอกเรือน (ผีตายโหง) จะไม่นำศพเข้าบ้าน เพราะเกรงว่าจะเกิดเหตุร้ายกับคนอยู่ ต้องนิมนต์พระไปสวดยังที่เกิดเหตุโดยเร็ว และนำไปฝังหรือเผาทันที เช่นเดียวกับผู้ที่ตายนอกบ้านก็ไม่นำศพเข้ามาในบ้านเช่นกัน จะทำพิธีศพนอกรั้วบ้าน โดยก่อเป็นเพิงชั่วคราวเพื่อตั้งศพก่อนนำไปฝังหรือเผา
วันเผาศพ จะไม่มีการเผาศพข้ามเดือน ข้ามปี เช่น หากตายในวันแรม 14 15 ค่ำ หรือวันที่ 14 เมษายน ซึ่งเป็นวันสุดท้ายของเดือนปี ต้องทำพิธีศพในวันนั้นทันที ไม่ข้ามไปเผาเดือนใหม่ ปีใหม่ เพราะเชื่อว่าผู้ตายจะเป็นผีมาหลอกหลอน ทั้งนี้ หากไม่สามารถเผาในวันปลายเดือนหรือปลายปีได้ทันที จะทำพิธีฝังหลอก คือ เอาก้อนดินมาวางบนฝาโลง ทำทีว่าฝังกลบดินแล้ว แล้วจึงจะเผาจริง
ศพตายทั้งกลม สามีผู้ตายจะต้องรื้อเรือนแล้วไปหาที่อยู่ใหม่ เพราะผีแม่ลูกจะมารบกวน (นงนุช จันทราภัย และเรณู วิชาศิลป์, 2541)
ประเพณี เทศกาล และพิธีกรรม :
ประเพณี เทศกาล และพิธีกรรม
ประเพณี เทศกาล และพิธีกรรมในชีวิต
การแต่งงาน การหย่าร้าง
ประเพณีการแต่งงานชาวไทใหญ่มีคำที่ใช้เรียกการแต่งงานหลายคำ เช่น กินแขก เฮ็ดแขก กินแขกกินดอง กินเน่งกินเกลือ ช้อนมิ่งค้างหัว ช้อนมิ่งก๊บคู่ กินปู๊กินเน่ง (กินพลูกินชา) เฮ็ดมังกะหล่า ปอยส่งสาว (ฝ่ายหญิงเรียก) และปอยเอาสาว (ฝ่ายชายเรียก)
เมื่อหนุ่มสาวพอใจกัน ฝ่ายชายก็จัดให้ญาติผู้ใหญ่ ซึ่งเรียกว่า “ปะใจ้” (คนใช้) 2 คน นำหว่านไข่ (ชามใส่ไข่) เป็นไข่ไก่ดิบ 2 ฟอง ข้าวสาร เน่งยำ (ใบชาเปียก หรือใบเมี่ยง) กับเกลือ ไปที่เรือนฝ่ายหญิง ญาติผู้ใหญ่ฝ่ายหญิงมาคอยรับ ถ้าพ่อแม่ของฝ่ายหญิงตกลงรับคำสู่ขอ ก็จะแก้ห่อเน่งยำ แจกแก่ญาติพี่น้องที่เชิญมาเป็นสักขีพยาน ให้กินกันคนละเล็กน้อยพอเป็นพิธี (กินปู๊กินเน่ง) ญาติฝ่ายชายก็กลับไปแจ้งข่าวและเตรียม “เงินฝาก” (สินสอด) ไข่ เน่งยำ กับเกลือ เพื่อมาหมั้นอีกครั้งหนึ่ง ในหมู่ชาวไทเหนือ เมื่อนับเงินสินสอดครบถ้วนตามที่ตกลงกันแล้ว นำไข่นั้นไปทอดเป็นไข่ดาวไหว้ผีบรรพบุรุษของฝ่ายหญิงเป็นการบอกกล่าว ก่อนแต่งงานพ่อแม่ฝ่ายหญิงให้หมอโหรา หาฤกษ์งามยามดี เพราะในแต่ละเดือนจะวันทุน (วันดี) และวันม้วย (วันไม่ดี) ในเดือนเจี๋ยว (เดือนอ้าย) เดือนห้า เดือนเก้า ห้ามแต่งงานในวันพฤหัสบดี, ศุกร์ เดือนหก เดือนสิบ ห้ามแต่งงานวันพุธ, วันศุกร์ เดือนก้ำ (เดือนยี่) เดือนเจ็ดห้ามแต่งงาน ส่วนเวลานั้นจะเลือกเวลาใดก็ได้ หากเลือกวันและเดือนดีแล้ว
วันแต่งงาน ขบวนแห่เจ้าบ่าว นำหน้าด้วยวงฆ้อง กลอง เดินทางไปบ้านเจ้าสาว เจ้าบ่าวนำไก่ต้ม 2 ตัว กล้วย 2 หวี น้ำอ้อย 2 ชาม เหล้า 2 ถ้วย หมาก พลู และเงินจ่ายค่าไขประตู ค่าปูที่นอน และค่ากางมุ้งไปด้วย ถึงเวลาทำพิธี เจ้าบ่าวเจ้าสาวนั่งคู่กัน โดยเจ้าบ่าวนั่งด้านขวา เจ้าสาวนั่งด้านซ้าย ป้อแขก (พ่อแขก) คือ ผู้ที่จะกล่าวคำมงคล เจ้าสาวเอาเหล้าส่งให้เจ้าบ่าว แล้วส่งต่อให้ป้อแขกหยดลงบนตัวไก่ ป้อแขกและญาติผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายผูกข้อมือให้พร เป็นอันเสร็จพิธี เจ้าภาพเอาของฝาก (ของชำร่วย) อาจเป็นน้ำอ้อย เงิน แจกให้คนเฒ่าคนแก่ที่มาในงาน (เรณู วิชาศิลป์, 2541)
การหย่าร้างการหย่าร้าง เรียกว่า “การแป้ดกัน” ซึ่งจะต้องตกลงต่อหน้าผู้ใหญ่ของทั้งสองฝ่าย ถ้ามีบุตรชาย สามีจะเป็นผู้เลี้ยงดู เว้นแต่บุตรยังเล็กมาก จึงจะมอบให้ภรรยาเป็นผู้เลี้ยงดูส่วนทรัพย์สินที่หามาได้ก็แบ่งกันไปตามธรรมเนียมของแต่ละท้องถิ่น ภรรยากลับไปอยู่เรือนพ่อแม่ตามเดิม (เรณู วิชาศิลป์, 2541)
ความตาย และการทำศพ
เมื่อมีผู้ตาย จะนำศพมาอาบน้ำสวมเสื้อใหม่ โดยกลับหน้าหลัง แล้วเอานอนหันหัวไปทางทิศเหนือ ครั้นต่อโลงแล้ว เอาใบยาสูบ ใบฝรั่งหรือฟักเขียวเจาะรูใส่ไว้ เพื่อดับกลิ่นแล้วปูด้วยเสื่อหรือฟูก นำศพใส่โลงหันหัวไปทางทิศเหนือ เอาด้ายผูกหัวแม่มือแม่เท้าให้ติดกัน ถ้าเป็นชนชั้นหัวหน้าใช้แผ่นทองคำเปลวติดที่หน้าเสียก่อน จากนั้นเอาเหรียญเงินใส่ปากผู้ตาย หากเป็นผู้ที่มีฐานะดีก็ใส่เครื่องประดับมีค่าต่างๆ ไว้
ผู้ตายที่เป็นสามัญชน ไม่มีตำแหน่งสำคัญมากนัก เมื่อต่อโลงแล้ว นำศพใส่โลงเคลื่อนศพไปฝังทันที แต่หากเป็นเจ้าฟ้าหรือเชื้อพระวงศ์จะตั้งศพไว้ 1 สัปดาห์ หรือนานกว่านั้นตามต้องการ เพื่อส่งข่าวไปยังหมู่บ้านต่างๆ และเชื้อเชิญมางานศพ ในระหว่างนั้นก็ต้องจัดให้มีผู้เฝ้าศพตลอดทั้งคืน ผู้หญิงนั่งด้านซ้าย ผู้ชายนั่งด้านขวาของศพ ต้องจัดอาหารตลอดจนเครื่องใช้ให้พร้อมเสมือนยังมีชีวิตอยู่ ญาติผู้ตายจะรำพันถึงความดีของผู้ตายที่เคยทำแก่ตน ตลอดเวลาที่ศพยังอยู่จะมีการเลี้ยงอาหารแก่แขกที่มาร่วมงานทุกมื้อ ในบริเวณบ้านมีวงฆ้อง กลอง ฉาบ ประโคมเพื่อไล่วิญญาณร้ายที่จะมารบกวนวิญญาณของผู้ตาย
เมื่อถึงเวลาเคลื่อนศพลงจากเรือน จะหามเอาทางปลายเท้าออก หากเป็นการตายโดยปกติโลงศพจะถูกหามออกทางประตู ผ่านชาน ลงบันได นำไปวางบนแคร่หามศพ แต่หากเป็นการตายที่ผิดปกติ เช่น ตายทั้งกลม จะเคลื่อนศพลงข้างโดยเปิดฝาเรือนออกแล้วหย่อนศพลงข้างล่าง ก่อนจะนำศพไปป่าช้า เจ้าภาพจะเลี้ยงอาหารแก่แขกที่มาเผาศพ มีการโปรยข้าวสาร ถั่ว เงิน และแจกเสื้อผ้าแก่คนจน
ขบวนแห่ศพ นำด้วยพระสงฆ์ตามจำนวนที่เจ้าภาพนิมนต์ พระสงฆ์ถือด้ายสายสิญจน์ที่โยงจากแคร่หามศพ ซึ่งมีผู้ผลัดเปลี่ยนกันหามหลายชุด คือ ญาติพี่น้องของผู้ตายและแขกที่มาร่วมพิธี เมื่อเข้าป่าช้าก็กลับเอาหัวเข้าก่อน หามไปจนถึงหลุมที่ขุดเตรียมไว้ พระสงฆ์และผู้ชายทำพิธีฝัง ส่วนผู้หญิงนั่งรวมกลุ่มอยู่ห่างจากหลุมฝังศพไม่ไกลนัก ครั้นหย่อนศพลงหลุมโดยหันหัวไปทางทิศเหนือ แล้วนำข้าว ใบชา ยาสูบวางลงในหลุม พระสงฆ์สวดอีกครั้งแล้วจึงกลบหลุม เจ้าภาพถวายสิ่งของในนามผู้ตาย (เรณู วิชาศิลป์, 2541)
การสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์และบรรพบุรุษ
การไหว้ผีเจ้าเมือง (กั่นตอเจ้าเมือง)
วันไหว้ผีเจ้าเมืองจะเลือกวันหลังวันสงกรานต์ คือ ตั้งแต่วันที่ 16 เมษายน เป็นต้นไป สิ่งของที่ชาวบ้านนำมาบูชา ได้แก่ ข้าวตอก ดอกไม้ ธูปเทียน เงิน ข้าวสาร ขนม ผลไม้ น้ำนม น้ำชา เมื่อมาถึงบริเวณหอก็นำของบูชาไปให้ผู้ดูแลหอเจ้าเมือง โดยจะมีการแยกประเภทของที่นำมาบูชาไว้ในถาด กาละมัง กระบุง แล้วนำขึ้นไปวางบนชานหอโดยจัดใส่ถาดไว้ในห้อง 3 ห้อง ห้องละ 3 ถาด นอกจากสิ่งของดังกล่าวแล้วชาวบ้านยังนำขันส้มป่อยมาด้วย นำมาวางรวมกันไว้ที่เชิงบันไดหอ เพื่อ “ชอนน้ำ” (รดน้ำ) เจ้าเมือง จากนั้น “หมอลิ่ก” ผู้อาวุโสของหมู่บ้านจะกล่าวคำบูชาผีเจ้าเมืองเมื่อกล่าวจบ ชาวบ้านใช้ใบไม้จุ่มน้ำส้มป่อยพรมที่หอเจ้าเมือง แล้วพรมลงบนศีรษะตนเองเพื่อความเป็นสิริมงคล เมื่อเสร็จสิ้นพิธีก็แยกย้ายกลับบ้าน (นงนุช จันทราภัย และเรณู วิชาศิลป์, 2541)
การสวดมังคละใจบ้าน (กั่นตอเจ้าบ้าน)
ความเชื่อของชาวไทใหญ่ถือว่า “ใจบ้าน” เป็นสถานที่มงคล ศูนย์กลางของชุมชน พิธีกรรมที่ปฏิบัติต่อใจบ้านทุกปี เรียกว่า “สวดมังคละใจบ้าน” (สวดมงคลใจบ้าน) เป็นการแสดงความขอบคุณที่ทำให้ตนได้มาอยู่ ณ สถานที่นั้นๆ อย่างเป็นสุข
พิธีกรรมดังกล่าวจะจัดขึ้นหลังจากเสร็จสิ้นวันสงกรานต์แล้ว โดยเริ่มตั้งแต่เช้าตรู่ ชาวบ้านจะจัดอาหารประกอบด้วย ขนมและผลไม้ใส่ตะกร้า ถาด หรือถังน้ำจากบ้านของตน เอาไปรวมไว้ที่หอใจบ้านเพื่อจะถวายแด่พระสงฆ์ ขณะที่พระสงฆ์สวดมงคลเพื่อให้อยู่ร่วมกันในสังคมอย่างสันติสุข ต้องมีวิธีปฏิบัติต่อกัน คือ มงคล 38 ประการ
เมื่อไปถึงหอใจบ้าน ชาวบ้านแต่ละคนจะนำธูปเทียนบูชาหอใจบ้านก่อน แล้วจึงนั่งรายรอบหอ พระสงฆ์จะนั่งตรงข้าม ชาวบ้านนำข้าวตอกมาด้วย จะใส่ข้าวตอกไว้ในมือที่พนมไหว้พระ ในขณะที่พระสงฆ์สวดมงคล เมื่อสวดมงคลจบไปตอนหนึ่ง ชาวบ้านจะโปรยขว้างซัดข้าวตอกลงไปบนพื้นดินรอบๆ ตัว เพื่อให้ภูมิพื้นที่มีความเป็นมงคลตามคำสวด
เมื่อพิธีแล้วเสร็จพระสงฆ์จึงกลับวัด ชาวบ้านจะนำผลไม้และขนมที่ทำพิธีไปส่งไว้ที่วัด จนเสร็จสิ้นพิธีกรรม “แก่วัด” (เจ้าจอวรรณะ) เอาน้ำพุทธมนต์ประพรมให้แก่ชาวบ้านโดยทั่วถึง จากนั้นก็ “ชอนน้ำไม้หย่อง” คือการรดน้ำต้นโพธิ์เป็นพิธีสุดท้าย (เรณู อรรฐาเมศร์, 2541)
พิธีกรรมเกี่ยวกับการเคารพผู้อาวุโส
พิธีกั่นตอ
“กั่นตอ” เป็นคำไทใหญ่ เพี้ยนมาจากภาษาพม่าว่า “กั่นต้อ” หมายถึง การแสดงออกทางเจตนาเพื่อขอขมาญาติผู้ใหญ่ ผู้นำชุมชน และพ่อแม่ แสดงออกถึงความกตัญญูกตเวทีที่มีต่อเครือญาติและผู้นำชุมชน และยังเป็นการรับพรจากผู้ที่เราเคารพนับถือเพื่อความเป็นศิริมงคลในชีวิตของตนเองและครอบครัว
ประเพณีกั่นตอหรือขอขมาจัดปีละ 2 ครั้ง ได้แก่ เดือน 5 และเดือน 11 (เดือนเมษายนและเดือนตุลาคม) หรือก่อนวันขึ้นวัด 1 วัน คือ ช่วงเวลาตั้งแต่วันที่ 14-15 เมษายนของทุกปี และขึ้น 14 ค่ำ เดือน 11 ของทุกปี กิจกรรมที่จัดมีการกั่นตอหรือขอขมาพระสงฆ์ และสรงน้ำพระพุทธรูปที่วัด ชาวบ้านในชุมชนจะจัดเตรียมน้ำส้มป่อย น้ำอบน้ำหอมในขันเงินที่เตรียมไป เมื่อกั่นตอหรือขอขมาพระสงฆ์และสรงน้ำพระพุทธรูปแล้ว พระสงฆ์ให้คำอวยพรเป็นเสร็จพิธี
นอกจากนั้น การกั่นตอจะจัดอีกครั้งในเดือน 11 คือ เดือนตุลาคมก่อนออกพรรษา จะเริ่มที่การกั่นตอบิดามารดา ญาติผู้ใหญ่ ในวันขึ้น 14 ค่ำ เดือน 11 เช้าวันรุ่งขึ้นมีการตักบาตรเทโว ตอนสายฟังเทศน์ ฟังธรรมที่วัด โดยช่วงวันแรม 2-3 ค่ำ เดือน 5 จะมีการกั่นตอต่างหมู่บ้าน หรือหมู่บ้านใกล้เคียง อาศัยวัดประจำหมู่บ้านเป็นศูนย์กลาง รูปแบบการกั่นตอแบ่งเป็น 2 ประเภทคือ
1. การกั่นตอบิดามารดา ผู้เฒ่าผู้แก่ ต้องมีการกั่นตอบิดามารดาทุกครั้งก่อนขึ้นวัดหนึ่งวัน เมื่อกั่นตอบิดามารดาแล้ว ก็จะกั่นตอผู้เฒ่าผู้แก่และญาติผู้ใหญ่ที่เคารพนับถือ สิ่งของที่ใช้สำหรับกั่นตอ เช่น ขนม ข้าวตอก ดอกไม้ ธูป และเทียน เพื่อกั่นตอลาโทษในสิ่งที่กระทำผิดทางกาย วาจาและทางใจ จากนั้นบิดามารดาจึงให้พร
2. การกั่นตอพระสงฆ์ หลังจากการกั่นตอบิดามารดาแล้ว ในวันรุ่งขึ้นต้องไปทำบุญที่วัด และมีการกั่นตอพระสงฆ์ โดยนำดอกไม้ ธูป เทียน น้ำส้มป่อยผสมน้ำอบน้ำหอม ข้าวตอก การกั่นตอพระสงฆ์อาจมีการนำน้ำส้มป่อยรดมือพระสงฆ์ด้วย จากนั้นพระสงฆ์ให้พร และการสรงน้ำพระพุทธรูปในวันศีลหรือวันพระจะมีในเดือน 5 หรือเดือนเมษายนของทุกปี
การรักษาโรคภัยไข้เจ็บ
ชาวไทใหญ่มีความเชื่อว่าความเจ็บไข้นั้นเกิดมาจากหลายสาเหตุ เช่น ผิดผี มีเคราะห์ ขวัญหนี ลมและพยาธิ (โรค) จึงมีการรักษาพยาบาลทั้งแบบไสยศาสตร์ การรักษาแผนโบราณ และแพทย์แผนปัจจุบันโดยพิธีกรรมที่เกี่ยวกับการรักษาโรคภัยไข้เจ็บ สรุปได้ดังนี้
1. ผิดผี ต้องทำพิธี “เลี้ยงผี” หรือ “เซ่นผี” มักจะเซ่นด้วยข้าว ขนม และผลไม้ ไม่ฆ่าสัตว์เลี้ยงผี เพราะถือว่าทำบาป
2. ขวัญหนี ต้องทำพิธีเรียกขวัญ
3. มีเคราะห์ จะให้หมอเมืองหรือพระสงฆ์ทำพิธีบูชาเทียน เพื่อเป็นการส่งเคราะห์ ซึ่งการจะทราบว่าผู้ใดมีเคราะห์นั้น จะทำโดยการนำเสื้อของผู้นั้นมาพับ เอาใบตอง 5 แผ่น วางซ้อนอยู่ในเสื้อจุดเทียนวางบนปากคนโทที่บรรจุน้ำเต็ม ยกคนโทวางบนเสื้อซึ่งมีใบตองซ้อนอยู่ ถ้าใบตองมีรอยไหม้เกรียม แสดงว่ามีเคราะห์ ถ้าไหม้ทุกแผ่นแสดงว่ามีเคราะห์มาก
พิธีส่งเคราะห์ จะจัดสิ่งของต่างๆ ได้แก่ (1) ข้าวสาร (2) กล้วยทั้งหวี (3) มะพร้าวดิบ (4) หมาก, พลู (5) ยาสูบ (6) ผลไม้อื่นๆ (7) ซองปัจจัยค่าขันตั้งครู (8) ช่อตุง (9) ฉัตรสีขาว 9 ชั้น (10) กรวยดอกไม้สีขาว 2 กรวย (ใช้ยวงฝ้ายแทนได้) (11) จอกน้ำ
การจะทราบว่าเคราะห์หมดเมื่อใดนั้น จะต้องหมั่นดูใบตอง เปลี่ยนใบตองจนกว่าจะไม่เกิดรอยไหม้เกรียมรูปก้นคนโทที่ใบตอง ผู้มีเคราะห์ต้องภาวนา สงบจิต ทำบุญทำทานทุกวันจนกว่าจะหมดเคราะห์ (นงนุช จันทราภัย และเรณู วิชาศิลป์, 2541)
ผู้นำในการประกอบพิธีกรรม
ชาวไทใหญ่มีความเชื่อทั้งความเชื่อทางพระพุทธศาสนาและความเชื่อเรื่องเทพและผีเจ้าเมือง ดังนั้นการประกอบพิธีกรรมจะมีผู้นำในการประกอบพิธีกรรมที่แตกต่างกันไปตามความเชื่อ
1. พระสงฆ์ เป็นผู้ประกอบพิธีกรรมทางด้านพุทธศาสนา เช่น การประกอบพิธีกรรมในวันพระ วันศีลใหญ่ การสวดมังคละใจบ้าน และพิธีกรรมที่เกี่ยวข้องกับชีวิต เป็นต้น
2. หมอเมือง หรือ ปู่เมือง เป็นผู้มีความรู้ในเรื่องพิธีกรรม โดยเฉพาะพิธีไหว้หอเจ้าเมือง มีบทบาทสำคัญอันเป็นสื่อกลางในการถ่ายทอดพิธี นอกจากนั้นหมอเมืองถือเป็นบุคคลที่ชาวบ้านเชื่อถือในคำพูด ต้องเป็นคนมีสัจจะ คำขอต่างๆจึงจะศักดิ์สิทธิ์ในพิธีไหว้หอเจ้าเมือง ปู่เมืองจะเป็นผู้สื่อสารกับเจ้าเมือง เมื่อเจ้าเมืองมาพร้อมกันแล้ว ปู่เมืองก็จะเป็นผู้สั่งให้ทำการสังเวยไก่แก่เจ้าเมือง ในการสอบถามเรื่องเหตุการณ์ต่างๆ ซึ่งปู่เมืองจะเป็นผู้ติดต่อกับเจ้าเมืองทั้งหมด ดังนั้น ปู่เมืองต้องเป็นคนดีอยู่ในศีลธรรม เป็นคนซื่อสัตย์ มีสัจจะ "การเป็นหมอเมืองไม่ได้อะไรตอบแทน นอกจากได้บุญ” (MGR Online, 2551)
3. จเร ผู้ทรงคุณวุฒิและวัยวุฒิในทางธรรม ศึกษาเรียนรู้การอ่านธรรมแบบไทใหญ่ ทำหน้าที่เป็นผู้นำในการประกอบพิธีกรรม เช่น การสมาทานศีล การนำไหว้พระเรียกขวัญส่างลอง เป็นต้น (โชคนิธินันต์ คุณยศยิ่ง, 2557)
การแสดง มหรสพ และการละเล่น :
การแสดง มหรสพ และการละเล่น
การแสดงจ๊าดไต
การแสดงจ๊าดไต เป็นการแสดงที่บ่งบอกความเป็นอัตลักษณ์ทางชาติพันธุ์ไทใหญ่ เป็นการรวมศาสตร์แห่งศิลปะทางการแสดงของชาวไทใหญ่ไม่ว่าจะเป็นการร้อง การรำ การดนตรี การละคร การเกี้ยวพาราสี บทวรรณกรรม เรื่องราวพุทธชาดก หรือวัฒนธรรมในมิติต่างๆ มาเรียงร้อยเป็นเรื่องราว แสดงบนเวทีที่มีฉาก แสง สี เสียง และองค์ประกอบทางการแสดง มักจะแสดงในงานพิธีสำคัญของชาวไทใหญ่ ทั้งนี้ คำว่า “จ๊าด” หมายถึง ความเป็นชาติ การมีวัฒนธรรมร่วมกัน คำว่า “ไต” หมายถึงกลุ่มชาติพันธุ์ไต
การแสดงจ๊าดไต คิดค้นขึ้นโดยนายอ่อเจ่ยะ ชาวบ้านม่วงแจ่น อำเภอหนองเขียว เมืองสีป้อ รัฐฉานเป็นผู้ที่มีความสนใจทางด้านศิลปะการแต่งคำกลอน บทเพลงแบบไทใหญ่ การแสดงจ๊าดไตเกิดขึ้นเมื่อคราวที่รัฐฉานตกเป็นอาณานิคมของอังกฤษที่เข้ามาสัมปทานป่าไม้ในพื้นที่ ในขณะนั้นผู้เฒ่าอ่อเจ่ยะรับหน้าเป็นแกนนำในการเตรียมการแสดงเพื่อต้อนรับคณะปกครองของอังกฤษนำโดยมิสเตอร์กอร์ดิน ชาวอินเดีย ซึ่งได้เข้ามาเที่ยวชมดูงานปอยหลวงในวันขึ้น 15 ค่ำเดือน 4 ณ เมืองแสนหวี โดยผู้เฒ่าอ่อเจ่ยะจัดเตรียมการแสดงร่ายรำแบบชาวไทใหญ่มาแสดงเพื่อให้ผู้มาเยือนเกิดประทับใจ ทว่ามิสเตอร์กอร์ดินได้ให้ความคิดเห็นต่อผู้เฒ่าอ่อเจ่ยะเกี่ยวกับการแสดงของชาวไทใหญ่ที่ได้ชมว่า
“การแสดงฟ้อนนกกิ่งกะหร่า ฟ้อนโต ของคนไทใหญ่ดูแล้วกี่ครั้งกี่คราวก็เหมือนเดิม ไม่เห็นมีอะไรเปลี่ยนแปลงหรือแปลกใหม่เลย อีกทั้งการแสดงของท่านก็เป็นเพียงการแสดงบนดิน เหตุใดจึงไม่คิดค้นการแสดงอะไรใหม่ๆ หรือการดนตรีอะไรใหม่ๆ ที่น่าสนใจแล้วนำมาร่ายรำบนเวทีเล่า คนดูไม่ว่าผู้น้อยผู้ใหญ่เขาจะได้นั่งดูอย่างสบายตา”
จากคำพูดในเชิงแสดงการดูแคลนดังกล่าว ผู้เฒ่าอ่อเจ่ยะจึงได้คิดค้นพัฒนารูปแบบการแสดงใหม่ๆ ขึ้น โดยในวันศีลใหญ่ เดือนกันยายน พ.ศ. 2487 ผู้เฒ่าอ่อเจ่ยะได้เปิดการแสดงแบบใหม่ขึ้น ถือเป็นแม่แบบของการแสดงจ๊าดไต เริ่มด้วยการขับขานบทเพลง “กวามโหลง” บทเพลงโบราณที่ผูกเรื่องราวของตำนานๆ หรือนิทานพุทธชาดก ประกอบกับเครื่องดนตรี ก่อให้เกิดความสนุกสนานและความประทับใจของผู้ชม ต่อมาผู้เฒ่าอ่อเจ่ยะได้พัฒนารูปแบบการแสดงให้ดียิ่งขึ้น มีการฝึกฝนนักแสดงที่มีฝีมือรวมเป็นคณะแสดง มีการปรับปรุงเครื่องดนตรีที่ได้แรงบันดาลมาจากเครื่องดนตรีตะวันตกอย่างไวโอลิน เรียกว่า “ตยอ หรือฮอนตยอ” หลังจากนั้นได้รับการสนับสนุนเงินทุนจากเจ้าฟ้าจ่าแสง แห่งเมืองสีป้อ สำหรับการจัดซื้ออุปกรณ์การแสดงต่างๆ ในที่สุดคณะจ๊าดไตได้ขึ้นแสดงเต็มรูปแบบบนเวทีการประชุมเมืองปางโหลง หลังจากนั้นการแสดงจ๊าดไตได้รับความนิยมมากขึ้น มีการเรียนรู้ถ่ายทอดการแสดงจ๊าดไตอย่างแพร่หลายในรัฐฉาน รวมถึงชาวไทใหญ่ที่อพยพย้ายถิ่นมาในภาคเหนือของประเทศไทยด้วย (เกียรติก้อง ศิลปะสนธยานนท์, 2555)
การแสดงจ๊าดไต จะมีความคล้ายคลึงกับการแสดงลิเกในภาคกลางของประเทศไทย ดังนั้นการแสดงจ๊าดไตจึงมีคำเรียกหนึ่งว่าเป็น “ลิเกไทใหญ่” โดยในการแสดงจะมีชุดนักแสดงประมาณ 20-50 หรือมากกว่า ขึ้นแสดงบนเวที มีฉาก เครื่องดนตรีสำคัญ ได้แก่ ตียอ ปัตตะยา กลองป๊อดมองเซิง ปี่ และจี นักแสดงแต่งกายแบบไทใหญ่เริ่มการแสดงจะมีพิธีไหว้ครูตามแบบประเพณีไทใหญ่ จากนั้นมีการร่ายรำเป็นชุดเพื่อบูชาครูการแสดงแล้วจึงแสดงตามเนื้อเรื่อง เช่น พระเวสสันดรชาดก ทศชาติ วรรณคดีอื่นๆ หรือเนื้อเรื่องที่คิดขึ้นมาใหม่ตามสถานการณ์ปัจจุบัน ทั้งนี้เนื้อเรื่องจะผูกโยงคติสอนใจ มุ่งให้คนทำความดี เน้นศีลธรรม (วิสุทธิ์ เหล็กสมบูรณ์ และคณะ, 2552)
เพลง
เพลงพื้นบ้านของชาวไทใหญ่ เรียกว่า “กวามไต” ส่วนการขับร้องเพลง เรียกว่า “เฮ็ดกวามไต” แนวเพลงไทใหญ่แบ่งได้ 2 ประเภท (สถาบันไทใหญ่ศึกษา วิทยาลัยชุมชนแม่ฮ่องสอน, 2554) ได้แก่
แนวเพลงแบบไตเก่า (เพลงพื้นบ้านดั้งเดิม) มีทั้งหมด 14 ทำนอง มีทั้งแนวการร้องที่ใช้เครื่องดนตรีประกอบ และแนวการร้องที่ไม่ใช้เครื่องดนตรีประกอบ ได้แก่
กวามแลบ คำประพันธ์ทั่วไป (ร้อยแก้ว)
กวามตอลอ เดิมเป็นเพลงขอทาน ร้องประกอบดนตรีตอลอ หมากพร้าวหรือตอยอ
กวามหยอบย่อย เป็นทำนองที่เน้นระดับเสียงขึ้นลง มีเอื้อนตอนท้าย ร้องประกอบดนตรีตอยอ
กวามปานแซง เป็นเพลงร้องประกอบท่าทาง ร้องประกอบเครื่องดนตรีจ้าดไต
กวามจ้าด เป็นเพลงร้องในการแสดงจ้าดไต ร้องอวยพร ร้องอบรมสั่งสอน ประกอบเครื่องดนตรีจ้าดไต
กวามกย้อกั๋น (เพลงโต้ตอบ) เป็นเพลงโต้ตอบเกี้ยวพาราสี ระหว่างชายหญิง พระเอกนางเอก ประกอบดนตรีจ้าดไต
กวามหลั่นต้าง เป็นเพลงที่มีลีลาการร้องเป็นวรรคๆ ไม่มีดนตรีประกอบ
กวามว้อกลีกเขียว เป็นเพลงร้องบรรยายจดหมายรักไม่มีดนตรีประกอบ
กวามเซกุง (กวามโหลง) เป็นแม่แบบทำนองในการอ่านหนังสือธรรมะไทใหญ่ ไม่มีดนตรีประกอบ
กวามเขียวต้องลิด เป็นกวามร้องแบบอ่านกลอน คล้ายการร่ายยาวจดหมายร้องประกอบเครื่องดนตรี ปี่ต้องลิด
กวามเอ่เฮ เป็นเพลงพื้นบ้านทำนองสั้น ใช้ร้องสนุกสนาน ในการแห่เครื่องไทยทานปอยส่างลอง ร้องประกอบการตีกลองก้นยาว
กวามนกกือ เป็นการร้องเลียนเสียง และลีลาของนกกือ (นกเขาใหญ่)ใช้ร้องเกี้ยวพาราสีไม่มีเครื่องดนตรีประกอบ
กวามอือลูกอ่อน (เพลงกล่อมเด็ก) ใช้ร้องกล่อมเด็กนอนมีการเอื้อนเสียง ถ้าเป็นเพลงอุ่งจา จะร้องเป็นท่อนๆ ไม่มีดนตรีประกอบ
กวามล่องคงตอนใต้ ผู้แต่งแนวทำนองนี้ คือ จเรปางหมู เป็นการนำคำประพันธ์ในลีกโหลง มาใส่ทำนองเป็นกวามอ่อน เป็นคำประพันธ์ที่มีรูปแบบการสัมผัส เป็นกวามสองกิ๋ว สามกิ๋ว หรือสี่กิ๋ว ใช้ร้องรื่นรมเกี้ยวพาราสี นิยมร้องตั้งแต่รัฐฉานตอนใต้จนถึงจังหวัดแม่ฮ่องสอน ไม่มีเครื่องดนตรีประกอบ
แนวเพลงแบบไตใหม่ (เพลงไตสากล) เป็นการร้องและบรรเลง ตามแนวทำนองเพลงสากลทั่วๆ ไปมีความนิยมในกลุ่มเยาวชน นักร้องที่มีชื่อเสียง เช่น จายสายเมา จายเจิงหาญ
การร่ายรำ
ก้า (การฟ้อน-การแสดงศิลปะ) ลายไต เป็นการฟ้อนของชาติพันธุ์ไตที่เกี่ยวกับศิลปะการต่อสู้ ประกอบไปด้วยการศิลปะการฟ้อน 5 ประเภท ได้แก่
1. ก้าลาย การฟ้อนรำที่ประยุกต์มาจากการต่อสู้ด้วยมือเปล่า
2. ก้าเลว การฟ้อนดาบ
3. ก้าลายค้อน การฟ้อนรำที่ใช้กระบี่กระบอง คล้ายกับคนไทย
4. ก้าลายหอก การใช้หอกเป็นอาวุธ
5. ก้ามีดสั้น การใช้มีดสั้นเป็นส่วนประกอบ
ในปัจจุบันการฟ้อนที่ยังคงหลงเหลืออยู่ คือ ก้าลายและก้าเลว ส่วนก้าลายค้อน ก้าลายหอก และก้ามีดสั้นนั้น เริ่มสูญหายไป เนื่องจากไม่มีผู้สืบทอด ในอดีตผู้ชายไทใหญ่ทุกคนจะต้องเรียนรู้ศิลปะป้องกันตัวด้วยมือเปล่า หรือ ก้าลาย จากสล่าบ้านหรือพระครูอาจารย์ การก้าลายจะต้องอาศัยการฝึกฝนอย่างจริงจัง เพราะเป็นการฟ้อนที่ต้องอาศัยทั้งความนุ่มนวลอ่อนช้อยร่วมกับความทะมัดมะแมง การก้าจะนิยมแสดงในเทศกาลปอยเหลิง 11 การแห่เจ้าพาราในวันออกพรรษา เพื่อเป็นการต้อนรับพระพุทธเจ้าเสด็จกลับจากการเทศนาธรรมให้แก่พระมารดาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์สู่โลกมนุษย์ (Thai PBS, 2562)
การฟ้อนนกกิ่งกะหร่าและโต (ก้านก ก้าโต) เป็นการฟ้อนในแบบฉบับของชาวไทใหญ่ ใช้นักแสดงที่ใส่ชุดนกกิ่งกะหร่า และนักแสดงใส่ชุดโต ฟ้อนรำไปตามท่วงทำนองของเครื่องดนตรี คำว่า "กิงกะหร่า” มาจากภาษาบาลีว่า "กินนรหรือกินนรา” ซึ่งเป็นสัตว์ในนิยายประเภทอมนุษย์ที่มีหัวเป็นคนมีตัวเป็นนก อาศัยอยู่ในป่าหิมพานต์ การฟ้อนรำของนกกิ่งกะหร่าจะเป็นการร่ายรำอ่อนช้อยกรีดกรายคล้ายนกยูง ผู้แสดงฟ้อนนกกิ่งกะหร่ามีทั้งชายและหญิง นักแสดงหญิงจะแต่งเป็นนกกิ่งกะหร่าตัวมีย เรียกว่า “กิ่งนะหรี่” นักแสดงชายแต่งเป็นนกกิ่งกระหน่าตัวผู้ เรียกว่า “กิ่งนะหร่า” ส่วน “โต” เป็นสัตว์ในนิยายสมัยพุทธกาล ใช้ผู้แสดงสองคนอยู่ในหุ่นคล้ายกวาง เต้นรำเป็นจังหวะกลองก้นยาว
การฟ้อนนกกิ่งกะหร่าและโต มักจะแสดงคู่กันเสมอ นิยมแสดงฟ้อนในช่วงออกพรรษา เนื่องจากเป็นตำนานความเชื่อในสมัยพุทธกาลที่ว่า เมื่อครั้งพระพุทธเจ้าเสด็จกลับจากการเทศนาธรรมให้แก่พระมารดาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์สู่โลกมนุษย์ที่ตรงกับวันเข้าพรรษา (วันพระเจ้าเปิดโลก) มีประชาชนทุกหมู่เหล่า ไปจนถึงสัตว์น้อยใหญ่ เช่น เสือ สิงห์ ช้าง ลิง นกกิ่งนะหร่า นกกิ่งนะหรี่ และโต เป็นต้น ซึ่งชาวไทใหญ่ได้นำเอาเหตุการณ์ดังกล่าวมาเป็นการแสดงฟ้อนนกกิ่งกะหร่าและโต เพื่อเป็นการแสดงเชิงพระพุทธศาสนาสืบต่อกันมา (เกียรติก้อง ศิลปะสนธยานนท์, 2555)
เครื่องดนตรี
กลองก้นยาวเป็นกลองศักดิ์สิทธิ์ของชาวไทใหญ่ ใช้สำหรับตีประกอบการฟ้อน ได้แก่ ฟ้อนมือ ฟ้อนโต ฟ้อนดาบ ฟ้อนนก และการตีในงานมงคล ได้แก่ ปอยส่างลอง ปอยออกหว่าหรือออกพรรษา และยังใช้ตีในงานแห่เพื่อความสนุกสนานอีกด้วย กลองก้นยาวทำมาจากไม้ซ้อ ซึ่งเป็นไม้เนื้ออ่อน น้ำหนักเบา ไม่แตกหักง่าย นอกจากนั้นยังเป็นความเชื่อว่าเมื่อใช้ไม่ซ้อในการกลอง เมื่อคนได้ยินเสียงก็จะดึงดูดใจ บ้านที่มีกลองถือว่ามีบุญเหมือนกับคนที่ทำบุญถือศีล ขนาดและความยาวของกลองก้นยาวมีความแตกต่างกันไปตามแต่ละพื้นที่ขึ้นอยู่กับความต้องการของผู้ตีกลองและความยาวของไม้ที่ใช้ทำ นอกจากนั้นในการตีกลองก้นยาว ผู้ตียังมีลีลาในการตีด้วย เรียกว่า “กาปั่นกลอง” เป็นท่ารำแล้วหมุนกลอง ถือเป็นลีลาแท้ๆของชาวไทใหญ่ อย่างไรก็ตามลีลาการตีกลองไม่ได้มีกำหนดไว้ตายตัว ทั้งนี้ความสำคัญของกลองก้นยาวสำหรับชาวไทใหญ่มี 4 ประเด็น
(ขำคม พรประสิทธิ์, 2559) ได้แก่ หนึ่ง ความไพเราะ มีเสียงกังวานนุ่มนวล สอง การแสดงลีลาการตีกลองซึ่งแตกต่างไปจากการตีกลองชนิดอื่น สาม ความสัมพันธ์ระหว่างผู้ตีกลองและผู้แสดง ท่าทางและจังหวะกลองที่สัมพันธ์กันอย่างเป็นธรรมชาติ ยืดหยุ่น ไม่มีรูปแบบตายตัว สี่การสร้างวัฒนธรรมที่เข้มแข็งของชาวไทใหญ่
ตอยอฮอร์น เป็นเครื่องดนตรีประเภทเครื่องสีของชาวไทใหญ่ เป็นเครื่องดนตรีที่มีความสำคัญโดยเฉพาะการสีตอยอฮอร์นประกอบการขับร้องที่เรียกว่า “เฮ็ดกวาม” ชาวไทใหญ่นิยมสีตอยอฮอร์นประกอบการเฮ้ดกวามในวันขึ้น 13 ค่ำ เป็นวันดา หรือวันก่อนวันพระ นอกจากนั้นตอยอฮอร์นยังเป็นเครื่องดนตรีที่มีบทบาทในการบรรเลงประกอบการขับร้องในการแสดงจ๊าดไตอีกด้วย (บุษกร บิณฑสันต์ และคณะ, 2558)
มองกาก เป็นเครื่องดนตรีที่ทำมาจากไม้ไผ่สด 2 ชิ้น ไม้ไผ่ยาวประมาณ 1 ศอก ด้านหนึ่งมีตา ตัดเว้า ด้านกระบอกเหลือกระบอกประมาณ 1 คืบ ตกแต่งการให้เสียงโดยวิธีผ่าปากกระบอก และความหนาของปากกระบอกให้สามารถทำเสียงได้ตามต้องการ ใช้มือทั้งสองจับข้างละ 1 ชิ้น โดยจะตีทำนองจากกระบอกไม้ไผ่ประกอบกับลีลาของนักดนตรีตามจังหวะของทำนอง ทำนองการตีมองกากมี 3 ลายที่สำคัญ (ขำคม พรประสิทธิ์, 2559) ได้แก่
ลายก้นยาว เสียงที่ดังออกมาจะเป็นเสียง ของโหม่งและฉาบ และเมื่อฟังเป็นภาพรวมแล้วก็จะเป็นเสียงของวงกลองก้นยาว
ลายมองเซิง เสียงที่ดังออกมาจะ เป็นเสียงของโหม่งและฉาบ และเมื่อฟังเป็นภาพรวมแล้วก็จะเป็นเสียงของวงกลอง มองเซิง
ลายนกหมาบุ๊ก เสียงที่ดังออกมาจะเป็นเสียงเลียนเสียงนก ซึ่งสันนิษฐานว่าเป็นนกโพระดก
เกม การละเล่น
ชาวไทใหญ่เรียกการละเล่นต่างๆ ว่า “ตางเล่นตางแข่ง” ประกอบไปด้วย
แข่งก๋องไต การแข่งขันตีกลองที่เรียกว่า “กองปู่เจ่” หรือ กลองก้นยาว วิธีการแข่งจะพิจารณาจากท่วงท่าลักษณะการตีกลองของผู้แข่งขัน และฟังเสียงตีกลอง ที่มีลักษณะเสียงต่างกันไป
หมากข่วย คือ การเล่นสะบ้า โดยการเอาลูกสะบ้าล้อมเป็นวง ใช้สะบ้า 5 ลูก ให้คนทอย หากฝ่ายไหนชนะฝ่ายนั้นได้ข่วย คือเอาปูนแดงหรือปูนขาวป้ายหน้าฝ่ายตรงข้าม
หมากกอน แบ่งคนเล่นเป็น 2 ฝ่าย โดยโยนลูกสะบ้าให้กัน หากฝ่ายไหนรับไม่ได้ถือว่าแพ้ จะโดนรดน้ำจนเปียก
หมากนิมก๊ก แบ่งคนเล่นเป็นสองฝ่าย ฝ่ายละกี่คนก็ได้ ฝ่ายหนึ่งจะเป็นผู้ตั้งสะบ้า หากฝ่ายใดยิงถูกหมดและแต่ละลูกกระเด็นไป 1 วา ถึงจะถือว่ายิงได้ ถ้าตั้งใจยิงลูกใดจะยิงลูกนั้นตลอด หากยิงกระเด็นไประยะทางน้อยกว่า 1 วา จะไม่ได้คะแนน เรียกว่า “วาห่วย” เมื่อยิงได้แล้วจะเริ่มขั้นตอนที่สอง คือ การใช้เท้าดีดลูกที่กระเด็นออกไปกระทบลูกอื่นๆ จนครบ เรียกว่า “เอาตีนปิ้ด” ถ้าถูกหมดแล้วตั้งลูกเดียวยิงใหม่เรียกว่า “วา ห่วยใหม่” เมื่อทำได้แล้วจึงเริ่มขั้นตอนที่สาม เอามือดีด 3 ลูกใหม่ ยิงไปเรื่อยๆ จนยิงถูก และลูกกระเด็นไป 1 คืบ ยิงให้ถูกทั้ง 3 ลูก เมื่อทำได้แล้วก็ตั้งลูกใหม่อีก เอานิ้วดีด หากดีดถูก 1 ลูก ได้เอ็น 1 หากดีดถูกทั้ง 3 ลูก เรียกว่าได้ 3 เอ็น เป็นอันจบรอบ หากขั้นตอนใดทำไม่ได้ครบตามกำหนด ต้องเปลี่ยนให้ฝ่ายตรงข้ามเล่นต่อไป (นงนุช จันทราภัย และเรณู วิชาศิลป์, 2541)
วรรณกรรมท้องถิ่น :
วรรณกรรมท้องถิ่น
ชาวไทใหญ่มีตำนานและพงศาวดาร ได้แก่ ตำนานเมืองเมา ตำนานเมืองแสนหวี และพงศาวดารไทใหญ่ โดยมีรายละเอียดดังนี้
ตำนานเมืองเมา
ยามนั้นมีอัครมหเสีเจ้าฟ้าองค์หนึ่ง ชื่อ นางเกสนี ทรงตั้งครรภ์แก่ นอนผิงแดดอยู่บนตั่งกลางชาน ห่มผ้ากำมะหยี่สีแดง มีนกถิหลั่งก่า (หัสดีลิงค์) ตัวใหญ่ตัวหนึ่ง บินว่ายมาบนฟ้า เห็นนางอัครมเหสี สำคัญว่าเป็นก้อนเนื้อ จึงโฉบลงมาคาบนางบินสู่ฟ้าไปถึงป่าหิมวัน นำเอานางไว้บนค่าคบไม้งิ้วใหญ่และจะกิน นางจึงฮึดฮัดร้องเสียงดังขึ้น นกถิหลั่งก่าตกใจ บินหนีไปขณะอยู่บนต้นไม้ นางให้กำเนิดทารกชาย จึงเลี้ยงทารกอยู่เหนือไม้งิ้วนั้น
วันหนึ่ง อาลกัปปฤๅษีเดินผ่านมาได้ยินเสียงร้อง จึงแหงนดู เห็นสองแม่ลูก ซักถามถึงความเป็นมา นางเกสนีเล่าให้ฟังสิ้น เจ้าฤๅษีจึงนำบันไดมาก่ายขึ้นไปพาสองแม่ลูกลงมา พาไปยังที่อยู่แห่งตน เจ้าฤๅษีจึงอยู่กับนางเกสนีฉันสามีภรรยา ส่วนทารกน้อยให้ชื่อว่า ขุนแสงอูติ่ง เมื่อขุนแสงอูติ่งอายุได้ 15 ปี พระอินทร์นำพิณ (ติ่ง) มามอบให้ เมื่อดีดพิณแล้วช้างในป่าจะพากันมาหา เป็นสหาย ต่อมาขุนแสงอูติ่งจึงพาฝูงช้างเข้าเมืองเพื่อหาพระบิดา และได้ครงราชสมบัติสืบต่อมาหลังจากประบิดาเข้าสวนหมากรากคำ (สิ้นพระชนม์) แล้ว ด้วยเหตุที่นางอัครมเหสีถูกนกถิหลั่งก่าคาบบินมากลางท้องฟ้า รู้สึก “เป็นไข้หัวเมา” เหนื่อยแดดเหนื่อยลม ดินแดนนั้นจึงถูกเรียกว่า “เมืองเมา” (เรณู วิชาศิลป์, 2541)
ตำนานเมืองแสนหวี
เมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จปรินิพพานไปแล้ว ศาสนาปีเมืองนับได้ 1274 ปี ศักราช 72 ปี มีสองปู่ย่าผัวเมียปลูกสวนกล้วยอยู่ที่บ้านเจ้ต้องเมืองเมา มีลูกชายนามว่า “ขุนอ้าย” ขุนอ้ายมีน้ำเสียงไพเราะ ชอบร้องเพลงอยู่ริมน้ำ วันหนึ่งนางนาคชื่อ “ปัพพวตี” ขึ้นมาเที่ยวเมืองคน ได้ยินเสียงเพลงเพราะถูกใจ จึงแปลงกายเป็นปลาทองมาว่ายอยู่ใกล้ๆ ขุนอ้ายก็พึงพอใจ จับปลาทองขึ้นมาพูดจากัน ขุนอ้ายจึงรู้ว่านางเป็นนาค ทั้งสองจึงรักไคร่สมสู่กันเป็นสามีภรรยา นางนาคปัพพวตีชวนขุนอ้ายลงไปอยู่เมืองนาคา บิดาของนางจึงจัดงานมงคลให้เป็นคู่อยู่กินกันในเมืองนาคาต่อไป อยู่ได้เดือนปลาย นางนาคาก็ตั้งครรภ์
ตามประเพณีของชาวนาค ทุก 3-4 เดือน จะต้องเล่นปอยน้ำ (งานประเพณีเล่นน้ำ) นางจึงนำขุนอ้ายไปไว้ยังหอแห่งหนึ่ง แล้วกำชับให้อยู่เฉพาะในนั้น อย่าออกไปไหน นางขออนุญาตไปเล่นน้ำในอุทยาน เมื่อไปถึงอุทยานแล้วก็ลอกร่างเป็นนาคา ลงเล่นในหนองน้ำกับชาวนาคทั้งหลาย ดำผุดดำว่าย เอาหางฟาดน้ำเสียงดังรางกับฟ้าจะแตก เมืองทั้งเมืองมืดมิดหมดสิ้น ขุนอ้ายรู้สึกแปลกในมาก จึงขึ้นไปบนหอคอยได้เห็นพญางูใหญ่เล่นน้ำอยู่ก็ตกใจกลัว ค่ำวันนั้นนางปัพพวตีกลับมาเห็นขุนอ้ายหน้าหมองอยู่ ขึงไต่ถามทุกข์สุข ขุนอ้ายจึงบอกว่าเป็นเพราะคิดถึงบ้านเมืองแลพ่อแม่ เพราะจากมานานโดยที่พ่อแม่ไม่รู้ข่าวคราว อยากจะขอกลับบ้านเมือง นางนาคพ้นที่จะห้าม จึงไปเล่าความให้พระยานาคผู้บิดาฟัง บิดาจึงแนะนำให้คืนส่งเมือง มิเช่นนั้นจะเกิดโรคาพยาธิลงในเมืองนาค
นางนาคนำขุนอ้ายมาถึงรินน้ำที่ทั้งสองเคยพบกัน แล้วบอกแก่ขุนอ้ายว่า นางครรภ์แก่มากแล้ว นางจะมาวางไข่ไว้ที่แห่งนี้ ขอให้ขุนอ้ายมาดูบ่อยๆ นางเป็นนาคจะเกิดลูกเป็นคน ซึ่งไม่เคยปรากฏมาก่อน ดังนั้นนางจึงขอมอบลูกไว้ให้ขุนอ้าย ขุนอ้ายจึงติงว่าตนเป็นผู้ชายไม่มีน้ำนมให้ลูก รู้สึกคับตีบหนีบใจมาก นางจึงบอกว่าถ้าขุนอ้ายอ้อนวอนนึกถึงชื่อนาง ก็จะมีน้ำนมไหลออกมาจากปลายนิ้วชี้
ขุนอ้ายกลับมาเล่าให้พ่อแม่ฟังถึงเรื่องราวของตนและเทียวไปริมน้ำทุกวันจึงพบไข่นาคาในวันหนึ่ง ขุนอ้ายเกรงว่าไข่จะถูกทำลาย จึงเอาไปตองทึง (ใบพลวง) ห่อเอาไว้และไปแอบดูทุกวัน จนผู้เป็นแม่สงสัยแอบตามไปดู และแนะนำให้เอาไข่มาไว้ที่เรือน ต่อมาไข่แตกเป็นคน จึงให้ชื่อว่า “ขุนทึงคำ” ตามชื่อใบตองที่ปกห่มไข่ไว้ เมื่อขุนทึงคำอายุได้ 15 ปี จึงขอไปหามารดาและตายาย อธิฐานให้มารดามารับพาไปเมืองนาคา พระยานาคได้มอบแสง (เพชร) ให้ลูกหนึ่ง หวายวิเศษหนึ่งเล่ม และสั่งว่าหากมีเรื่องเดือดร้อนใจให้เอาหวายวิเศษฟาดน้ำสามที เสียงจะดังไปถึงเมืองนาคา
ในขณะนั้น เจ้าว่องเต้ หอแสงเมืองมิถิลา มีลูกสาวหนึ่งคน ชื่อนางปัพพวดี อายุ 14 -15 ปี มีท้าวขุนเมืองอื่นๆ มาขอนางหลายคน เจ้าว่องเต้ตัดสินใจไม่ได้ว่าจะยกให้ใคร จึงให้นำนางปัพพวดีไว้ไว้ยังปราสาทกลางหนองน้ำใหญ่ ในหอปราสาทมีกลองหลวงลูกหนึ่ง เจ้าว่องเต้ให้ป่าวประกาศว่า ถ้าผู้ใดเข้าไปหานางถึงหอโดยไม่ใช้เรือหรือก่ายสะพาน และตีกลองให้ได้ยินทั่วกัน ก็จะอภิเษกสมรสผู้นั้นกับนางปัพพวดี
เจ้าขุนทึงได้ข่าวนี้ จึงเอาฝ่ามือตบดินสามทีเรียกมารดานาคขึ้นมา และเล่าความให้ฟัง นางนาคทอดตัวให้เจ้าขุนทึงเดินข้ามไปถึงหอนางปัพพวดี แล้วตีกลองสามที เจ้าว่องเต้จัดงานมงคลให้แก่ทั้งสอง แล้วมอบช้าง ม้า ข้า คน ให้มาส่งถึงเมืองเมา ตั้ง “เวียงตึงขอ” ในปี 125 (ตามศักราชพม่า) เจ้าขุนทึงมีลูกชายชื่อ เจ้าขุนลู เจ้าขุนทึงครองเมืองไม่ถูกใจอำมาตย์ จึงถูกเถ้าเมืองท้าวเลก เถ้าเมืองท้าวขาง เถ้าเมืองท้าวขางหอบ ท้าวขางฮอง ฆ่าตายในปี 197 เมื่อขุนทึงคำเข้าสวนหมากรากคำ (สิ้นพระชมม์) เจ้าขุนลูจึงขึ้นครองราชย์ต่อมา
เจ้าขุนลูครองเมืองอยู่ 80 ปี เมื่อสิ้นพระชนม์ เจ้าขุนไล (โอรสเจ้าขุนลู) ขึ้นนั่งเวียงตึงขอต่อมาจนสิ้นพระชนม์ เจ้าขุนไลคำ (โอรสเจ้าขุนไล) ครองเมืองจนถึงศักราช 313 จึงเข้าสวนหมากรากคำ เป็นอันสิ้นสุดเวียงตึงขอ ส่วนเมืองแสนหวีนั้น ได้ชื่อมาเพราะปู่ย่าสองผัวเมียปลูกกล้วยมีจำนวนถึงแสนหวี (เรณู วิชาศิลป์, 2541)
พงศาวดารไทใหญ่
เมื่อขุนลู ขุนไล ไต่บันไดลงมาจากฟ้ามาครองเมืองฮี เมืองฮำ เมืองลา ริมฝั่งโขง ทั้งสองแบ่งเขตกันปกครอง ขุนลูหลวงหว่านเครือขุนเครือข้าอยู่เมืองฮีเมืองฮำ ขุนไลข้ามน้ำโขงไปฟากหน้าขุนลูครองเมืองมาสามชั่วคน จนมีลูกถึง 100 คน หลาน 1,000 คน เหลน 30,000 คน
ยามนั้นเมืองลุ่ม เมืองกลาง คือ เมืองแถบตะวันตกของแม่น้ำสาละวิน ไม่มีเจ้าปกครอง ท้าวเลก ท้าวขาง ท้าวขางหอบ ท้างขางฮอง เรียกลูกหลานไททั้งหลายในหน้าฟ้าเมืองไทมาประชุมกัน แล้วพากันไปขอเอาผู้เป็นเชื้อสายของขุนลูขุนไลที่เมืองฮีเมืองฮำฝั่งโขงเมืองลามาเป็นเจ้า ได้เจ้าไทขาน และลูกอีก 5 คน ไปครองเวียงแสนแส บ้านเจ้แถบดอยลิง อีก 8 หน้าฟ้าเมืองไท ก็แบ่งกันไปปกครอง ดังนี้
1. ขุนท้าวเอาขวา เป็นเต้าเมืองนาย เชียงคำ เชียงของ หมอกใหม่
2. ขุนท้าวแจนคำ เป็นเจ้าเมืองหนอง ยองห้วย หนองบอน เมืองปาย
3. ขุนท้าวงาลุม เป็นเจ้าเมืองเมา เมืองวัน เมืองนา เมืองขอน เจ้ฝาง เมืองเครือ
4. ขุนปาวัวเถื่อน เป็นเจ้าเมืองติง กึ๋งม้า เมืองสิง
5. ท้าวขุนลูลือ เป็นเจ้าเมืองฮืม เมืองยาง เมืองขาตายา
6. ขุนคำปองฟ้า เป็นเจ้าเวียงกะเล เวียงเสือ
7. ขุนปากเสือหลวง เป็นเจ้าเมืองกุ๊ด เมืองหลวง สุมสาย
8. ขุนสิงปุงพา เป็นเจ้าเมืองขึงกวายหลำ
ลูกเจ้าไทขานสองคนนั้น ได้แบ่งกันปกครองเมืองต่างๆ คือ ขุนคำแข่นฟ้า ไปเป็นเจ้าเมืองเกงลาว เมืองเลม บ้านบ่อ เมืองยาง เมืองกอง และท้าวขุนแวน เป็นเจ้าเมืองยิน เมืองยุก เมืองตัด เมืองป๊อ เมืองฮอบ ขุนปากเสือหลวง อยู่เมืองหลวงสุมสาย 3 ปี ก็ไม่พอใจชาวบ้านคนเมือง จึงไปเป็นเจ้าเมืองแจ้ด เมืองปอน
ต่อมา ปี พ.ศ. 1650 เป็นสมัยของเจ้าเสือข่านฟ้า (เสือขวัญฟ้า) มีอำนาจและขยายอาณาเขตไปถึงยูนนาน เจ้าสามหลวงฟ้า เมืองกอง ได้รับแต่งตั้งให้เป็นแม่ทัพใหญ่ไปสู้รบศึกทุกครั้ง เมืองที่ได้ไว้ในอำนาจ คือ กะฉิ่น คำตี่ เมืองกลางเจ้เครือ แสนหวี เมืองนาย กึ๋งม้า กัมพูชา ล้านช้าง เชียงใหม่ เชียงแสน อยุธยา และไปจนถึงอัสสัมในอินเดีย
เมื่อเจ้าสามหลวงไปรบอัสสัมนั้น เจ้าเสือข่านฟ้าได้มอบให้อำมาตย์ 2 คน ตามไปด้วย เมื่อกลับคืนมาอำมาตย์ทั้งสองได้เล่าให้เจ้าเสือข่านฟ้าฟังว่าเจ้าสามหลวงเมืองกองมีแผนการคิดกบฎเพื่อตนเองจะได้เป็นขุนหอคำเมืองเมาหลวงแทน เจ้าเสือข่านฟ้าจึงให้คนจับเจ้าสามหลวงฆ่าเสีย
เจ้าเสือข่านฟ้า เป็นเจ้าอยู่ถึง 45 ปี จึงสิ้นพระชนม์ที่สีป้อ ผู้สืบเครือเจ้าเสือข่านฟ้าต่อมาไม่เข้มแข็งเท่า เมืองอื่นๆ จึงแยกตัวจากเมืองเมาหลวงเป็นอิสระ และแข่งขันกัน ไม่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันเหมือนเดิม
ปี พ.ศ. 1793 มีคนไทคนหนึ่งชื่อ แสงคำปัน มีลูกชาย 3 คน คือ อ้ายแสงไข่ ยี่แสงก่าม และแสงใส มีลูกสาวคนหนึ่ง ซึ่งเป็นชายาของสีหสุ โอรสของสีหปเต่ ขุนพ่ายแข่หรือกษัตริย์หนีเจ๊ก (โตย้กเปยฺมิน) ลูกชายทั้งสามได้เป็นเจ้าครองเมืองพุกาม
ปี พ.ศ. 1955 แสนหสีเป็นเหง้าเมืองไททิศตะวันตกของแม่น้ำคง (สาละวิน) มังรายกยอชวา (มินเยจ่อจวา) มาตีเมืองแสนหวีได้ ในตำนานเมืองแสนหวีกว่าไว้ว่า แสนหวีแลเชียงตุงผิดใจกัน ทำศึกกันในปี พ.ศ. 2002 เชียงตุงแพ้ตกอยู่ในการปกครองของแสนหวี
ปี พ.ศ. 2062 เจ้าเสือห่มฟ้า รบเอาอังวะ เมืองแปรไว้ในอำนาจ หมดชั่วเจ้าเสือห่มฟ้า เจ้าเมืองปายนฤปติสืบแทน
ปี พ.ศ. 2198 ปยิ่นน่อง (บุเรงนอง) รบเอาอังวะได้ ในปีนั้นก็มาตีชาวไททางทิศเหนือแควน้ำอิระวดี
ตีได้ถึงเมืองเมา เมืองนาย สีป๊อ จนเมืองเหล่านั้นตกอยู่ในมือของพม่า
ในช่วงที่ชาวไทตกอยู่ใต้อำนาจพม่านั้น พม่าส่งพระสงฆ์เข้ามาในเมืองไทมากมาย จึงทำให้ชาวไทรับพุทธศาสนาแบบพม่า รวมทั้งจารีตประเพณีแบบพม่าไปมาก จนถึง พ.ศ. 2429 ชาวไทก็เปลี่ยนมาตกอยู่ในมืออังกฤษ (เรณู วิชาศิลป์, 2541)