รูปแบบการตั้งถิ่นฐาน :
รูปแบบการตั้งถิ่นฐาน
จากบันทึกคำบอกเล่าจากผู้อาวุโสที่สืบทอดความทรงจำจากรุ่นต่อรุ่น ว่า เส้นทางที่ม้งเข้ามายังประเทศไทยมีอยู่สามเส้นทาง (ประสิทธิ์ ลีปรีชา, 2549,11-12) คือ เส้นทางแรก อยู่บริเวณชายแดนจังหวัดน่านและพะเยา ซึ่งมีภูแวและภูลังกาเป็นหลัก จากนั้นกลุ่มที่เข้ามาทางนี้ก็อพยพโยกย้ายไปยังขุนสถาน ดอยช้าง ดอยอ่างขาง ภูหินร่องกล้า เขาค้อ และดอยละแหง (Rooj looj heem) เส้นทางที่สอง คือ เข้ามาทางบริเวณภูชี้ฟ้าและดอยผาหม่น และที่ราบระหว่างเมืองเชียงของกับเชียงแสน จากนั้นเดินทางต่อมายังดอยยาว ดอยช้าง ดอยอ่างขาง ดอยผ้าห่มปก (Laim Phuas Puv) และดอยจักตอก (Laim Caaj Tuj) ในพม่าปัจจุบัน และเข้ามายังที่ดอยเชียงดาว ดอยสุเทพ ดอยอินทนนท์ ดอยปางอุ๋ง ดอยหมากพริก เป็นต้น และเส้นทางสุดท้ายคือ ข้ามแม่น้ำโขงบริเวณประเทศลาวและพม่าสู่บริเวณเหนือท่าขี้เหล็ก กระจายตัวไปตั้งชุมชนต่างๆ ในจังหวัดเชียงราย การอพยพในช่วงที่สาม เป็นการอพยพของคนม้งในลาวหลังปี พ.ศ. 2518 ที่ฝ่ายประเทดลาวได้รับชัยชนะจากการต่อสู้ แล้วคนม้งที่สนับสนุนฝ่ายประชาธิปไตยอันมีสหรัฐอเมริกาเป็นผู้สนับสนุนหลัก ไม่สามารถอยู่ต่อในประเทศลาวได้ จนต้องลี้ภัยเข้ามาอยู่ตามศูนย์อพยพในไทยก่อนที่กลุ่มประเทศตะวันตกอุดมการณ์ประชาธิปไตยจะรับพวกเขาไปเป็นพลเมืองต่อไป (ประสิทธิ์ ลีปรีชา, 2554) ประการสำคัญคือ คนม้งกลุ่มนี้ไม่ได้เดินทางไปต่างประเทศหมด มีบางส่วนที่ปฏิเสธในการไปตั้งถิ่นฐานในกลุ่มประเทศดังกล่าว และยืนยันที่จะอยู่ในประเทศไทย พวกเขาก็ถูกรัฐบาลไทยจัดให้ไปอยู่ร่วมกับคนม้งไทยตามชุมชนต่างๆ โดยเฉพาะตามชุมชนที่เคยเป็นฐานที่มั่นของ พคท. มาก่อนที่เพิ่งได้รับการจัดตั้งระหว่างปี พ.ศ. 2525-2532 ภายหลังชาวม้งลาวกลุ่มนี้ได้รับสัญชาติไทยตามชาวม้งกลุ่มผู้ร่วมพัฒนาชาติไทย (ผรท.) ที่เคยร่วมมือกับพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยด้วย ฉะนั้นคนม้งไทยจึงมิได้ครอบคลุมถึงเฉพาะบุคคลที่อยู่อาศัยมาหลายชั่วอายุคนเท่านั้น แต่หมายรวมถึงกลุ่มคนม้งลาวส่วนหนึ่งที่เข้ามาในระลอกหลังและปัจจุบันกลายเป็นส่วนหนึ่งของรัฐชาติไทยด้วย
ในด้านรูปแบบการตั้งถิ่นฐาน ก่อนทศวรรษ 2510 ชุมชนม้งทั้งหมดตั้งอยู่บนภูเขาสูง อยู่กับธรรมชาติ และมักมีการโยกย้ายถิ่นฐานบ่อยครั้งภายหลังจากความอุดมสมบูรณ์ของธรรมชาติที่เกี่ยวข้องกับการทำการเพาะปลูกลดน้อยลงไป บริบทดังกล่าวนำมาสู่การมีลักษณะบ้านเรือนม้งที่ปลูกคร่อมอยู่บนพื้นดิน บ้านม้งในอดีตใช้วัสดุที่ได้จากธรรมชาติในการสร้างบ้าน เช่น ไม้ ไม้ไผ่ หญ้าคา ดังภาพเป็นต้น นอกจากนั้นยังสะท้อนถึงลักษณะโลกทัศน์ทางความเชื่อของม้งได้เป็นอย่างดี หลังคาบ้านเปรียบเสมือนกับโลกของสวรรค์ พื้นดินลงไปเป็นพื้นที่อยู่ของโลกธรรมชาติ ส่วนระหว่างหลังคากับพื้นดินนั้นเป็นโลกของมนุษย์หรือโลกของชีวิตสังคม แทบจะทุกส่วนและทุกมุมบ้านเป็นที่สถิตของเทพเทวา (Tapp, 1989) กล่าวคือ ภายในบ้านจะมีสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ อยู่ 4 แห่ง คือ ประตูทางเข้าหลัก เสากลางบ้าน ผนังบ้านที่ตรงข้ามกับประตูหลักซึ่งมีหิ้งบูชาติดผนังอยู่ และเตาไฟใหญ่
ปัจจุบันลักษณะบ้านของม้งส่วนใหญ่ได้ปรับเปลี่ยนไปมาก ทั้งหมู่บ้านที่อยู่บนภูเขาสูงและหมู่บ้านที่อยู่ในพื้นราบ สืบเนื่องจากการตั้งบ้านเรือนแบบถาวร ประกอบกับการที่คนม้งสามารถเข้าถึงวัสดุก่อสร้างจากในเมืองได้มากขึ้น ดังนั้น ครัวเรือนที่พอมีฐานะจึงสามารถสร้างบ้านใหม่ที่เปลี่ยนไปทั้งรูปทรง ขนาด และวัสดุที่ใช้สร้าง บางครัวเรือนมีบ้านเรือนสองหลัง กล่าวคือ หลังแรก สำหรับเป็นที่หลับนอนและหลังที่สองเป็นบ้านที่สร้างตามแบบม้ง สำหรับประกอบพิธีกรรมและหุงหาอาหาร ส่วนบางครัวเรือนก็มีบ้านหลังเดียวขนาดใหญ่ที่มีลักษณะตามแบบบ้านดั้งเดิมที่ใช้วัสดุเป็นเหล็ก กระเบื้อง สังกะสี อิฐ กระเบื้องปูพื้นและซีเมนต์ สะท้อนให้เห็นว่า ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว มุมต่างๆ ของบ้านจากเดิมที่มีความสัมพันธ์กับความจำเป็นในการใช้ประโยชน์ภายในบ้าน ปัจจุบันแม้กิจกรรมและพื้นที่ใช้สอยภายในบ้านจะเปลี่ยนไป แต่คนม้งที่นับถือบรรพบุรุษและผีเรือนก็ยังคงไว้ซึ่งสัญลักษณ์บางอย่างไว้ เช่น ปัจจุบันครัวเรือนม้งส่วนใหญ่หันมาใช้แก๊สเพื่อหุงต้ม แต่ในขณะเดียวกันครัวเรือนม้งยังมีการนำเตาไฟไปวางตั้งไว้เพื่อเป็นที่สถิตของสิ่งศักดิ์สิทธิ์และใช้เป็นที่ประกอบพิธีกรรมด้วย จะเห็นว่า ในอดีตสภาพแวดล้อมของการตั้งถิ่นฐานของชาวม้งส่วนใหญ่ตั้งถิ่นฐานอยู่บนพื้นที่สูง แต่ปัจจุบันมีชุมชนม้งที่เกิดขึ้นใหม่ตามชุมชนในเมือง
การดำรงชีพ :
การดำรงชีพ
ในอดีตชาวม้งส่วนใหญ่ทำมาหาเลี้ยงชีพด้วยการเพาะปลูกพืชพื้นบ้านและเลี้ยงสัตว์เป็นหลัก โดยนอกเหนือจากการปลูกข้าว พืชผัก และข้าวโพดเลี้ยงการยังชีพแล้ว การปลูกฝิ่นถือเป็นพืชที่นำมาซึ่งรายได้หลักของคนม้ง และแม้รัฐจะมีการประกาศให้ฝิ่นเป็นพืชผิดกฎหมายมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2501 แล้วก็ตาม แต่คนม้งส่วนใหญ่ก็ยังคงปลูกมาเรื่อยๆ จนกระทั่งราว พ.ศ. 2520 ที่ทางราชการเริ่มมีความเข้มงวดมากขึ้น ประกอบกับมีโครงการพัฒนาพันธุ์พืชทดแทนฝิ่น เริ่มเข้าไปนำเสนอให้กับชุมชนชาติพันธุ์บนพื้นที่สูงด้วย ทำให้ชาวม้งเริ่มหันมาปลูกพืชผักและไม้ผลอย่างอื่นเข้ามาแทนที่ฝิ่นตามการส่งเสริมขององค์กรต่างๆ และตามกลไกลของตลาดนับแต่นั้นมาจนถึงปัจจุบัน ซึ่งอาชีพเกษตรนั้นถือเป็นอาชีพหลักของคนม้งส่วนใหญ่ อย่างไรก็ตาม ในห้วงสองทศวรรษที่ผ่านมา ม้งในไทยหันไปประกอบอาชีพอื่นๆ ที่นอกเหนือจากการทำการเกษตร เช่น ผู้ประกอบการธุรกิจ ข้าราชการ นักกิจกรรม นักวิชาการ และรับจ้างทั่วไป รายละเอียดแต่ละส่วนงานมีดังนี้
การทำการเกษตรของคนม้งในไทยปัจจุบัน ส่วนใหญ่เป็นการผลิตเพื่อจำหน่ายเป็นหลัก ไม่ได้มุ่งผลิตเพื่อการบริโภคในครัวเรือนอีกต่อไป มีเพียงส่วนน้อยเท่านั้นที่ยังคงทำการผลิตข้าวไว้บริโภค แต่ส่วนใหญ่นั้นได้หันมาปลูกพืชเชิงพาณิชย์กันอย่างแพร่หลาย แล้วนำเงินที่ได้มานั้นไปซื้อข้าวและ พืชผักต่างๆ ที่ตนเองเคยปลูกไว้ตามไร่นาเพื่อบริโภคในครัวเรือนเมื่อครั้งอดีต ในปัจจุบันก็ไม่มีเวลาที่จะทำสิ่งเหล่านี้แล้ว และหันไปพึ่งพาอาหารจากตลาดเป็นหลัก เพราะพวกเขาได้ผันตนเองเข้ามาเป็นเกษตรกอย่างเต็มตัวที่มุ่งทำการผลิตเพื่อป้อนให้กับตลาดอย่างเดียว และเมื่อแรงงานในครอบครัวและชุมชนไม่เพียงพอ พวกเขาส่วนใหญ่จึงมีการว่าจ้างแรงงานข้ามชาติไม่ว่าจากประเทศเมียนมาหรือลาวเข้ามาช่วยในกระบวนการผลิตพืชผลทางการเกษตรด้วย ชุมชนม้งที่มีชื่อเสียงและทำการผลิตพืชผักเป็นจำนวนมากป้อนให้กับตลาดใหญ่ๆ ในประเทศไทย คือ ชุมชนม้งในเขตอำเภอพบพระและอำเภอแม่สอดในจังหวัดตาก ทำการผลิตผักกาดขาวเป็นจำนวนมากให้กับสถานประกอบการ ในกรุงเทพฯ และปริมณฑล ชุมชนม้งในเขตอำเภอฮอดและแม่สะเรียงที่ทำการผลิตกะหล่ำปลีและผักกาดขาวให้กับบริษัทเทสโก้โลตัสที่ ชุมชนม้งในเขตอำเภอแม่ริมที่ทำการผลิตพืชผักตามความต้องการของโครงการหลวงและตลาดขายส่งในจังหวัดเชียงใหม่ ชุมชนม้งในเขตอำเภอสะเมิง แม่แจ่ม และกัลยาณิวัฒนาที่ทำการผลิตกะหล่ำปลี ผักกาดขาว และผลไม้ตามฤดูกาล ป้อนให้กับพ่อค้าคนกลางตามตลาดขายส่งขนาดในจังหวัดต่างๆ ซึ่งในส่วนของการจัดจำหน่ายดังกล่าวนั้น ได้มีคนม้งรุ่นใหม่จำนวนมากที่หันเข้ามาเป็นทั้งผู้รับซื้อผลผลิตต่อจากเกษตรกรและมีแผงขายของตนเองตามตลาดขายส่งที่พร้อมกระจายสินค้าให้กับลูกค้ารายย่อยต่อไปด้วย
นอกจากธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการเกษตรแล้ว ยังมีม้งส่วนหนึ่งที่ผันตนเองมาทำการค้าขายกับสินค้าหัตถกรรม เช่น ผ้าปัก เสื้อผ้าม้งประยุกต์ และเครื่องประดับต่างๆ ให้ทั้งกับคนม้งด้วยกันเองและคนนอกวัฒนธรรมด้วย ซึ่งขนาดของกิจกรรมเริ่มตั้งแต่การมีสถานประกอบการไปจนถึงการเป็นกิจการอุตสาหกรรมครัวเรือนขนาดเล็ก สถานประกอบการที่มีชื่อเสียงในการผลิตชุดม้งเครื่องแต่งกายสำหรับผู้บริโภคที่เป็นม้งได้แก่ บริษัทเยี่ยมจื้อวัฒนกิจ บริษัทปั้นดาววาณิช บริษัทเหมาฝัวแฟชั่นเทค และกิจการออนไลน์ของม้งซิสเตอร์ช้อป โดยสินค้าต่างๆ เหล่านี้ไม่ได้ทำขึ้นมาเพื่อจำหน่ายให้กับม้งไทยเท่านั้น แต่ยังมีการส่งออกไปยังเครือข่ายกลุ่มชาติพันธุ์ม้งที่อยู่ในต่างประเทศ โดยเฉพาะในสหรัฐอเมริกา และนอกเหนือจากการเป็นผู้ผลิตและจัดหน่ายสินค้าหัตถกรรมที่มีลักษณะเป็นเอกลักษณ์ทางชาติพันธุ์แล้ว ก็มีคนม้งหลายคนที่ได้ก้าวเข้าไปสู่การทำการค้าที่มิได้เชื่อมโยงกับความเป็นชาติพันธุ์อีกด้วย ดังเช่น ธุรกิจการการทำตุ๊กตาเลซิ่น การผลิตปุ๋ย-ยา (บริษัทดีม้ง) การการแปรรูปผลผลิตทางการเกษตร การผลิตและจำหน่ายชาและกาแฟ และการขาย “ไก่ทอดหาดใหญ่” ตามเมืองใหญ่ต่างๆ รวมถึงงานบริการด้านวิศวกรรมโยธา และการหันมา "เล่นหุ้น" เป็นอาชีพของกลุ่มคนม้งรุ่นใหม่
อาชีพข้าราชการที่คนม้งส่วนหนึ่งที่ได้รับการศึกษาระดับปริญญาตรีขึ้นไป เช่น ครู อาจารย์ แพทย์ พยาบาล ตำรวจ ทหาร เป็นต้น อย่างไรก็ตาม แม้ว่าชาวม้งบางส่วนจะได้รับการศึกษาในระดับสูงก็ตาม แต่อาจไม่เลือกเข้าสู่อาชีพรับราชการ และหันมาประกอบอาชีพที่มีความเป็นอิสระแทนเช่น นักวิชาการ ทนายความ และนักธุรกิจข้ามชาติ เป็นต้น
สำหรับชุมชนที่อยู่ใกล้แหล่งท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียง ทำให้ม้งบางส่วนหันมาประกอบอาชีพเป็นผู้ประกอบการที่พักตามแหล่งท่องเที่ยว เช่น บ้านหนองหอย จังหวัดเชียงใหม่ ม้งที่ภูทับเบิก เขาค้อ จังหวัดเพชรบูรณ์ และม้งที่บริเวณภูชี้ฟ้า จังหวัดเชียงราย เป็นต้น และอีกส่วนหนึ่งก็กลายไปเป็นแรงงานรับจ้างตามสถานประกอบการในเมืองใหญ่ และส่วนหนึ่งได้เดินทางไปเป็นแรงงานในภาคการเกษตรและอุตสาหกรรมในต่างประเทศ โดยเฉพาะประเทศเกาหลี ไต้หวัน ญี่ปุ่น อิสราเอล เป็นต้น
ดังที่กล่าวมานั้น จะเห็นได้ว่าปัจจุบันคนม้งในประเทศไทยหันมาประกอบอาชีพที่หลากหลายเช่นเดียวกับคนทั่วไปในสังคม ฉะนั้นการจะนำเสนอแต่ว่า “ม้งยาบ้า” หรือ “ม้งทำลายป่า”ยิ่งเท่ากับเป็นการบดบังการประกอบอาชีพในมิติอื่นๆ ของคนม้งดังที่ได้กล่าวมา
อาหารและยารักษาโรค :
อาหารและยารักษาโรค
สภาพแวดล้อมที่อยู่กับธรรมชาติและเป็นสังคมที่พึ่งพาตนเองในอดีต ทำให้อาหารที่คนม้งรับประทานในชีวิตประจำวันมีลักษณะเรียบง่าย รับประทานข้าวกับผัก น้ำพริก และเนื้อสัตว์บ้าง วัตถุดิบที่ใช้เป็นอาหารส่วนใหญ่ได้มาจากการผลิตเอง และอีกส่วนหนึ่งนำมาจากพืชทางธรรมชาติ คนม้งนิยมปรุงอาหารอาหารด้วยวิธีการต้ม โดยทั่วไปแล้วชนิดของอาหารที่เตรียมไว้สำหรับแต่ละมื้อไม่มีความแตกต่างกันมากนัก เน้นผักต้มกับน้ำมันหมูเป็นหลัก หากมีเนื้อสัตว์สามารถต้มใส่ผักได้ เนื้อสัตว์ที่ได้ส่วนใหญ่มาจากสัตว์เลี้ยงที่เลี้ยงไว้ทำพิธีกรรมต่างๆ ในรอบปี นอกเหนือจากนี้ม้งมักจะปลูกข้าวสาลี อ้อย กล้วย แตงกวา และแตงไทยตามไร่ไว้รับประทานเป็นของว่างด้วย อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันคนม้งได้ติดต่อสัมพันธ์กับชุมชนในพื้นราบมากขึ้น การขับรถเข้าไปซื้อหาอาหารยังตลาดในชุมชนพื้นราบสะดวกขึ้น รวมทั้งมีพ่อค้าแม่ค้านำอาหารสดและอาหารแห้งจากในเมืองเข้ามาขายในหมู่บ้านมากขึ้น นำมาสู่การปรับเปลี่ยนวัตถุดิบในการทำอาหาร วิธีการปรุงรสอาหาร และค่านิยมในการบริโภคอาหารให้เป็นไปตามกระแสการบริโภคหลักของสังคมไทย ทำให้แต่ละมื้ออาหารของพวกเขาในปัจจุบันส่วนหนึ่งก็เป็นอาหารของกลุ่มอื่นด้วย
สำหรับมื้ออาหารที่ใช้ในการเลี้ยงแขกในงานสำคัญนั้น มีความแตกต่างจากอาหารที่รับประทานในชีวิตประจำวัน ในงานสำคัญ เช่น งานปีใหม่ งานแต่งงาน งานเปลี่ยนชื่อ งานศพ หรืองานเลี้ยงญาติที่อาจเป็นญาติของภรรยาที่มาเยี่ยมหรือฝ่ายญาติทางสามี เจ้าบ้านมักจะจัดเลี้ยงแขกด้วยเนื้อสัตว์ล้วน โดยไม่มีการผสมผักลงไป นอกจากนั้นแล้วในกลุ่มผู้ชายยังมีการนำเอาเหล้าชั้นดีมาเลี้ยงผู้มาเยือนด้วย การเลี้ยงแขกคนสำคัญด้วยเนื้อสัตว์และเหล้าซึ่งเป็นอาหารและเครื่องดื่มที่มีราคาแพงแสดงถึงการให้ความสำคัญกับแขกของเจ้าบ้าน โดยวิธีการรับประทานนั้น จะให้เกียรติแก่ฝ่ายชายและผู้ร่วมกินดื่มที่เป็นชายให้รับประทานอาหารบนโต๊ะหลักก่อน หลังจากนั้นฝ่ายถึงจะเชิญแขกฝ่ายหญิงนั่งรับประทานด้วยกันต่อจากฝ่ายชาย หรือหากมีสถานที่และถ้วยชามเพียงพอ พวกเธอก็สามารถที่แยกโต๊ะรับประทานอาหารเองในเวลาเดียวกับกลุ่มผู้ชายได้
สำหรับเมนูอาหารที่นับได้ว่ามีความเป็นเอกลักษณ์และหาทานได้ยากในชีวิตประจำวันของม้งในปัจจุบันนั้น ผู้เขียนจะกล่าวถึงเป็นตัวอย่างเฉพาะสองเมนูเท่านั้นคือ ไก่ต้มสมุนไพร และจั๋วหรือข้าวปุก ซึ่งแต่ละเมนูนั้น มีขั้นตอนและวิธีการที่ทำอย่างเรียบง่าย ทว่าสิ่งที่ยากนั้นคือ พืชผักสมุนไพรที่ไม่ได้มีจำหน่ายตามท้องตลาด และอุปกรณ์ในการใช้ทำโดยเฉพาะเมนูขนมข้าวปุกนั้น ยากยิ่งที่จะหาอุปกรณ์มาทำไว้รับประทานในช่วงนอกเทศกาลปีใหม่
ไก่ต้มสมุนไพร
เมนูนี้ดัดแปลงมาจากยาหม้อสมุนไพรที่แม่หมอสมุนไพรในหมู่บ้านมักจะจัดให้กับคนที่ร่างกายขาดความสมดุลของธาตุต่างๆ ซึ่งผักที่นำมาต้มใส่ลงกับไก่นั้นล้วนแล้วแต่เป็นพืชสมุนไพรทั้งสิ้น ฉะนั้นนอกจากเมนูนี้เป็นอาหารแล้ว ยังเป็นยาสมุนไพรไปภายในตัวด้วย สำหรับชื่อสมุนไพรที่นำมาทำอาหารจานนี้ประกอบด้วยสมุนไพรหลายชนิด ตามชื่อที่ศูนย์พัฒนาการแพทย์แผนไทยอากาเป้จังหวัดเชียงใหม่ (Silavit Trakantrakul, 2561) ได้ทำการสำรวจชื่อแล้วคือ 1.ว่านท้องใบม่วง พญาวัวแดง (tsog nyuj liab) 2.ว่านใบเขียว พญาวัวเขียว (tsog nyuj ntsuab) 3.โสมจีนโบราณ (tshab xyoob) 4.จิงจูฉ่าย (ko taw os) 5.สันพร้าหอม (ntsej nrhua ntuag) 6.ผักเป็ดแดง (nkaj qaib cheeb) 7.ผักแพวแดง (ib qaib liab) 8.ผักแพวลาย (ib qaib txaij) 9.พริกไทยดำบด (hwj txob)
ข้าวปุก หรือจั๋ว
ขนมนี้นิยมทำและรับประทานกันในช่วงเทศกาลขึ้นปีใหม่ ซึ่งคนม้งมักจะมีการทำขนมนี้ก่อนที่จะขึ้น 1 ค่ำ เดือน 1 ซึ่งถือว่าเป็นวันขึ้นปีใหม่ของคนม้ง ขนมนี้นอกจากจะทำขึ้นมาเพื่อใช้รับประทานกันแล้ว ส่วนหนึ่งยังต้องนำมาปั้นเป็นรูปสัตว์เลี้ยงต่างๆ โดยเฉพาะแม่ไก่กับลูกไก่ หมูกับลูกหมู และวัวควายกับลูก แล้วนำไปเป็นส่วนหนึ่งที่วางไว้บริเวณด้านหน้าโต๊ะหรือหิ้งที่ใช้ในการประกอบพิธีกรรมวันขึ้นปีใหม่ด้วย เพื่อเป็นสัญลักษณ์ว่าผลผลิตของสัตว์เลี้ยงในปีต่อไปนั้นมีเพิ่มพูนมากขึ้น
ขนมดังกล่าวทำมาจากข้าวเหนียวดำหรือขาวก็ได้ ซึ่งหากเป็นข้าวเหนียวดำก็จะอร่อยกว่า ข้าวเหนียวที่ว่านี้จะถูกนำไปนึ่งให้มีความนิ่มมากกว่าข้าวเหนียวที่ใช้รับประทานปกติ จากนั้นก็จะนำข้าวเหนียวนี้ไปเทลงในภาชนะที่จะใช้ตำข้าวเหนียวหรืออาจเรียกได้ว่ารางไม้ขนาดใหญ่พร้อมไม้ตำสองด้ามที่ใช้กำลังคนอย่างน้อยสองคนช่วยกันตำข้าวเหนียวในรางไม้นี้จนละเอียด แล้วปั้นเป็นชิ้นแบนก่อนใช้ใบตองสดห่อและรีดให้แบน พร้อมที่จะนำไปปิ้งไฟเพื่อรับประทานต่อไป โดยปกติแล้วขนมนี้จะไม่มีส่วนประกอบอื่นใดนอกจากข้าวเหนียว ฉะนั้น เพื่อให้มีรสชาติในการรับประทาน จึงนำไปจิ้มน้ำอ้อย นมสด หรือน้ำผึ้ง
การรักษาโรค
ในอดีตคนม้งมีวิธีการรักษาโรคสองรูปแบบ คือ รูปแบบแรก พิธีกรรมในการเยียวยารักษาซึ่งหมอผีส่วนใหญ่เป็นผู้ชายก็จะเป็นผู้มีบทบาทหลักในการทำการรักษา และรูปแบบที่สอง การใช้ยาสมุนไพรที่มีอยู่ในธรรมชาติในการรักษาโรค ซึ่งหมอยาส่วนใหญ่เป็นผู้หญิงในชุมชนเป็นผู้ที่สรรหายาสมุนไพรมาให้กับคนป่วย
ทั้งสองรูปแบบนี้จำเป็นต้องอาศัยบุคคลที่มีความเชี่ยวชาญในการรักษาและดูแลสมาชิกในชุมชนหนึ่งๆ อยู่แล้ว อย่างไรก็ตาม ภายหลังจากที่ระบบการคมนาคมได้เชื่อมชุมชนเหล่านี้สู่เมืองได้ และการรักษาอาการตามแบบฉบับการแพทย์ตะวันตกแพร่เข้ามายังชุมชน ก็ทำให้คนม้งมีตัวเลือกที่สามเกิดขึ้นด้วย
เสื้อผ้าและการแต่งกาย :
เสื้อผ้าและการแต่งกาย
หากจำแนกคนม้งในประเทศไทยตามลักษณะการแต่งงาย สามารถจำแนกได้ออกเป็นสองกลุ่มกล่าวคือ ม้งเด๊อ (ม้งขาว) และม้งจั้ว (ม้งเขียว) ย้อนหลังไปประมาณสองทศวรรษ การแต่งกายของสองกลุ่มนี้มีความแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง โดยในที่นี้จะกล่าวถึงเฉพาะในส่วนของลายผ้าปักและสีของเสื้อผ้า
ความแตกต่างในแง่ของลายผ้าปัก งานฝีมือในด้านนี้ของม้งเด๊อจะเน้นที่การตัดและต่อผ้าเป็นรูปทรงต่างๆ ควบคู่กับการใช้ด้ายสอยตกแต่งเป็นลวดลายต่างๆ ที่มีความละเอียดและประณีตมากกว่าม้งจั้ว รวมทั้งยังมีการปักแบบ cross stick เช่นเดียวกับม้งจั้ว ลวดลายต่างๆ ที่ถูกสอยและปักลงบนผืนผ้าชิ้นส่วนต่างๆ นี้ จะนำไปประกอบกับชุดเสื้อผ้าที่เป็นหมวก เสื้อ กางเกง กระโปรง ผ้าคาดเอว ผ้าบังหน้าและหลัง ฯลฯ
หากเป็นม้งเด๊อ หญิงจะใส่กระโปรงสีขาว (ที่มาของ “ม้งเด๊อ” หรือม้งขาว) และนิยมใส่กางเกงขายาวสีน้ำเงินเช่นเดียวกันกับผู้ชาย มีผ้าคาดเอวที่ปล่อยชายห้อยลงมาต่ำกว่าหัวเข่า ทั้งด้านหน้าและด้านหลัง ในขณะที่ผู้ชายสวมกางเกงขาทรงกระบอก เป้าสั้น มีเพียงผ้าคาดเอวที่ห้อยชายลงมาสั้นเหนือหัวเข่า เฉพาะด้านหน้าเท่านั้น เช่นเดียวกันกับชายม้งจั้ว สีกางเกงและเสื้อของชายม้งจั้วส่วนใหญ่เป็นสีดำ เป้ายาว ขากางเกงทรงเรียวลงมาหุ้มถึงตาตุ่ม ผ้าคาดเอวปล่อยชายลงด้านหน้าถึงเหนือหัวเข่าเช่นกัน ส่วนกระโปรงหญิงม้งจั้วส่วนใหญ่เป็นสีน้ำเงินที่ได้มาจากคราม บ้างจึงเรียกม้งจั้วว่า “ม้งน้ำเงิน” หลังจากการย้อมครามแล้วก็เอาผ้าสีสันต่างๆ มาเย็บติดกับผ้าครามนี้จนเกิดเป็นกระโปรงที่มีลวดลายและสีสันหลากหลายตระการตา จนคนนอกกลุ่มชาติพันธุ์นิยมเรียกม้งเขียวว่าเป็น “ม้งลาย” ตามสีสันของกระโปรงผู้หญิง
แม้จะมีความแตกต่างกันบ้างในรายละเอียด แต่โดยภาพรวมแล้วทั้งสองกลุ่มในอดีตต่างปลูกและผลิตเสื้อผ้าจากพืชที่เรียกว่ากัญชง (maj/ maaj) กัญชงสำหรับคนม้งแล้วไม่ใช่พืชเสพติด แต่เป็นพืชที่มีคุณค่าและความหมายต่อชีวิตทั้งในมิติทางวัฒนธรรมและการใช้ประโยชน์ เมื่อมีคนเสียชีวิตต้องมีชุดเสื้อผ้าและรองเท้าคนตายที่ทำด้วยเส้นใยกัญชง เพราะความเชื่อและบทสวดในพิธีศพนั้น การมีเส้นใยกันชงเท่านั้นจึงจะนำพาวิญญาณผู้ตายให้สามารถเดินทางไปอยู่ร่วมกับบรรพบุรุษได้
อย่างไรก็ตาม ประมาณสองทศวรรษที่ผ่านมานี้เครื่องแต่งกายของม้งสองกลุ่มย่อยข้างต้นได้เปลี่ยนไปมาก ทำให้ไม่สามารถระบุตัวตนของผู้สวมใส่ได้อีกต่อไปว่าเขาคือม้งกลุ่มใด เนื่องจากทั้งสองกลุ่มต่างมาหยิบยืมชุดของกันและกันมาสวมใส่ และที่สำคัญคือชุดที่สวมใส่นั้นก็มีการดัดแปลงประยุกต์ไปตามแฟชั่นของยุคสมัยด้วย บางชุดนั้นยากที่จะบอกได้ว่าเป็นชุดม้งจริงๆ ดังภาพที่ผู้เขียนนำเสนอข้างล่างนี้ ล้วนแล้วแต่เป็นการสร้างสรรค์ต่อเติมงานหัตถกรรมเดิมของม้งให้มีความทันสมัยมากขึ้นและถูกกับรสนิยมของคนม้งรุ่นใหม่มากขึ้น และที่สำคัญชุดต่างๆ เหล่านี้เองก็ไม่ได้เกิดจากจากการตัดเย็บของหญิงม้งในแต่ละครอบครัวอีกต่อไป แต่กลายเป็นธุรกิจ เป็นอุตสาหกรรมการผลิตเสื้อผ้าชุดม้งที่มีนักธุรกิจลงทุนใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์ออกแบบแล้วปักเย็บด้วยเครื่องจักรไฟฟ้า ผลิตชุดแบบเดียวกันในปริมาณมาก ดังตัวอย่างของภาพด้านล่างนี้ที่เป็นส่วนหนึ่งที่ผู้เขียนนำมาจากร้านค้าออนไลน์ของม้งซิสเตอร์ (Hmong Sister)
สังคมม้งในประเทศไทยเปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัย คนรุ่นใหม่เดินทางระหว่างหมู่บ้านกับในเมืองมากขึ้น ประกอบกับอากาศที่ร้อนขึ้น การปรับตัวด้านการแต่งกายจึงเปลี่ยนไปตามบริบทของสังคมและสภาพแวดล้อม สามารถหาซื้อเสื้อผ้าทั่วไปจากตลาดในพื้นราบได้ง่ายขึ้นด้วย ดังนั้น หากไม่ใช่ในเทศกาลปีใหม่แล้ว แทบจะไม่เห็นคนม้งแต่งชุดม้งในชีวิตประจำวันในหมู่บ้านม้งอีกแล้ว ยกเว้นเพียงคนวัยสูงอายุบางคนในหมู่บ้านเท่านั้น ส่วนใหญ่สวมใส่ชุดปกติธรรมดาทั่วไปที่มีอยู่ตามท้องตลาดแทน แต่หากมีเทศกาลปีใหม่ ผู้คนก็ยังคงนิยมใส่ชุดประจำชาติพันธุ์ของตนเอง
ศาสนาและความเชื่อ :
พุทธ, คริสต์, วิญญาณนิยม
ระบบความเชื่อ ประเพณี และพิธีกรรม
ศาสนาและความเชื่อ
ผีหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ชาวม้งนับถือประกอบด้วยสองส่วน คือ ผีบ้าน (dab hauv tsev หรือ dab nyeg) และผีป่า (dab qus) ในส่วนของผีบ้านประกอบด้วยผีบรรพบุรุษ กับผีเรือน โดยผีเรือนเป็นสิ่งศักดิ์ตามจุดต่างๆ ภายในบ้าน นับตั้งแต่สื่อก๊า (xwmkab) ประตู เตาไฟใหญ่ เตาไฟเล็ก ห้องนอน เซี่ยเม่ง ฯลฯ ผีบ้านเป็นผีที่คอยปกป้องคุ้มครองสมาชิกในครัวเรือน กระนั้นก็ตาม หากขาดการดูแลหรือสักการะตามประเพณี ผีบ้านก็อาจไม่คุ้มครองหรือส่งผลต่ออาการเจ็บป่วยของสมาชิกในบ้านก็ได้ ส่วนผีป่าเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำท้องถิ่นหรือเมือง ขุนเขา ลำห้วย จอมปลวก แอ่งน้ำ ป่าเขา รวมถึงผีฟ้าด้วย ความเชื่อต่อผีเหล่านี้ก็คือหากคนไปล่วงละเมิดก็จะทำให้เกิดอาการเจ็บป่วยและตายได้ ความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับผีหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์เหล่านี้แฝงอยู่ในโลกทัศน์หรือวิธีคิดของคนม้ง นั่นคือโลกที่มนุษย์และธรรมชาติอาศัยอยู่ในนี้เป็นโลกแห่งความสว่าง (yaj ceeb) หรือหยาง (yang) ส่วนโลกในอีกมิติหนึ่งที่เป็นโลกแห่งความมืด (yeb ceej) หรือหยิน (yin) เป็นที่อยู่อาศัยของวิญญาณต่างๆ โดยคนม้งเชื่อว่าแต่เดิมนั้นมนุษย์และวิญญาณเหล่านี้สามารถพูดคุยสื่อสารกันได้ แต่ภายหลังไม่สามารถสื่อสารกันได้ จึงต้องอาศัยสื่อกลางคือ พ่อหมอ (shaman) ในการเชื่อมต่อกับโลกอีกมิติหนึ่งผ่านการทำพิธีกรรม ความเชื่อและพิธีกรรมต่างๆ ได้รับการสืบทอดโดยพ่อหมอเป็นหลัก และมีการสืบทอดความเชื่อและพิธีกรรมดังกล่าวรุ่นสู่รุ่นดังที่ได้กล่าวไปแล้วในส่วนของการสืบทอดความเชื่อ พิธีกรรม และมรดก
ม้งในปัจจุบันส่วนใหญ่ยังคงนับถือความเชื่อแบบเดิมอยู่ แม้จะในช่วงประมาณสี่ถึงห้าทศวรรษที่ผ่านมาจะมีกลุ่มที่เปลี่ยนไปนับถือศาสนาคริสต์และพุทธอยู่บ้าง โดยกลุ่มมิชชันนารีเข้ามาเผยแพร่ศาสนาคริสต์ตั้งแต่ช่วงทศวรรษ 2490 ชาวม้งในประเทศไทยบางพื้นที่จึงหันมานับถือศาสนาคริสต์ตามแบบชาวตะวันตก โดยเกิดขึ้นจากการตัดสินใจของบุคคล ครอบครัว และในบางพื้นที่ก็มีการเปลี่ยนศาสนากันทั้งชุมชน โดยสาเหตุหลักที่ทำให้พวกเขาทำการเปลี่ยนศาสนานั้นเกิดจากความไม่มั่นคงทางเศรษฐกิจเป็นหลัก ดังที่ Cooper (1984 อ้างใน Tap, 1989: 99) ชี้ให้เห็นว่า การเปลี่ยนศาสนาของม้งในยุคสงครามเย็นนั้นเกิดขึ้นท่ามกลางเงื่อนไขทางเศรษฐกิจเป็นสำคัญ กล่าวคือ เมื่อเศรษฐกิจของครอบครัวคนม้งบางคนไม่ดี ประกอบกับค่าใช้จ่ายที่ใช้ในการประกอบพิธีกรรมเริ่มสูงขึ้น พวกเขาจึงหันมานับถือคริสต์ศาสนา ประกอบกับแนวความเชื่อของศาสนาคริสต์เกี่ยวกับการที่พระเยซูคริสต์จะกลับมาใหม่นั้นสอดคล้องกับความเชื่อเดิมของม้งในเรื่องเกี่ยวกับขบวนการพระศรีอาริย์ที่กษัตริย์ม้งจะฟื้นคืนชีพด้วย จึงส่งผลให้ม้งที่ได้รับผลกระทบทางด้านจิตใจได้เปลี่ยนศาสนาโดยง่าย
เพื่อการปรับเปลี่ยนให้ม้งและกลุ่มชาติพันธุ์บนพื้นที่สูงมีความเป็นไทยด้วยการเปลี่ยนมานับถือศาสนาพุทธแบบคนไทย ในทศวรรษที่ 2500 รัฐได้ก่อตั้งโครงการพระธรรมจารริกขึ้นเพื่อทำหน้าที่เผยแพร่พระพุทธศาสนาเข้าไปยังชุมชนม้งและกลุ่มชาติพันธุ์อื่นๆ บนพื้นที่สูง เริ่มดำเนินโครงการทดลองครั้งแรกในปี 2508 และต่อมาได้ผลเป็นที่น่าพอใจทำให้กลายเป็นโครงการถาวรมาจนถึงปัจจุบัน ตามรายงาน 30 ปี ของโครงการพระธรรมจาริก (มูลนิธิเผยแพร่พระพุทธศาสนาแก่ชนถิ่นกันดาร 2538: 71) ชี้ให้เห็นว่าโครงการดังกล่าวประสบความสำเร็จสามารถทำให้ “ชาวเขารู้จักกราบไหว้พระสงฆ์ รู้ว่าพระสงฆ์เป็นบุคคลที่มีสถานภาพทางสังคมแตกต่างจากบุคคลธรรมดาทั่วๆ ไป รู้จักทำบุญตักบาตร มีคนม้งเป็นส่วนหนึ่งในผู้เข้าร่วมปฏิญาณตนเป็นพุทธมามกะประมาณ 800 คน มีการส่งบุตรหลานเข้าบรรพชาเป็นสามเณร และบางหมู่บ้านมีความประสงค์ต้องการให้มีพระสงฆ์อยู่ในหมู่บ้านตลอดไป”
นอกเหนือจากความเชื่อเกี่ยวกับคริสต์และพุทธแล้ว ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้ ตามชุมชนม้งที่มีความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจ สังคม และการศึกษากับกลุ่มคนไทยวนหรือคนเมืองในชุมชนพื้นราบ พวกเขาเองก็ได้รับอิทธิพลทางด้านความเชื่อของท้องถิ่นล้านนาที่เป็นการทรงเจ้าเข้าผีมาหลอมรวมกับความเชื่อเดิมของม้งด้วย และความเชื่อดังกล่าวก็เป็นที่นิยมและตอบสนองกับความทุกข์แบบสมัยใหม่ของคนม้งที่ไม่ใช่มีแต่เพียงการเจ็บป่วยทางร่างกายเท่านั้น หากแต่เป็นความเจ็บป่วยทางด้านจิตใจ ตลอดจนการรับเอาความเชื่อเรื่องเครื่องรางของขลังมาเป็นสิ่งยึดเหนี่ยวทางใจ
หลักปฏิบัติทางวัฒนธรรม :
หลักปฏิบัติทางวัฒนธรรม
ข้อห้าม
1) ห้ามไม่ให้คนม้งแซ่เดียวกันแต่งงานกัน เพราะถือว่าเป็นพี่น้องร่วมตระกูลกัน แม้ต่างคนจะต่างไม่รู้จักกันก็ตาม
2) ห้ามไม่ให้หญิงหลังคลอดที่อยู่เดือนไปงานศพ
3) ห้ามบุคคลใดพูดหรือเรียนเกี่ยวกับบทสวดในงานศพในบ้านและในหมู่บ้าน
4) ห้ามให้หญิงสาวนำบุคคลใดเข้ามาร่วมหลับนอนในบ้านของพ่อแม่ตนก่อนแต่งงาน
5) ห้ามให้ผู้หญิงทำการก้มคำนับ หรือภาษาม้งคือ เป (pe) บุคคลใด
6) ในการตักข้าวให้คนรับประทาน ต้องตัดใส่ถ้วยที่จะรับประทานอย่างน้อย 2 ช้อนขึ้นไป เพราะม้งเชื่อว่า การตัดข้าวแค่ 1 ช้อนนั้นเป็นการตักให้กับสิ่งที่เป็นอมนุษย์ เช่น ในการทำพิธีกรรมต่างๆ ที่เป็นการเชิญชวนผู้ล่วงลับหรือวิญญาณต่างๆ มารับประทาน คนม้งมักจะตักให้คนละช้อนเดียวเท่านั้น
7) ห้ามเดินเข้าไปในบ้านที่มีการปัก “ตาแหลว” ไว้นอกบ้าน ซึ่งตาแหลวเป็นเครื่องหมายบ่งบอกว่าเจ้าบ้านกำลังอยู่ในช่วงของการ “จ๋าย” หรือหยุดกิจกรรมทุกอย่างที่เกี่ยวกับคนข้างนอก
8) ห้ามสวมรองเท้าหรือนำกระเป๋าหิ้วเข้าไปในบ้านที่กำลังมีผู้หญิงอยู่ไฟระหว่างหลังคลอดบุตรใหม่ เพราะเชื่อว่าจะทำให้น้ำนมของแม่เหือดแห้งไม่พอเลี้ยงลูก
9) ผู้หญิงที่ตั้งครรภ์โดยไม่มีสามี ห้ามคลอดลูกในบ้านของพ่อแม่ตน เพราะจะนำมาซึ่งความเสื่อมเสียให้กับวงศ์ตระกูล ฉะนั้นพ่อแม่จึงมักสร้างบ้านหลังเล็กๆ ข้างบ้านของตนให้ลูกสาวอยู่และคลอดลูก
10) ห้ามส่งเสียงดังในยามค่ำคืน โดยเฉพาะการร้องรำทำเพลงในวงเหล้า
11) ไม่แตะต้องหิ้งบูชาหรือส่วนประกอบของเครื่องบูชาอื่นๆ ในบ้าน
12) ห้ามคู่รักที่ยังไม่ได้แต่งงานกัน หรือคู่สมรสที่เป็นแขกผู้มาเยือนมีเพศสัมพันธ์กันในบ้านที่เป็นบ้านประกอบพิธีกรรม เพราะเชื่อว่าจะทำให้เกิดกาลกิณีต่อเจ้าของบ้าน
ข้อปฏิบัติ
1) ก่อนก้าวเท้าเข้าไปในบ้านของชาวม้ง ต้องถามก่อนว่าเจ้าของบ้าน “จ๋าย” หรือไม่
2) หากเป็นคนม้งด้วยกันเอง การถามแซ่และนับญาติผ่านความสัมพันธ์ในการแต่งงาน จะเป็นการเริ่มต้นที่ดีในการสร้างความสัมพันธ์ไปสู่เรื่องอื่นๆ ที่จะตามมา
3) การเดินทางออกไปในป่าหรือสถานที่อื่นนอกหมู่บ้าน ต้องให้อาหารเพื่อสักการะและขอขมาเจ้าที่เจ้าทาง ก่อนการรับประทานอาหาร
4) การถ่ายรูปผู้คนหรือจับต้องสิ่งสักการะ ต้องขออนุญาตก่อนเสมอ
5) การขอบคุณเจ้าของบ้านก่อนกินข้าว นับเป็นมารยาทที่ดีงาม
6) เวลากินข้าวหรือพิธีกรรม ที่นั่งด้านเหนือขึ้นไปเป็นที่สำหรับคนที่ได้รับเกียรติอย่างสูงส่ง
ประเพณี เทศกาล และพิธีกรรม :
ประเพณี เทศกาล และพิธีกรรม
ประเพณี เทศกาล และพิธีกรรมสำคัญในรอบปี
การขึ้นปีใหม่
ในสังคมเกษตรแบบพึ่งพาตนเองในอดีต เทศกาลปีใหม่ม้งจัดขึ้นเพื่อเป็นการเฉลิมฉลองภายหลังฤดูการเก็บเกี่ยวข้าวโพดและข้าวไร่ และกิจกรรมการละเล่น ก่อนที่จะเริ่มฤดูการเพาะปลูกในปีต่อไป ดังนั้น ขึ้นปีใหม่ของม้งจึงเป็นวันขึ้น 1 ค่ำ เดือน 1 ในทางจันทรคติ ซึ่งปกติแล้วมักจะตรงกับช่วงต้นถึงกลางเดือนธันวาคม ทั้งนี้ บางปียังไม่เสร็จการเกี่ยวเกี่ยวข้าวในช่วงเวลาดังกล่าว ดังนั้น ผู้นำม้งในประเทศไทยจึงตกลงกันให้จัดงานขึ้นปีใหม่กันในวันขึ้น 1 ค่ำ เดือน 2 ซึ่งอยู่ระหว่างปลายเดือนธันวาคมหรือต้นมกราคมของทุกปี กระนั้นก็ตาม หลายหมู่บ้านที่เคยจัดวันขึ้น 1 ค่ำ เดือน 1 ก็ยังคงยึดตามแบบเดิมอยู่ นอกจากนั้นแล้วหลายหมู่บ้านยังได้เปลี่ยนมาจัดช่วงวันหยุดยาวในช่วงปีใหม่สากล เพราะเป็นโอกาสที่ลูกหลานซึ่งส่วนใหญ่ออกไปเรียนหนังสือและทำงานในเมืองได้หยุดยาวและกลับมาเยี่ยมบ้าน ดังนั้น ความหลายหลายในการจัดงานปีใหม่ที่ไม่ตรงกัน ยังคงพบเห็นในชุมชนม้งต่างๆ ในประเทศไทยในยุคปัจจุบัน
ปรากฏการณ์ใหม่ที่เกิดขึ้นในช่วงประมาณสองทศวรรษที่ผ่านมาคือ การเฉลิมฉลองเทศกาลปีใหม่มีหลากหลายระดับ ตั้งแต่ระดับหมู่บ้านที่สมาชิกในหมู่บ้านร่วมเล่นสนุกสนานกัน ระดับเขตพื้นที่ที่เป็นการรวมเอาหมู่บ้านที่ตั้งอยู่ใกล้เคียงกันมาเป็นเครือข่าย แล้วชาวบ้านจากหมู่บ้านในกลุ่มเครือข่ายมาร่วมงานเฉลิมฉลองด้วยกันหนึ่งวัน ด้วยการเวียนกันเป็นเจ้าภาพในแต่ละปี และระดับจังหวัด ในกรณีจังหวัดเชียงใหม่ที่มีการจัดให้เครือข่ายหมู่บ้านม้งต่างๆ เข้ามาร่วมกิจกรรมกัน เพื่อเฉลิมฉลองในสามวันสุดท้ายของเทศกาลปีใหม่
ในด้านของพิธีกรรมที่เกี่ยวข้องกับเทศกาลปีใหม่ ส่วนใหญ่เป็นพิธีกรรมในระดับของครัวเรือนและระดับชุมชน กล่าวคือ ในระดับครัวเรือน ในวันส่งท้ายปีเก่า คือวันแรม 15 ค่ำเดือน 12 (หรือบางหมู่บ้านเป็นเดือน 1) ในกลุ่มของม้งเด๊อมีพิธีหลื่อไก๊ หรือหลื่อซู้เพื่อปัดเป่ารังควานให้หมดสิ้นไปกับปีเก่า ขณะที่ม้งทั้งสองกลุ่มมีการฮูปลี่ หรือเรียกขวัญสมาชิกในครัวเรือน ขวัญพืชพันธุ์ธัญญาหาร ขวัญเงินขวันทองให้กลับเข้ามาบ้านเพื่อร่วมเฉลิมฉลองเทศกาลปีใหม่ กรณีของครัวเรือนที่มีหมอเน้งหรือหมอทรง ก็จะทำพิธีปล่อยทหารเน้งไปฉลองปีใหม่ในวันดังกล่าวด้วย นอกนั้นทุกครัวเรือนจะทำพิธีจีสื่อก๊า หรือสักการะผีเรือนซึ่งแทนด้วยแผ่นกระดาษที่ติดไว้ที่ฝาบ้าน การสักการะบรรพบุรุษและผีเรือน กับทั้งการเช้อเซี่ยเม่ง หรือการสักการะผีธรณีประตู การสักการะบรรพบุรุษด้วยจั๋วหรือข้าวปุกที่ตำใหม่ เป็นต้น ส่วนวันขึ้นหนึ่งค่ำ เป็นการสักการะผีตงเซ้ง หรือผีเจ้าที่ซึ่งได้เชิญให้มาประจำที่ต้นไม้ใหญ่เหนือหมู่บ้าน โดยตัวแทนของแต่ละครัวเรือนจะนำอาหารและธูปเทียนกับกระดาษเงินกระดาษทองไปร่วมทำกับผู้นำพิธีกรรมของหมู่บ้าน นอกนั้นเป็นการเปเจี๊ย หรือการดำหัวผู้อาวุโส กับการไปเคารพบรรพบุรุษที่หลุมฝังศพ และในเช้าวันขึ้น 3 ค่ำจะมีพิธีสักการะผีบรรพบุรุษกับผีเรือนเพื่อเป็นสัญลักษณ์ของการสิ้นสุดเทศกาลปีใหม่อย่างเป็นทางการ แต่ในส่วนของงานเฉลิมฉลองที่เป็นงานละเล่นร่วมกันของหมู่บ้านนั้นยังคงดำเนินต่อไป ซึ่งจะกี่วันนั้นขึ้นกับว่าเป็นหมู่บ้านขนาดเล็กหรือขนาดใหญ่และข้อตกลงร่วมกันของผู้นำกับชาวบ้าน
การละเล่นกลางลานหรือสนามของหมู่บ้านเป็นวัตถุประสงค์หลักอย่างหนึ่งของการจัดงานเฉลิมฉลองการขึ้นปีใหม่ม้ง มุ่งที่จะให้วัยหนุ่มสาวได้มีพื้นที่ในการพบปะหาคู่กันผ่านกิจกรรมการโยนลูกช่วงเป็นสำคัญ ผู้หญิงเป็นฝ่ายที่เย็บและเตรียมลูกช่วงมา จะเป็นฝ่ายที่เริ่มชวนชายต่างแซ่ที่ตนพึงพอใจจะโยนลูกช่วงด้วย (ขึ้นอยู่กับความพึงพอใจของฝ่ายชายด้วย ถ้าฝ่ายชายไม่ชอบฝ่ายหญิง เขาก็สามารถปฏิเสธที่จะไม่โยนก็ได้) ระหว่างการโยนลูกช่วงก็จะเป็นโอกาสที่ทั้งคู่ได้สนทนากันและกัน หากมีความพึงพอใจกันก็จะโยนลูกช่วงกันยาวนานหรือตลอดวัน แต่หากไม่ชอบพอกันก็โยนพอเป็นมารยาทสักครู่ก็แยกย้ายกันไป ทั้งนี้ การเล่นโยนลูกช่วงไม่ได้หมายความว่าจะต้องแต่งงานหรือเป็นคู่รักกันเสมอไป แต่เป็นการร่วมสนุกสนานและได้รู้จักกันมากกว่า ในอดีตนั้นยังมีการร้องเพลงโต้ตอบกันระหว่างการโยนลูกช่วงด้วย ฉะนั้น ไม่ว่าจะเป็นชายหนุ่มหรือหญิงสาวก็ตาม ต่างก็ต้องสวมใส่เสื้อผ้าและเครื่องแต่งกายที่ดูดีและมีราคาเพื่อดึงดูดความสนใจจากเพศตรงข้าม ขณะที่พ่อแม่และญาติพี่น้องของทั้งฝ่ายชายและหญิงเองต่างก็มีความตื่นเต้นในวันดังกล่าว เพราะพวกเขาเองก็จะได้ภาคภูมิใจที่ได้เห็นลูกหลานแต่งชุดสวยงาม รวมทั้งอาจช่วยลูกๆ ของพวกเขาหาคู่ชีวิตด้วย ในกรณีที่ลูกพร้อมที่จะแต่งงานแล้ว อย่างไรก็ตาม เมื่อยุคสมัยเปลี่ยนแปลงไป หนุ่มสาวชาวม้งรุ่นใหม่มิได้ใช้การโยนลูกช่วงดังกล่าวเป็นสื่อกลางในการพูดคุยอีกต่อไป มีเพียงส่วนน้อยที่ยังคงทำการโยนลูกช่วงอยู่บ้าง แต่ความหมายของการโยนนั้นไม่ได้เป็นเหมือนกับในอดีตแล้ว หนุ่มสาวเพียงแค่ต้องการโยนในเวลาสั้นกับคนที่รู้จักกันแล้วเพื่อเป็นความสนุกสนานเท่านั้น
การละเล่นอื่นๆ ที่นอกเหนือไปจากการโยนลูกช่วงในเทศกาลปีใหม่ม้ง เดิมนั้นมีการการตีลูกขนไก่กับการตีลูกข่าง แต่ในยุคสองทศวรรษที่ผ่านมาที่มีการรวมกันเป็นเครือข่ายหมู่บ้านม้งเพื่อจัดงานปีใหม่ร่วมกันวันหนึ่งนั้นเกิดขึ้นในยุคการส่งเสริมการท่องเที่ยวที่เข้ามายังชุมชนม้งด้วย จึงมีการจัดกิจกรรมแสดงและการละเล่น รวมทั้งเกมส์กีฬาพื้นบ้านหลายอย่างด้วยกัน เช่น ขบวนพาเหรดย้อนยุค การแข่งขันตีลูกข่าง การแข่งขันยิงหน้าไม้ การแข่งขันล้อเลื่อนไม้ หรือม้งฟอร์มูล่า การแข่งหาบน้ำ ฝัดข้าว เย็บผ้า ฯลฯ ที่ทำให้กลุ่มผู้ชายและผู้หญิงต่างวัยล้วนแล้วแต่มีส่วนร่วมกันถ้วนหน้า
ความเปลี่ยนแปลงอีกอย่างหนึ่งของงานเฉลิมฉลองปีใหม่ของคนม้งทั่วไปในปัจจุบันคือการมีงานมหกรรมเหมือนงานเทศกาลและตลาดนัดทั่วไปที่มีการซื้อ-ขายอาหารและสิ่งของเครื่องใช้ ชมการแสดงเพื่อความบันเทิงบนเวที การแข่งขันกีฬาพื้นบ้านและกีฬาสากล และการพบปะสังสรรค์กับญาติพี่น้องและเพื่อนฝูงเป็นหลัก
นอกเหนือจากเทศกาลต่างๆ เกี่ยวข้องกับความเชื่อและระบบจารีตประเพณีเดิมที่กล่าวมาก่อนหน้านี้แล้ว ยังมีเทศกาลอื่นๆ ที่คนม้งจัดขึ้นมาเพื่อส่งเสริมเศรษฐกิจของตนเองและชุมชน เช่นงานแสดงสินค้าต่างๆ ของบริษัทห้างร้านที่จัดขึ้นเพื่อให้ลูกค้า (ม้ง) สามารถจับจ่ายซื้อชุดม้งและเครื่องแต่งกายม้งก่อนที่จะถึงเทศกาลเฉลิมฉลองวันปีใหม่ม้งที่ทุกคนต้องสวมใส่ งานลักษณะดังกล่าวเกิดขึ้นเป็นประจำทุกปีตามชุมชนที่มีประชากรอาศัยอยู่อย่างหนาแน่น เช่น อำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่ อำเภอเขาค้อ จังหวัดเพชรบูรณ์ และอำเภอพบพระ จังหวัดตาก เป็นต้น นอกจากนี้ม้งในบางพื้นที่ยังมีความพยายามในการจัดงานเทศกาลภาพยนตร์ม้งและงานคอนเสริต์ม้งนานาชาติเพื่อส่งเสริมอุตสาหกรรมบันเทิงของพวกเขาให้กับผู้บริโภคชาวม้งทั่วโลกด้วย เทศกาลต่างๆ เหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นผลมาจากกระแสของทุนนิยม
ประเพณี เทศกาล และพิธีกรรมที่เกี่ยวกับชีวิต
การตั้งครรภ์และการคลอดบุตร
ในอดีตม้งมีความเชื่อว่าเด็กที่เกิดใหม่นั้นเป็นบรรพบุรุษกลับชาติมาเกิดในครอบครัวหรือตระกูล ก่อนที่จะมีสถานีอนามัยในชุมชนและการเดินทางไปคลอดที่โรงพยาบาลยังเป็นเรื่องที่ยากลำบากนั้น การคลอดบุตรเป็นไปตามธรรมชาติ โดยอาศัยหมอตำแยในหมู่บ้านช่วยทำการคลอดที่บ้าน เมื่อคลอดและทำความสะอาดทารกแล้ว ตัดรกด้วยไม้ไผ่หรือกรรไกร ถ้าเป็นเด็กชายจะนำรกไปฝังไว้ที่เสากลางบ้าน โดยมีความหมายว่าเด็กชายจะเป็นผู้ที่สืบทอดสายเลือดและพิธีกรรมของตระกูลต่อไป ถ้าบุตรเป็นหญิงจะฝังรกไว้ใต้แคร่นอนของมารดา เพราะต้องการให้ลูกสาวรู้จักรักนวลสงวนตัว และรู้จักการบ้านการเรือน เด็กที่เกิดได้ 3 วัน บิดาจะทำพิธีตั้งชื่อ โดยต้องนำไก่ 2 ตัวมาทำพิธีเรียกขวัญและขอบคุณผีบรรพบุรุษที่ส่งเด็กมาเกิด พร้อมทั้งบอกผีบ้านผีเรือนให้คุ้มครองเด็ก และรับไว้เป็นสมาชิกของครอบครัวและวงศ์ตระกูล
อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันหญิงม้งได้หันมาใช้บริการการแพทย์สมัยใหม่ของรัฐตั้งแต่การฝากท้องมาจนถึงระยะหลังการคลอด ทำให้พวกเขาไม่สามารถเก็บรกของลูกมาฝั่งไว้ตามจุดได้อีกต่อไป ความเชื่อเกี่ยวกับการฝั่งรกนี้จึงค่อยๆ หายไป และพิธีการตั้งชื่อของทารกนั้นกลับได้รับความสำคัญมากขึ้นตามลำดับด้วย กล่าวคือ จากเดิมที่ใช้แต่ไก่ในการตั้งชื่อและรับประทานอาหารร่วมกันธรรมดาในครัวเรือน ปัจจุบันบางคนถึงกับทำการฆ่าหมูเลี้ยงเฉลิมฉลองกับญาติพี่น้องและเพื่อนฝูงอย่างสนุกสนาน โดยเฉพาะกรณีทารกที่คลอดเกิดมาเป็นลูกชาย เป็นที่สังเกตว่ากิจกรรมที่เกี่ยวกับการเกิดของม้งในอดีตได้รับการตอกย้ำเพียงแค่ครั้งเดียวในชีวิต แต่ปัจจุบันสังคมม้งได้รับอิทธิพลจากสังคมไทยและตะวันตกมากขึ้น คนม้งรุ่นใหม่ล้วนแล้วแต่ให้ความสำคัญกับวันเกิดของพ่อแม่ พี่น้อง ญาติ และเพื่อนฝูงเป็นประจำทุกปี
การแต่งงานและการหย่าร้าง
ข้อห้ามสำคัญสำหรับการแต่งงานของหนุ่มสาวม้งคือ ห้ามการแต่งงานระหว่างหญิงกับชายที่เป็นคนในแซ่ตระกูลเดียวกัน ดังนั้น การจีบกันของหนุ่มสาว โดยเฉพาะระหว่างการโยนลูกช่วงเทศกาลปีใหม่เป็นโอกาสที่มีการพบปะระหว่างหนุ่มสาวมากที่สุด สิ่งสำคัญคือต้องหลีกเลี่ยงที่จะจับคู่โยนลูกช่วงและทำความรู้จักกับหนุ่มหรือสาวที่เป็นคนแซ่เดียวกันกับตน ปัจจุบันรูปแบบการหาคู่ในกรณีที่อยู่กันคนละหมู่บ้าน คือการพบกันในอินเตอร์เน็ต แม้จะเปลี่ยนชื่อและนามสกุลเป็นไทยกันไปมาก แต่การสอบถามข้อมูลว่าแต่ละคนเป็นคนแซ่อะไรนั้นยังคงสำคัญ เพราะหากแต่งงานกันแล้วต้องเป็นผู้ใหญ่ของทั้งสองฝ่ายที่เข้ามาเกี่ยวข้องกับพิธีกรรม
ในสังคมเกษตรกรรมแบบชุมชนม้งในอดีต การแต่งงานของหนุ่มสาววัยประมาณ 15 ปี ถือเป็นเรื่องปกติ เพราะมีความจำเป็นเรื่องแรงงานในครัวเรือน การแต่งงานและมีลูกหลานตั้งเต่อายุยังน้อยเป็นหลักประกันสำคัญสำหรับชีวิตในวัยชราของพ่อแม่ด้วย อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันสังคมได้ปรับเปลี่ยนไป คนวัยหนุ่มสาวเข้าสู่ระบบการศึกษาในโรงเรียนและทำงานในเมือง อายุการแต่งงานจึงขยายออกไป ประมาณ 20 ปีโดยเฉลี่ย หรือบางรายแต่งงานกันวัย 30 ปี ขึ้นกับการได้รู้จักเพศตรงข้ามและความพร้อมของแต่ละคน
รูปแบบการแต่งงานดั้งเดิมของม้ง มีทั้งการที่ญาติผู้ใหญ่ของฝ่ายชายส่งคนไปสู่ขอในบ้านของพ่อแม่ฝ่ายหญิง การพากันไปยังบ้านฝ่ายชายแล้วค่อยส่งคนไปแจ้งพ่อแม่ฝ่ายหญิง หรือแม้กระทั่งการฉุดฝ่ายหญิงไปยังบ้านของฝ่ายชายแล้วค่อยส่งคนไปแจ้งข่าวแก่พ่อแม่ฝ่ายหญิง แต่รูปแบบการฉุดนี้ได้รับการประณามและต่อต้านจากสังคม จึงแทบไม่พบเห็นการกระทำดังกล่าวในสังคมม้งในประเทศไทย เมื่อฝ่ายชายพาหญิงสาวเข้าบ้านนั้นต้องใช้ไก่ตัวผู้มาทำพิธีวนเหนือหัวขอทั้งคู่ เพื่อปัดเป่ารังควานกับแจ้งต่อผีบรรพบุรุษและผีเรือนของพ่อแม่ฝ่ายชายว่าได้รับสมาชิกใหม่เข้ามายังบ้านหลังนี้แล้ว เมื่อครบสามวันตองทำพิธีเรียกขวัญลูกสะใภ้ใหม่ หากผลการเจรจาลงเอยว่าพ่อแม่ฝ่ายหญิงต้องการจัดพิธีแต่งงานภายในสามวัน ฝ่ายชายก็ต้องเตรียมยกขบวนไปภายในวันที่สาม แต่หากพ่อแม่ฝ่ายหญิงยังไม่พร้อม ก็เพียงมีญาติผู้ใหญ่ของฝ่ายชายพาทั้งคู่กลับไปเยี่ยมพ่อแม่พี่น้องของฝ่ายหญิงในวันที่สาม
งานแต่งงานหลักจะจัดขึ้นที่บ้านพ่อแม่ของฝ่ายหญิง โดยญาติฝ่ายชายต้องจัดคณะผู้ทำหน้าที่ตำแหน่งต่างๆ ในงานแต่งงาน เดินทางพร้อมกับเจ้าบ่าวและเจ้าสาวไปยังบ้านของพ่อแม่ฝ่ายหญิงตามวันที่นัดหมาย เริ่มต้นด้วยการเจรจาค่าน้ำนมหรือสินสอดที่ฝ่ายชายต้องจ่ายให้กับพ่อแม่ฝ่ายหญิง จากนั้นจึงเป็นงานเลี้ยง ซึ่งปกติแล้วทุกขั้นตอนจะใช้เวลาประมาณสองวันหนึ่งคืน จึงยกขบวนกลับมาบ้านของพ่อแม่ฝ่ายชายเพื่อรายงานผลการจัดงานแต่งงานและขอบคุณคณะผู้ร่วมเดินทาง เป็นอันเสร็จพิธี ทั้งนี้ ในกลุ่มคนม้งรุ่นใหม่ที่ได้รับอิทธิพลจากสังคมไทยและตะวันตก รูปแบบของพิธีกรรมแต่งงานจะมีการประยุกต์เป็นแบบสากลมากขึ้น เช่น การแต่งงานจัดงานเลี้ยงในโรงแรมหรือรีสอร์ท การจัดแบบคริสเตียนในโบสถ์ในกรณีของม้งคริสเตียน หรือหากเป็นการแต่งงานระหว่างม้งกับคู่แต่งงานที่ไม่ใช่ม้ง ก็ขึ้นอยู่กับการตกลงกันระหว่างญาติของทั้งสองฝ่ายว่าจะจัดแบบไหน
ความตายและการทำศพ
การตายถือเป็นการเดินทางข้ามภพภูมิของวิญญาณของผู้ตาย จากโลกของมนุษย์ไปยังโลกของจิตวิญญาณ ซึ่งโลกทัศน์ของชาวม้งนั้นไม่มีสวรรค์กับนรก มีเพียงดินแดนที่บรรพบุรุษอยู่ ซึ่งตามเนื้อหาในพิธีกรรมนั้นเป็นบนท้องฟ้า ดังนั้น ภายหลังเสียชีวิตจึงต้องมีการท่องบทสวดนำทาง (taw kev) ให้วิญญาณของผู้ตายเดินทางไปพบบรรพบุรุษ แต่สิ่งสำคัญคือต้องมีชุดคนตายและรองเท้าที่ทำด้วยเส้นใยกัญชง และต้องใช้แคน (qeej) ซึ่งใช้เป่าคู่กับการตีกลอง เป็นเครื่องมือในการสื่อสารกับวิญญาณของคนตายในระหว่างจัดพิธีศพ
พิธีกรรมศพชาวม้งถือว่าเป็นพิธีกรรมหนึ่ง ที่จะแสดงถึงความกตัญญู กตเวที ของลูกหลานเมื่อญาติผู้ใหญ่ในครอบครัวเสียชีวิตไป เนื่องจากพ่อแม่ส่วนใหญ่มักจะอาศัยอยู่กับลูกชายคนเล็ก ฉะนั้นลูกชายคนสุดท้องในฐานะที่อยู่อาศัยกับพ่อแม่และรับมรดกบ้านเรือนต่อจากท่านทั้งสอง จึงต้องเป็นเจ้าภาพหลักในงานศพของพ่อแม่ โดยยังคงมีพี่น้องช่วยหนุนเสริมตามกำลังและความร่วมผิดชอบร่วมด้วย สำหรับจำนวนวันที่จัดพิธีศพนั้น ขึ้นอยู่กับฤกษ์ยามและกำลังทรัพย์ของเจ้าภาพเป็นสำคัญ แต่ส่วนใหญ่มักจะตั้งศพไว้เป็นเวลาอย่างน้อย 3 วัน เพื่อทำการประกอบพิธีกรรมทางความเชื่อและรอให้ญาติพี่น้องใกล้ชิดมาพร้อมหน้ากันและร่วมในขั้นตอนสำคัญ โดยเฉพาะในวันก่อนและวันที่นำศพไปฝัง
หลังจากนำศพไปฝังครบสามวันแล้วเจ้าบ้านจะทำการส่งข้าวส่งน้ำให้วิญญาณผู้ตาย เริ่มจากที่หลุมฝังศพ เมื่อครบสามวันแล้วจึงเรียกให้มาร่วมรับประทานอาหารกับสมาชิกในบ้านตามปกติ บางแซ่ตระกูลที่ทำหลุมฝังศพแบบจีน คือก่อเหนือหลุมฝังศพด้วยหินและปูน ก็จะทำหลังจากครบสามวันแล้ว นับถัดจากวันฝังศพ เมื่อครบ 13 วันแล้ว บางแซ่ตระกูลจะทำพิธี “ซี” แล้วค่อย “จอ ปลี” หรือปล่อยวิญญาณผู้ตายให้ไปเกิดใหม่ แต่บางตระกูลจะเลือกทำพิธี “จอ ปลี” เมื่อครบ 13 วัน สำหรับพิธีกรรมสุดท้าย คือ "อัว ญู้ ด้า" หรือการเลี้ยงผีวัว ซึ่งลูกชายทุกคนต้องทำให้กับพ่อแม่ของตนที่ล่วงลับไปแล้ว ด้วยเชื่อว่าเป็นการตอบแทนบุญคุณของพ่อแม่ด้วยการให้วัวและกระดาษเงินกระดาษทอง ดังนั้น พิธีศพและพิธีกรรมที่เกี่ยวข้องภายหลังจากงานศพจึงเป็นกิจกรรมหลักที่เชื่อมความสัมพันธ์และความร่วมมือระหว่างกันและกันในบรรดาญาติพี่น้องกับลูกหลานที่ยังมีชีวิตอยู่
การเคารพสิ่งศักดิ์สิทธิ์และบรรพบุรุษ
ในโอกาสสำคัญของรอบปีจึงต้องมีการเซ่นไหว้บรรพบุรุษ เช่น การกินข้าวใหม่ ข้าวโพดใหม่ แตงกวาใหม่ การตำจั๋วหรือข้าวปุกตอนปีใหม่ เทศกาลปีใหม่ รวมทั้งการที่จะออกเดินทางไกลซึ่งต้องการกำลังใจหรือการคุ้มครองจากบรรพบุรุษ ชาวม้งจะทำพิธีเซ่นไหว้บรรพบุรุษ ด้วยการเตรียมอาหารใหม่ที่มีข้าวสุกและเนื้อไก่ต้ม หรือข้าวโพดใหม่ แตงกวาใหม่ กับจั๋ว เป็นต้น แล้วเชิญวิญญาณบรรพบุรุษให้มาร่วมกินดื่ม โดยอาจมีเหล้าเป็นส่วนประกอบในการเซ่นไหว้ด้วย นอกจากนั้นยังมีการเผาธูปและกระดาษเงินกระดาษทองไปให้บรรพบุรุษด้วย
เช่นเดียวกับคนจีน คนม้งก็มีพิธีกรรมในการเซ่นไหว้บรรพบุรุษที่เรียกว่า “เช่งเม้ง” คนม้งมักจะทำพิธีดังกล่าวในช่วงเวลาประมาณเดือนมีนาคมของทุกปี ลูกหลานแต่ละคนไม่ว่าจะเป็นชายในครอบครัวหรือหญิงที่แต่งงานออกจากครอบครัวเดิมขอตนแล้วก็ตาม เป็นช่วงเวลาที่ลูกหลานนำอาหารและผลไม้ กับทำการเผากระดาษเงินกระดาษทองและธูปให้บรรพบุรุษ ณ สุสาน พร้อมกับการขอพรจากพบบรรพบุรุษเพื่อให้อยู่ดีมีสุขและประสบผลสำเร็จในการทำมาหากิน ไม่ว่าจะเป็นการเพาะปลูกในฤดูการผลิตต่อไป หรือการเรียนและการค้าขาย เป็นต้น
การแสดง มหรสพ และการละเล่น :
การแสดง มหรสพ และการละเล่น
เครื่องดนตรี
มีสองประเภทคือ เป่า และตี ซึ่งเครื่องดนตรีของคนม้งไม่ได้เป็นเครื่องดนตรีที่เล่นประกอบการขับร้องเพลง แต่เสียงดนตรีสามารถสื่อสารแทนคำหรือภาษาที่สามารถฟังเข้าใจได้แล้ว ฉะนั้นเครื่องดนตรีของม้งจึงไม่ได้นำไปเล่นบรรเลงเพื่อประกอบการร้องรำทำเพลงแต่อย่างใด แต่ว่าได้ถูกใช้ในการเป็นเครื่องมือของการสื่อสารในวัฒนธรรมม้ง ซึ่งรูปแบบการสื่อสารดังกล่าวไม่เพียงแต่ใช้ติดต่อสื่อสารกับคนอย่างเดียว แต่กับสิ่งศักดิ์สิทธิ์หรือวิญญาณของผู้ที่ล่วงลับไปแล้วด้วย โดยเฉพาะแคน และกลอง
แคน (qeej)
เดิมทำมาจากไม้ไผ่จำนวน 6 ลำ แต่ละลำมีความยาวที่แตกต่างกันและมีชื่อเรียกที่แตกต่างกัน และช่องลำที่ใช้เป่าทำมาจากไม้เป็นฐานของไม้ไผ่ทั้ง 6 ลำนี้ ด้านในของลำไม้ไผ่แต่ละลำมีลิ้นทองเหลือง จุดที่เป่านั้นทำมาจากทองเหลืองหรือโลหะ อย่างไรก็ตาม เนื่องจากวัสดุต่างๆ เหล่านี้เริ่มหายากขึ้น คนม้งจึงหันมาใช้ท่อพีวีซีในการทำแคนแทนลำไม้ไผ่ด้วย ซึ่งมีความมั่นคงและคงทนมากกว่าวัสดุที่ได้มาจากธรรมชาติ และที่สำคัญคือ นอกจากการเป่าแคนเพื่อความจรรโลงใจในชีวิตประจำวันและประกอบการแสดงแล้ว แคนยังเป็นส่วนหนึ่งของพิธีกรรมต่างๆ ที่สำคัญด้วย โดยเฉพาะในพิธีงานศพ ที่บทเพลงต่างๆ ถูกขับร้องให้กับวิญญาณของผู้ที่ล่วงลับไปแล้วผ่านแคนเป็นหลัก เมื่อแคนได้ถูกเชื่อมโยงกับพิธีกรรมแล้ว จึงทำให้แคนไม่ใช่เครื่องดนตรีที่ฝ่ายหญิงจะเรียนและเป่าได้
จยา (ncas)
เครื่องดนตรีชนิดนี้สามารถสื่อภาษาออกมาเป็นคำพูดให้คนม้งรุ่นอาวุโสฟังเข้าใจเช่นเดียวกันกับเคน ทว่าสิ่งนี้ไม่ได้ถูกนำไปใช้ในการประกอบพิธีกรรมใด นอกจากการเป็นเพียงเครื่องมือสื่อสาร (mode of communication) ขนาดที่สามารถพกพาติดตัวได้ที่ชายหญิงในอดีตใช้ในการเกี้ยวพาราสีกัน โดยเฉพาะฝ่ายชายที่มักจะใช้เครื่องดนตรีชนิดนี้ในการเรียกหญิงสาวแทนการใช้เสียงของตนเอง เพราะหากใช้เสียงของตนเองเรียก พ่อแม่พี่น้องของฝ่ายหญิงก็อาจรับรู้ได้ว่าเสียงนั้นเป็นเสียงของชายผู้ใด การใช้อุปกรณ์นี้จึงช่วยบดบังน้ำเสียงของผู้ที่ทำการเกี้ยวพาราสีได้ ในอดีต ชายม้งจึงนิยมใช้เครื่องดนตรีชนิดนี้ในการเกี้ยวพาราสีกับสาวม้งในยามวิกาลกัน และฝ่ายหญิงเองก็สามารถที่จะใช้เครื่องดนตรีชนิดนี้สื่อสารกับฝ่ายชายด้วยวิธีการสันติและไม่ได้รบกวนพ่อแม่พี่น้องของตนที่กำลังหลับอยู่ด้วย
ขลุ่ย
ลักษณะของขลุ่ยม้งก็มิได้มีความแตกต่างจากลักษณะของขลุ่ยทั่วไป กล่าวคือ มีลำไม้ไผ่เป็นส่วนประกอบที่สำคัญ มีลิ้นที่ทำมาจากทองเหลือง และมีรูด้านหน้า 5 รู และด้านหลัง 1 รู เครื่องดนตรีชนิดนี้ผู้ชายเป็นผู้เล่นอย่างเดียวเช่นเดียวกับแคน ชายม้งใช้เครื่องดนตรีนี้ในการเกี้ยวพาราสีและแสดงอารมณ์ ความรู้สึก และความคิดของตนเอง
ใบไม้
นอกจากเครื่องดนตรีที่กล่าวมาแล้ว คนม้งจะมีการใช้ใบไม้ในการติดต่อสื่อสารกันด้วย โดยเฉพาะการติดต่อสื่อสารของคู่บ่าวสาวในระยะที่ค่อนข้างไกล หากใช้ภาษาธรรมดาในการติดต่อสื่อสาร ก็จะทำให้คนอื่นรู้เสียงของผู้พูด และที่สำคัญเสียงของใบไม้เดินทางได้ไกลกว่าเสียงตะโกนของคน จึงมีการเลือกเป่าใบไม้แทนการใช้คำพูดเพื่อการสื่อสารที่แนบเนียน ไพเราะ และสันติมากขึ้นในการติดต่อสื่อสาร อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบัน เมื่อวิถีชีวิตของคนม้งนั้นเปลี่ยนแปลงไป ผู้ที่สามารถเป่าใบไม้และมีองค์ความรู้นั้นลดน้อยลง ประกอบกับระบบการติดต่อสื่อสารสมัยใหมถูกพัฒนาจนศิลปะการสื่อสารผ่านสิ่งประกอบสร้างธรรมชาติเหล่านี้ก็สูญหายตามไปด้วยเช่นกัน
กลอง
กลองของม้งนั้น ส่วนของลำกลองทำมาจากไม้ขนาดใหญ่พอสมควร หน้ากลองนั้นขึงด้วยหนังวัวที่ตากแห้งและถูกขัดมาอย่างดีแล้ว สำหรับม้งในประเทศไทย กลองนี้จะถูกใช้เฉพาะในพิธีกรรมงานศพ ที่ตีควบคู่ไปกับการเป่าแคนในบทเพลงต่างๆ เท่านั้น จะไม่ถูกนำมาตีเล่นนามเทศกาลต่างๆ เสียงกลองจึงเป็นสัญลักษณ์หนึ่งของพิธีศพ
เพลง
ในวัฒนธรรมของม้ง เพลงม้งเป็นสิ่งที่ขับร้องแยกกันอย่างสิ้นเชิง เครื่องดนตรี บทเพลงโดยส่วนใหญ่นอกจากเป็นการพรรณนาเรื่องราวและความรู้สึกต่างๆ ที่เป็นความทุกข์ยากของการเป็นเด็กกำพร้า การห่างไกลพ่อแม่ไปแต่งงานอยู่กับฝ่ายชายแล้วได้รับความยากลำบาก และการหวนคิดถึงคนรักในอดีตแล้ว บทเพลงต่างๆ ยังถูกฝ่ายชายใช้ในการเกี้ยวพาราสีกับฝ่ายหญิง และทำการโต้ตอบกันไปมาระหว่างกันด้วย การขับร้องบทเพลงโดยปราศจากเครื่องดนตรีจึงเป็นลักษณะหนึ่งของบทเพลงม้งแบบดั้งเดิม ซึ่งแตกต่างจากวัฒนธรรมเพลงสมัยใหม่ที่คนม้งใช้เครื่องดนตรีตะวันตกประกอบการการร้องเพลงเหมือนอย่างเพลงลูกทุ่งและเพลงไทยสากลทั่วไป สำหรับเทศกาลที่นับว่าเป็นเทศกาลแห่งการขับร้องเพลงดั้งเดิมของหนุ่มสาวนั้น เป็นช่วงของงานปีใหม่ ชายและหญิงใดที่โยนลูกช่วงตกในงานปีใหม่ ผู้นั้นจะต้องขับร้องเพลงให้กับอีกฝ่ายหนึ่งฟังวนกันไปแบบนั้น หนุ่มสาวในอดีตจีบกันผ่านบทเพลงเหล่านี้เป็นหลัก ซึ่งต่างจากหนุ่มสาวในยุคปัจจุบันที่ใช้คำพูดธรรมดาในการพูดคุยกัน ผู้เขียนขอยกตัวอย่างบทเพลงสั้นบทหนึ่งที่ฝ่ายชายขับร้องขึ้นมาเพื่อทำการยกยอเกี้ยวพาราสีฝ่ายหญิง ซึ่งบทเพลงม้งดั้งเดิมนั้นเป็นลักษณะของการเปรียบเปรยที่มีสัมผัสมากกว่าที่จะสื่อสารกันตรงๆ
“ Koj leej niam leej txiv yauv txawj yug, cia koj leej niam leej txiv twb yuav noj txiv tsawb ntxuag npad nav nam es thiaj li yug tau koj tus mes zoo zoo nkauj dawb dawb mos nyoos cuag li nkauj mab daj.
Koj leej niam leej txiv yauv txawj yug, cia koj leej niam leej txiv twb yuav noj npas nav nam ntxuag txiv tsawb es thiaj li yug tau koj tus mes zoo zoo nkauj dawb dawb mos nyoos cuag li nkauj mab dawb.”
“พ่อแม่ของเจ้าช่างรู้จักกินแล้วเกิดเจ้ามา, เขากินกล้วย เขาจึงเกิดเจ้ามาทำให้เจ้าสวย ผิวพรรณใสผุดผ่องดังสาวชาติผิวเหลือง
พ่อแม่เจ้าช่างรู้จักกินแล้วเกิดเจ้ามา เขากินกล้วย เขาจึงเกิดเจ้ามาทำให้เจ้าสวย ผิวพรรณผุดผ่องเหมือนกับสาวชาติผิวขาว”
อย่างไรก็ตาม อิทธิพลของเพลงในศาสนาคริสต์ กับเพลงไทย ลาวและตะวันตก ทำให้นักร้องม้งสมัยใหม่หยิบยืมทำนองและเนื้อหาของเพลงลูกทุ่ง เพลงลูกกรุง เพลงจีน เพลงสากล หรือแม้แต่หมอลำ แล้วมาใส่เนื้อร้องที่เป็นภาษาม้งเข้าไป เพลงสมัยใหม่ที่มีดนตรีประกอบแบบนี้เป็นที่นิยมของคนม้งรุ่นใหม่ทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ
การเต้นรำ
เฉพาะการเต้นประกอบการเป่าแคนของชายม้งกับการรำดาบเท่านั้นที่นับว่าเป็นการละเล่นหรือการเต้นรำที่มีความเป็นเอกลักษณ์ของคนม้ง นอกนั้นเป็นท่าเต้นและจีบต่างๆ ที่หยิบยืมมาจากท่ารำและจีบต่างๆ ของวัฒนธรรมอื่นๆ แล้วนำมาดัดแปลงเพื่อเต้นประกอบบทเพลงม้งสมัยใหม่
วรรณกรรมท้องถิ่น :
วรรณกรรมท้องถิ่น
เนื่องจากชุมชนม้งกระจายกันไปในหลายจังหวัดทางภาคเหนือ จึงมีตำนานและนิทานที่หลากหลายแตกต่างกันไปตามท้องถิ่น อย่างไรก็ตาม ผู้เขียนขอยกตำนานที่บันทึกโดยเยาวชนม้งในพื้นที่ดอยยาว-ผาหม่น (เครือข่ายการเรียนรู้ฟื้นฟูนิเวศวัฒนธรรมชุมชนดอยยาว-ผาหม่น, มปป.) ได้ทำการเขียนบันทึกจากคำบอกเล่าของ จูเช้ง แซ่ท่อ ผู้อาวุโสในเขตดอยยาว-ผาหม่น โดยมีตำนานที่เกี่ยวข้องกับม้งดังนี้
โก่จั๊วและจ่าวหน่า เป็นบรรพบุรุษของคนม้ง ซึ่งมีพ่อแม่คือ สือ นู้ โตง เอี๊ยะ นญู่ ซือ (swv nuj toog iab nyuj ntsws) ทั้งสองมีลูกชาย 9 คน ลูกหญิง 9 คน อยู่มาในวันหนึ่ง ‘เหย่อโซ๊’ หรือเจ้าแห่งธรรมชาติได้สั่งให้ทั้งสองคนสร้างกลองม้งขนาดใหญ่หนึ่งลูก เพราะน้ำจะท่วมโลก เมื่อสร้างกลองเสร็จ ทั้งสองจึงนำเอาสัตว์นานาพันธุ์อย่างละหนึ่งคู่ และเมล็ดพันธุ์พืชทุกชนิดบรรจุไว้ในกลอง แล้วทั้งสองจึงเข้าไปอยู่ในกลองใหญ่นั้น
คนม้งอีกหลายคนยังเชื่อในผู้ทรงสร้างจักรวาลเช่นเดียวกับเหย่อโช๊ หรือบางกลุ่มเรียกว่า ‘จื๋อ ตู่’ (Tswv Ntuj) ในขณะเดียวกันยังเชื่อในวิญญาณหรือเทวาหรือผีอีกมากมายทั้งใหญ่น้อย ผู้ที่แสดงออกในด้านความเมตตากรุณาคือ ‘โซ๊’ (Saub) ซึ่งในเรื่องเล่าอีกสำนวนเกี่ยวกับน้ำท่วมโลกกล่าวว่า โซ๊บอกคนม้งว่าน้ำจะท่วมโลก มีคนหนึ่งมองหาตัวตุ่น เขาจึงขุดรูลึกไปจนพบตุ่นตัวหนึ่ง แล้วมันจึงถามว่า ทำไมจึงทำอะไรให้เสียเปล่าไปอย่างนั้น เขาตอบว่า ข้าพยายามขุดรูให้ลึกสุดเท่าที่ลึกได้ เพื่อให้รอดพ้นจากน้ำท่วมซึ่งกำลังมา สัตว์นั้นจึงกล่าวว่า ให้สร้างเรือแล้วนำผู้คน เด็กๆ และสัตว์ทั้งหลายใส่ไว้ในเรือ และใส่เมล็ดพันธุ์พืชต่างๆ ไว้ในรูลึกที่ขุดไว้ ซึ่งจะได้เริ่มชีวิตใหม่อีกครั้ง นี่เป็นจุดเริ่มของเรื่องเล่าสำนวนหนึ่งในการมีชีวิตรอดยุคน้ำท่วมโลกของคนม้ง
อีกสำนวนหนึ่งเล่าว่า เมื่อโก่จั๊วและจ่าวหน่าอยู่ในกรองลอยขึ้นเป็นเวลาเก้าปีเต็มจนเรือลอยถึงขอบฟ้า แล้วกลองก็ไปกระแทกบนฟ้า ‘เหย่อโซ๊’ เจ้าแห่งธรรมชาติจึงรู้สึกตัวว่าน้ำท่วมถึงขอบฟ้าแล้วก็เลยเอาปักทองแดงแหลมทิ่มแทงลงไปบนพื้นผิวโลก ทำให้แผ่นดินแยกเป็นหุบเขา ในที่สุดน้ำท่วมโลกก็ลดลงเป็นปกติ ทั้งสองจึงมีชีวิตรอดบนผืนโลก แล้วได้ทำตามคำสั่งของ ‘เหย่อโซ๊’ ที่ว่าถ้ามีชีวิตรอดถึงฝั่ง ให้ทั้งสองนำแผ่นหินคนละแผ่นกลิ่งจากภูเขาคนละฝั่งลงในหุบเขา ถ้าแผ่นหินทับกันให้ทั้งสองจงแต่งงานกันเองเพื่อดำรงเผ่าพันธุ์สืบไป
อนึ่งเล่ากันอีกว่า น้ำท่วมโลกได้ทำให้สัตว์ทั้งหลายที่ไม่ได้ขึ้นกลองตายหมด รวมทั้งไก่ด้วย ยกเว้นไข่ไก่เท่านั้นที่เหลืออยู่แล้วได้กลายเป็นไก่ในเวลาต่อมา ทำให้ทั้งสองให้ความสำคัญกับไก่เป็นที่หนึ่งไก่เป็นสัตว์ที่รู้ฟ้าดินดีกว่าสัตว์ใดๆ
เมื่อทั้งสองแต่งงานกันเองแล้วเกิดลูกออกมามีมือและเท้าติดกับร่างกายที่กลมเหมือนลูกแตงกวาม้ง ทั้งสองเกิดความสลดใจมากจึงนำลูกไปสับเป็นชิ้นเล็กชิ้นใหญ่ แล้วนำส่วนที่เป็นไส้ไปทิ้งในพื้นที่ราบและนำส่วนที่เป็นชิ้นเนื้อไปทิ้งบนภูเขาให้กระจัดกระจายไปทั่ว แต่ปรากฏว่า ในเช้าวันรุ่งขึ้น ก้อนเนื้อเหล่านั้นก็กลายเป็นคนมีครอบครัวอยู่ทั่วไปจำนวน 12 ครอบครัวอย่างประหลาดใจ แล้วจึงตั้งชื่อแซ่ตระกูลให้กับ 12 ครอบครัว อันเป็นที่มาของแซ่ต่างๆ ของม้งในปัจจุบัน ส่วนลำไส้ที่นำไปทิ้งในพื้นราบก็กลายเป็นข้าวและพืชพันธุ์ธัญญาหารอยู่ทั่วไป
นิทาน
เช่นเดียวกับกลุ่มชาติพันธุ์อื่นๆ ชาวม้งมีนิทานของตัวเองที่หลากหลาย ซึ่งแต่เดิมนิยมเล่ากันก่อนนอน เพื่อถ่ายทอดให้ลูกหลาน กับทั้งใช้เล่ากันในบ้านศพ เพื่อช่วยเจ้าบ้านอยู่เฝ้าศพในยามค่ำคืน นิทานของม้งมีหลากหลายประเภทด้วยกัน เนื้อหามักจะแฝงด้วยข้อคิดในการดำเนินชีวิต โดยในที่นี้จะขอยกตัวอย่าง
ก้าซิและซิโค่ง (Nkaj xib thiab Xib khoo)
กาลครั้งหนึ่ง ในเมืองหนึ่งที่กำลังมีสงครามปราบจลาจลกันอย่างหนัก มีสามีภรรยาคู่หนึ่งซึ่งกำลังหนีจากการตามล่าของทหารทางภาครัฐได้หนีเข้าในป่า ซึ่งขณะที่กำลังหนีนั้นภรรยากำลังตั้งครรภ์ท้องแก่ จึงได้ลูกเป็นลูกแฝดชายท่ามกลางความมืดในป่าใหญ่ แฝดพี่ชื่อ ก้าซิ แฝดน้องชื่อซิโค่ง ท่ามกลางการหลบหนีภัยดังกล่าว ภรรยาจึงได้เอาลูกแฝดพี่ชื่อ “ก้าซิ” (ชื่อหนอนชนิดหนึ่ง) ซ่อนไว้ในโพรงหิน และแฝดน้องชื่อ “ซิโค่ง” ซ่อนไว้ในโพรงไม้ เพื่อที่จะได้หลบหนีทหารอย่างสะดวก นอกจากนั้นภรรยาก็ได้ขอพรจากผีสางเทวดาให้ช่วยดลบันดาลและบกปักรักษาลูกทั้งสองให้อยู่รอดปลอดภัยด้วย
หลังจากวันนั้นผ่านไปเด็กทั้งสองก็โตเป็นหนุ่มและได้แต่งงานโดยไม่รู้ชะตากรรมของพ่อแม่ แฝดผู้พี่ด้วยความคิดถึงและอยากมีแม่เหมือนคนอื่นๆ เขาจึงได้เอ่ยขึ้นมาลอย ๆ ว่าเราควรจะมีแม่ไว้ดูแลหลาน ๆ แฝดน้องเลยตอบกลับมาว่า “แม่เราน่าจะยังอยู่ เราควรออกไปหา”
วันรุ่งขึ้นแฝดทั้งสองต้องการจ้างคนงานมาช่วยงานเลยถามเพื่อนบ้านว่ามีใครที่ต้องการมารับจ้างหรือไม่ เพื่อนบ้านเลยตอบแฝดทั้งสองว่าหมู่บ้านใกล้ ๆ นี้มีหญิงแก่คนหนึ่งที่ชอบรับจ้าง ให้ลองไปถามดู พอได้ยินดังนั้นแฝดสองพี่น้องก็ไม่รอช้ารีบเดินทางไปยังหมู่บ้านที่เพื่อนบ้านบอก พอไปถึงข้างทางมีร้านค้าขายข้าวเลยแวะพักทานข้าว พอทานไปสักพักได้ยินยายแก่คนหนึ่งบ่นด้วยความเสียใจและความรู้สึกที่อยากมีลูกเหมือนกับคนอื่น ๆ ว่า “ถ้าเราไม่ทิ้งลูกก้าซิและซิโค่งไว้ในป่าตอนนี้เราคงจะสบายเหมือนกับคนอื่น ๆ แล้ว” พอแฝดทั้งสองได้ยินก็รีบเร่งเข้าไปถามว่าลูกทั้งสองของยายชื่อก้าซิและซิโค่งที่ถูกซ่อนไว้ในโพรงหินและไม้หรือเปล่า ยายเลยตอบว่าใช่ แฝดทั้งสองเลยตอบกลับไปว่าที่ยายพูดนั้นเป็นเราสองคน พอแม่ลูกได้รู้ความจริงพบกันด้วยความดีใจเลยกอดกันด้วยความปลาบปลื้ม แฝดสองคนก็เลยพาแม่กลับไปอยู่ด้วยกัน แล้ววันหนึ่งแม่ที่แก่ชราก็ขอให้ลูกสะใภ้คนโตซักผ้าที่ลำธารให้นาง แต่ด้วยความสกปรกและเหม็นของเสื้อผ้า ลูกสะใภ้คนโตเลยปฏิเสธแม่สามีอย่างไม่ใยดี ดังนั้นแม่สามีจึงขอให้สะใภ้คนเล็กช่วยไปซักเสื้อผ้าให้ สะใภ้คนเล็กจึงไปซักให้ ก่อนที่จะไปนั้นแม่สามีบอกว่า ถ้าลูกซักผ้าของแม่ให้ลูกล้วงเข้าไปในกระเป๋าเสื้อและถ้าเจอปมเสื้อที่ไหนก็แกะและเก็บของที่อยู่ในนั้นเอาไว้ พอลูกสะใภ้คนเล็กไปซักก็ทำดังที่แม่กล่าวมา ทุกๆ ปมเสื้อและในกระเป๋านั้นมีเงินอยู่เต็มไปหมด พอกลับถึงที่บ้านลูกสะใภ้คนโตเห็นว่าลูกสะใภ้คนเล็กได้เงินมาจากในเสื้อผ้าของแม่ผัวที่เอาไปซัก วันรุ่งขึ้นลูกสะใภ้คนโตเลยรีบเร่งตื่นเช้าเก็บเสื้อผ้าแม่ไปซักแต่ก็ไม่เจออะไรเลย
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า อย่ารังเกียจคนที่เป็นบิดามารดา ไม่ว่าท่านจะอยู่ในสภาพไหน เราจะได้พรจากท่าน และลูกๆ หลานเราก็จะปฏิบัติกับเราเยี่ยงที่เราปฏิบัติต่อบิดามารดา (เวรกรรมมีจริง)
สำนวนสุภาษิต
ม้งมีสำนวนสุภาษิตในการสอนคนของตนเองเช่นเดียวกัน สุภาษิตมีทั้งที่เป็นสุภาษิตที่พูดถึงความสำคัญของพี่น้อง การเลือกคู่ครอง การปกครอง การปฏิบัติตนให้เป็นคนดีมีความซื่อสัตย์ ซึ่งโดยนัยแล้วสุภาษิตเหล่านี้ต้องการสื่อสารกับฝ่ายชายเป็นส่วนใหญ่ ผู้เขียนขอยกตัวอย่างสุภาษิตพร้อมคำแปลและคำอธิบายที่จะกล่าวถึงต่อไปนี้จาก ยุทธพงษ์ สืบศักดิ์วงศ์ (2546) ดังนี้
Tsis noj mov yuav tshaib plab, tsis yuav kwv yuav tij ces yuav tu dab
ไม่กินข้าวย่อมหิวข้าว ไม่เอาน้องเอาพี่ย่อมจะขาดผี
Tsis noj mov yuav tuag, tsis yuav kwv yuav tij ces yuav tu dab qhuas
ไม่กินข้าวจะตาย ไม่เอาน้องเอาพี่ย่อมจะขาดผีบรรพบุรุษ
จากภาษิตบทนี้แสดงให้เราเห็นความจำเป็นที่จะต้องมีการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างบ้าน ครอบครัวและผีบรรพบุรุษ (dad qhuas) ตามที่ความหมายจากการแปลบทสัมภาษณ์มีว่า “ ควรรักญาติพี่น้องเพราะจะทำให้เรามีความมั่นคงทั้งทางสังคมและทางจิตใจ หากว่าพี่น้องมีงานใดงานหนึ่งแล้วเราไม่ช่วยเหลือเลย เมื่อถึงทีเราเขาย่อมไม่มาช่วยเราด้วย เราย่อมสูญเสียความสัมพันธ์ทางสังคมและทางจิตวิญญาณ” ดังนั้นหากสถาบันครอบครัวพังพินาศก็เท่ากับว่าเสาหลักทางความคิดของม้งถูกโค่นลงเช่นกัน
เมื่อเป็นเช่นนี้ในการสร้างครอบครัวซึ่งเป็นหน่วยหนึ่งของสังคมจึงต้องระมัดระวังเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะฝ่ายชายที่จะต้องเป็นฝ่ายไปสู่ขอฝ่ายหญิงให้มาร่วมชีวิตอยู่กับสายตระกูลของตน โดยมีภาษิตเกี่ยวกับการคัดเลือกคู่ครองดังนี้
Noj txiv yuav saib noob, yuav poj niam saib caj hmoob
กินผลไม้พึงดูเมล็ด แต่งภรรยาดูสายตระกูล
Noj nqaij yuav saib txha, yuav poj niam saib neej tsa
กินเนื้อพึงดูกระดูก เอาภรรยาพึงดูญาติพี่น้องของเขา
ภาษิตนี้สอนว่า เมื่อเราคิดจะหาคู่ครองเราย่อมต้องเลือกดูว่าเชื้อสายของเขานั้นเป็นอย่างไร พ่อแม่ญาติพี่น้องเป็นอย่างไรบ้าง เนื่องเพราะว่าเมื่อเราแต่งงานกับเขา มาอยู่กินกัน ลูกหลานของเราย่อมมีลักษณะเหมือนฝ่ายเขาด้วยส่วนหนึ่ง หากเชื้อสายของเขาดีมีเชื้อเป็นผู้นำ ลูกหลานของเราย่อมมีส่วนหนึ่งที่มีลักษณะเป็นผู้นำเช่นนั้น แต่หากเชื้อสายของเขาเป็นพวกที่เกียจคร้านติดยา ตลอดชั่วอายุคนก็เป็นเช่นนั้นลูกหลานของเราที่เกิดมาก็จะเป็นเช่นนั้นด้วยส่วนหนึ่ง ท่านจึงกล่าวว่าเมื่อจะแต่งงานกับใครก็จะต้องดูเชื้อสายด้วย เมื่อเราแต่งเขามาแล้วเขาจึงเป็นภรรยาที่ดีของเราได้
Tau poj niam nquag, ua neej thiaj xws luag; tau poj niam zoo, ua neej thiaj nto moo
ได้ภรรยาขยันดำเนินชีวิตจึงเหมือนเขา ได้ภรรยาดีดำเนินชีวิตจึงมีชื่อเสียงโด่งดัง
ภาษิตนี้กล่าวถึงลักษณะของภรรยาที่ดี กล่าวคือ ภรรยาที่ดีย่อมเป็นผู้มีความคิด เป็นคนใจเย็นมีความรอบคอบ ขยันขันแข็งในการทำมาหากิน ไม่ดูถูกดูแคลนสามีของตนเอง ไม่แช่งด่าสามีตนเองให้ถึงความฉิบหาย เป็นผู้ตั้งใจทำงานไม่ปล่อยให้การงานคั่งค้างเป็นดังนี้จึงทำให้ชีวิตครอบครัวเจริญ และภาษิตที่ว่า
Hawm ntu thiaj tau ntuj ntoo, hawm niam hawm txiv thiaj tau zoo
เคารพฟ้า จึงจะมีฟ้าคุ้มครอง เคารพพ่อแม่ จึงจะได้ดี
Ntsib tsov ces yuav tuag, ntsib nomtswv ces yuav pluag
พบเสือหมายถึงตาย พบเจ้านายหมายถึงจะจน(ถูกรีดไถ)