-
ประวัติศาสตร์ของกลุ่มชาติพันธุ์
-
มิติประวัติศาสตร์ของกลุ่มชาติพันธุ์ :
ชาวเวียดนามในประเทศไทยเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ที่สืบเชื้อสายมาจาก “ชาวเหวียต” ซึ่งเดิมอาศัยอยู่บริเวณภาคใต้ลุ่มแม่น้ำแยงซีเกียงของจีนก่อนจะอพยพมายังอินโดจีน (เพ็ชรีสุมิตร, 2522)สอดคล้องกับการศึกษาของเจริญ ไชยชนะ (2515)ที่กล่าวว่า คนเวียดนามเป็นชนกลุ่มหนึ่งที่มีภูมิลำเนาเดิมอยู่ที่ลุ่มแม่น้ำแยงซีเกียงทางใต้ของจีนก่อนที่จะถูกรุกรานจากจีนและอพยพมาตั้งถิ่นฐานยังแหลมอินโดจีนบริเวณลุ่มแม่น้ำแดงทางฝั่งทะเลจีนเมื่อประมาณ พ.ศ. 800 อย่างไรก็ตาม พวกเวียดอาจเป็นหนึ่งในบรรพบุรุษของชาวเวียดนามแต่ก็มิใช่พวกเดียวซึ่งเกี่ยวข้องกับทั้งไทยและจีน และชาวเวียดนามเป็นส่วนผสมของกลุ่มชาติพันธุ์ในกลุ่มออสโตร – อินโดนีเซียนกับกลุ่มชาติพันธุ์ในภูมิภาคแห่งนี้ ซึ่งทฤษฎีการปะปนกันของบรรพบุรุษของชาวเวียดนามนี้ได้รับการสนับสนุนจากหลักฐานหลายประการ เช่น ภาษาเวียดนามเป็นส่วนผสมของภาษามอญ-เขมร (ภาษาอินโดนีเซียนมีระดับเสียงที่เสมอกันไปหมด) และภาษาไทย (ที่มีเสียงสูงต่ำ) และชาวเวียดนามยังเป็นกลุ่มคนที่เป็นผลจากการผสมของประชากรเผ่าอินโดนิเชียนกับชาวไทยในเวียดนามเหนือที่สืบเชื้อสายมาจากกลุ่มชาติพันธุ์ในภูมิภาคแห่งนี้ การใช้เครื่องหมายแสดงความเชื่อถือของชาวเวียดนามรุ่นแรก ๆ การสักตามตัว และการเคี้ยวหมากซึ่งเป็นวิถีธรรมดาของชาวเอเชียอาคเนย์เชื้อสายออสโตรเมลาโน-อินโดนีเชียน โดยเชื่อกันว่าเผ่าออสโตร- อินโดนีเชียน บางเผ่าเดินทางขึ้นเหนือไปยังมณฑลกวางสีและกวางตุ้งของจีนและไปผสมผสานกับบรรพบุรุษของพวกเวียด ซึ่งลักษณะสังคมเริ่มแรกและประเพณีหลายอย่างสืบทอดมาจากบรรพบุรุษ ก่อนที่จะรวมกันเป็นประชากรส่วนใหญ่ของประเทศที่มีการพูดภาษาและวัฒนธรรมเดียวกัน ประเทศเวียดนามเคยอยู่ภายใต้การปกครองของจีนเป็นระยะเวลานานถึงหนึ่งพันปี คือระหว่าง 111 ก่อนคริสต์ศักราชและถูกปกครองสืบต่อมาจนถึงประมาณปี ค.ศ. 939 (พ.ศ.1482) จีนจึงหมดอำนาจลง จากนั้นเวียดนามจึงเป็นอิสระจากการปกครองของจีน จนกระทั่งในปี ค.ศ.1883 (พ.ศ.2426) ที่ฝรั่งเศสเริ่มเข้ามาปกครองเวียดนามฝรั่งเศสแบ่งเวียดนามออกเป็นสามส่วนคือ โคจิจีน (ภาคใต้) อันหนำ (ภาคกลาง ) และตังเกี๋ย (ภาคเหนือ) อย่างไรก็ตาม ในระหว่างที่ตกเป็นอาณานิคมมีกลุ่มชาตินิยมของเวียดนามต่อสู้กับฝรั่งเศสอยู่เสมอทำให้เกิดการสูญเสียชีวิตเป็นจำนวนมาก รวมทั้งมีการอพยพของชาวเวียดนามไปยังประเทศใกล้เคียงเพื่อหนีภัยสงครามที่เกิดขึ้นภายในประเทศ (เพ็ชรีสุมิตร, 2522)
ชาวเวียดนามในสมัยอยุธยาและรัตนโกสินทร์จนถึงสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่สอง
การอพยพเข้ามายังประเทศไทยของชาวเวียดนามมีขึ้นหลายครั้ง และมีหลายสาเหตุไม่ว่าจะเป็นจากการถูกกดขี่หรือถูกกดดันทางศาสนา หรือความยากจน การถูกกวาดต้อนเป็นเชลย การค้า การหนีการต่อสู้ภายในกับฝรั่งเศส การเข้ามาเพื่อตั้งฐานเคลื่อนไหวของชาวเวียดนามรักชาติหรือกู้ชาติเพื่อต่อต้านฝรั่งเศส ในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 และต้นศตวรรษที่ 20 โดยเฉพาะอย่างยิ่งการหนีการปราบปรามของฝรั่งเศสจากฝั่งลาว ทั้งก่อนและหลังสงครามโลกครั้งที่สองสิ้นสุดลง จากหลักฐานทางประวัติศาสตร์ไม่ปรากฏแน่ชัดว่าชาวเวียดนามอพยพเข้ามาในประเทศไทยตั้งแต่เมื่อใด โดยในช่วงก่อนสมัยกรุงศรีอยุธยาจากข้อมูลในพงศาวดารเก่าแก่ของเวียดนามสมัยราชวงศ์เหงวียนเคยกล่าวถึงการติดต่อค้าขายกันทางทะเลระหว่างชาวเหวียตโบราณกับชนชาติ “เตียมลา” (Tiem La) หรือ “ซิกเดี๋ยว” (Xich Dieu) ที่อาศัยอยู่ในดินแดนที่เรียกว่า “สุวรรณภูมิ” นอกจากนี้ ยังพบว่ามีข้อมูลเกี่ยวกับการสู้รบกันระหว่างสองชนชาตินับแต่ดินแดนดังกล่าวเมื่อนานมาแล้ว หากแต่พบหลักฐานที่ชัดเจนว่าชาวเวียดนามเข้ามายังประเทศไทยในสมัยกรุงศรีอยุธยา ซึ่งปรากฏให้เห็นว่ามีชุมชนชาวเวียดนามตั้งหลักแหล่งอยู่ท่ามกลางหมู่บ้านหรือค่ายชาวต่างชาติรอบนอกกรุงศรีอยุธยา ชาวเวียดนามกลุ่มแรกที่ปรากฏในหลักฐานทางประวัติศาสตร์เดินทางมาจากประเทศเวียดนามตอนใต้โดยการเดินเรือผ่านทางทะเล (ธัญญาทิพย์ ศรีพนา และ Trinh Dieu Thin, 2548)
สำหรับการอพยพเข้ามายังประเทศไทยในสมัยอยุธยานั้นมีสาเหตุสำคัญจากการค้าและการถูกกดดันหรือการปราบปรามผู้นับถือศาสนาคริสต์ ซึ่งตรงกับสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราชแห่งกรุงศรีอยุธยา จากหลักฐานทางประวัติศาสตร์การคงอยู่ของชุมชนหรือหมู่บ้านหรือค่ายของชาวเวียดนามตั้งอยู่ท่ามกลางชุมชนหรือค่ายของชาวต่างชาติอื่น ๆ ที่ตั้งอยู่ในอาณาเขตของกรุงศรีอยุธยา เช่น หมู่บ้านของชาวจีนโปรตุเกส มลายู ญี่ปุ่น ฮอลันดา เป็นต้น สำหรับชาวเวียดนามกลุ่มดังกล่าวอพยพเข้ามาทางทะเล ภาษาฝรั่งเศสเรียกชาวเวียดนามเหล่านี้ว่า “ชาวโคแชงชีน” ภาษาอังกฤษเรียก “ชาวโคชินไชนา” ซึ่งหมายถึง ชาวเวียดนามทางใต้ และหมู่บ้านนี้ถูกเรียกว่า “ค่ายหรือหมู่บ้านโคแชงชีน” ชาวโคแชงชีนนี้เป็นชาวคริสต์ ทำเกษตรกรรมและงานหัตถกรรม สำหรับสาเหตุการย้ายถิ่นนี้ มาจากความขัดแย้งรุนแรงระหว่างขุนนางตระกูลจิ่งห์ หรือ ตริ่นห์ และเหงียน และประการสำคัญคือ การถูกข่มเหงจากการนับถือศาสนาคริสต์ทำให้เกิดการอพยพออกนอกประเทศ อย่างไรก็ตาม หลังจากสมัยสมเด็จพระนารายณ์ตลอดรัชสมัยราชวงศ์บ้านพลูหลวง นับตั้งแต่สมัยสมเด็จพระเพทราชา (พ.ศ.2241-2251) ชาวเวียดนามที่เป็นคริสต์ลดน้อยลงเนื่องจากความชิงชังและการข่มเหงรังแกอย่างรุนแรงจากราชสำนักด้วยเกรงว่าชาวตะวันตกจะเป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคงของราชสำนักอยุธยา และด้วยความใกล้ชิดที่มีต่อบาทหลวงชาวตะวันตกจึงถูกทางการหวาดระแวงและถูกคุกคามไปด้วย (ผุสดี จันทวิมล, 2541 อ้างถึงใน ธัญญาทิพย์ ศรีพนา และ Trinh Dieu Thin, 2548)
ในสมัยกรุงธนบุรี หรือในช่วงกลางศตวรรษที่ 18 (พ.ศ.2310-2325) มีการอพยพหนีภัยการสู้รบชิงอำนาจของกลุ่มไตเซิน จากเมืองบันทายมาศ หรือ ห่าเตียน ซึ่งอยู่ทางภาคใต้ของเวียดนามในปัจจุบัน จากเหตุการณ์ดังกล่าวมีน้องชายเจ้าเมืองเว้นามว่า “เหงวียนเฟื้อกซวน” หรือ องเชียงซุน เป็นแกนนำอพยพพร้อมด้วยผู้ติดตามจำนวนหนึ่งเข้ามาพึ่งพระบรมโพธิสมภารของพระเจ้ากรุงธนบุรีในราว พ.ศ.2319 แต่ต่อมากลับถูกจับประหารชีวิตเนื่องจากต้องการหนีกลับเวียดนาม ขณะเดียวกันผู้ติดตามที่มาด้วยพร้อมกันนั้นบางส่วนถูกเนรเทศให้ออกไปอยู่นอกเขตพระนคร ต่อมาเมื่อพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชเสด็จปราบดาภิเษกขึ้นเป็นกษัตริย์แห่งกรุงรัตนโกสินทร์จึงทรงให้ชาวเวียดนามกลุ่มดังกล่าวกลับมาตั้งบ้านเรือนอาศัยอยู่ในกรุงเทพ ฯ ดังเดิม พร้อมทั้งพระราชทานเงินทอง อาหาร และเสื้อผ้า และให้ตั้งบ้านเรือนในเขตเดิมที่เคยอาศัยอยู่เมื่อครั้งแผ่นดินกรุงธนบุรี ซึ่งก็คือ หนองระโหน ตำบลบ้านหม้อ หรือถนนพาหุรัดในปัจจุบัน และอีกที่หนึ่งคือตำบลบางโพ (ธัญญาทิพย์ ศรีพนา และ Trinh Dieu Thin, 2548)
ต่อมา พ.ศ.2325 ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกได้มีชาวเวียดนามอีกกลุ่มหนึ่งอพยพเข้ามาขอพึ่งพระบรมโพธิสมภาร คือ “เหงวียนฟุกแอ๋งห์” หรือ องเชียงสือ ซึ่งเป็นเจ้าเมืองไซ่ง่อน และเป็นหลานชายของเหงวียน เฟื้อก ซวน พร้อมผู้ติดตาม ได้หนีกบฏไต เซิน เข้ามาในสยาม มาพำนักที่เกาะกระบือ ต่อมาอีกหนึ่งปีได้ถูกนำตัวเข้าเฝ้าพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก โดยทรงมีพระเมตตาให้ตั้งบ้านเรือนอยู่ที่บ้านต้นสำโรง ตำบลคอกกระบือ ปัจจุบันอยู่บริเวณริมฝั่งตะวันออกของแม่น้ำเจ้าพระยา ปากคลองผดุงกรุงเกษม และพระราชทานเงินเบี้ยหวัดให้ปีละ 5 ชั่ง เครื่องยศถาดหมาก คนโฑทอง กลดคันส้ม กระบี่บั้งทอง รวมทั้งชาวเวียดนามที่ติดตามมาก็ได้รับเบี้ยหวัดเช่นกันหากเป็นข้าราชการ และอนุญาตให้สามารถทำการประมงได้อย่างสะดวก เหงวียนฟุกแอ๋งห์ อยู่ในกรุงเทพ ฯ เป็นเวลา 4 ปี ก่อนจะแอบหนีออกไปทำสงครามกู้บ้านเมืองของตน ซึ่งต่อมาได้รับชัยชนะและสถาปนาตนเองเป็นจักรพรรดิญา ลอง ที่เมืองเว้ ใน พ.ศ.2345 สิ่งสำคัญที่ชาวเวียดนามอพยพกลุ่มนี้ได้นำติดตัวมาด้วย คือ พุทธศาสนาแบบมหายาน (ปัจจุบันแพร่หลายในเวียดนามใต้) จึงได้เกิดพุทธศาสนาอนัมนิกายขึ้น (เฉพาะกลุ่มชาวเวียดนาม) และยังคงดำรงอยู่จนถึงทุกวันนี้ ในปัจจุบันชาวเวียดนามกลุ่มนี้ได้กลมกลืนเข้ากับสังคมไทยและลูกหลานได้อาศัยอยู่ที่ชุมชนนางเลิ้งและสะพานขาวในกรุงเทพ ฯ บางส่วนที่นับถือศาสนาคริสต์แยกไปอยู่ที่สามเสนริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา ชาวเวียดนามกลุ่มนี้เป็นผู้ช่วยบาทหลวงฝรั่งเศสสร้างโบสถ์หลายแห่งจนเกิดศึกแย่งชิงกันระหว่างชาวเวียดนามพุทธและคริสต์ในช่วงสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งเป็นระยะเวลาที่มีคนเวียดนามมาจากตั๋งเกี๋ยทางบก และอยู่เกาะกลุ่มเป็นหมู่บ้านต่างหากในบริเวณเดียวกัน ทำให้บ้านญวนสามเสนเป็นหมู่บ้านเวียดนามที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทยในสมัยนั้น อย่างไรก็ตาม พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกโปรดให้ชาวเวียดนามที่บางโพดูแลกันเอง และเรียกว่า “ญวนบางโพธิ์” ต่อมาย้ายไปที่สามเสนและเรียกว่า “หมู่บ้านญาลอง” เพื่อเป็นการรำลึกถึงจักรพรรดิซาลอง หรือ ญาลอง ผู้ที่นำชาวเวียดนามกลุ่มนี้เข้ามาและเชื่อว่ามีส่วนช่วยพัฒนาและสร้างกรุงเทพฯ เนื่องจากเป็นช่วงที่ต้องการกำลังแรงงานในการทำงานอีกทั้งชาวเวียดนามเป็นแรงงานที่มีทักษะและความเชี่ยวชาญหลายด้านจึงเป็นกำลังสำคัญ ปัจจุบันลูกหลานของพวกเขาอาศัยอยู่ที่บ้านญวน สามเสน และโบสถ์กาลหว่าร์ (วัดแม่พระลูกประคำ) เขตเขตสัมพันธวงศ์ กรุงเทพ ฯ แม้จะเป็นคนไทย แต่ชาวเวียดนามเหล่านี้ก็ไม่ได้ถูกดูดกลืนเข้าสู่สังคมไทย เนื่องจาก ความแตกต่างกันทางศาสนา ชาวเวียดนามส่วนใหญ่ผันตัวเองเป็นครูสอนที่โรงเรียนเซนต์ คาเบรียล (St. Gabriel's College) โรงเรียนมัธยมที่ดำเนินการโดยพระสงฆ์ชาวฝรั่งเศสแห่งคณะภราดาชาวคริสต์ และในช่วงปัญหาชายแดนจากกรณีพิพาทอินโดจีน พ.ศ. 2483 มีครูจำนวนหนึ่งถูกกล่าวหาว่าเป็นสายลับให้กับรัฐบาลฝรั่งเศส (Varophas, 1966; ธัญญาทิพย์ ศรีพนา และ Trinh Dieu Thin, 2548)
ช่วงรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว (พ.ศ.2367-2394) การอพยพเข้ามาของชาวเวียดนามเริ่มลดน้อยลงอันเนื่องมาจากการลงนามในสัญญาสามฝ่ายคือ ไทย เวียดนาม และกัมพูชา ในวันที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ.2389 การเข้ามาในช่วงนี้ส่วนใหญ่มาในรูปแบบของเชลย โดยแม่ทัพไทยในกัมพูชาได้กวาดต้อนชาวเวียดนามที่นับถือศาสนาคริสต์เข้ามาเป็นเชลยศึกประมาณ 300 คน และเพิ่มอีก 200 คนใน พ.ศ.2383 การกวาดต้อนเชลยชาวเวียดนามเกิดจากเหตุผลที่ต้องการชดเชยกำลังคนที่ขาดแคลนไปจากภาวะสงคราม และเพื่อนำไปเป็นรางวัลให้แก่ขุนนาง ต่อมาในสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (พ.ศ.2394-2411) มีชาวเวียดนามอพยพเข้ามาในเขตภาคอีสาน อันเนื่องมาจากเหตุผลความยากจน การปรามปรามทางศาสนา ขณะเดียวกันที่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงต้องการขยายและพัฒนาพื้นที่อีสาน นโยบายดังกล่าวจึงเป็นประโยชน์ต่อชาวเวียดนามอพยพกลุ่มนี้อย่างมาก ชาวเวียดนามที่อพยพมาช่วงเวลาดังกล่าวมาจากภาคกลาง มีพื้นเพเป็นชาวนา ประสบกับความยากลำบากจากปัญหาการเกษตร ได้เริ่มอพยพเข้ามายังสยามผ่านทางบก ข้ามภูเขาเจื่อง เซิน ที่กั้นระหว่างเวียดนามและลาวเข้ามาตั้งถิ่นฐานภูมิลำเนาในอีสาน โดยตั้งหลักแหล่งตามหมู่บ้านริมแม่น้ำโขง ถือว่าเป็นกลุ่มแรกที่เข้ามายังภาคอีสาน ที่สำคัญยังได้รับอนุญาตให้ตั้งบ้านเรือนตามความสมัครใจและสามารถเข้าประเทศมาได้โดยสะดวก ขณะเดียวกัน ยังมีชาวเวียดนามที่นับถือศาสนาคริสต์ที่หนีการปรามปรามทางศาสนาของกษัตริย์ตึ ดึ๊ก แห่งราชวงศ์เหงวียน ได้อพยพเข้ามาในช่วงเวลาเดียวกันจำนวนกว่า 4,000 คน กลุ่มนี้ตั้งบ้านเรือนอยู่ที่อำเภอท่าแร่ จังหวัดสกลนคร และยังคงดำรงอยู่มาจนถึงปัจจุบัน ชาวเวียดนามที่เข้ามายังประเทศไทยช่วงเวลานี้ส่วนใหญ่เป็นชาวคริสต์ แม้จะอยู่แยกตัวออกจากสังคมชาวพุทธ แต่กลับสามารถใช้ชีวิตร่วมกันได้โดยไม่พบความขัดแย้ง มีการแต่งงานข้ามศาสนา ซึ่งโดยปกติในเวียดนามจะไม่มีการแต่งงานข้ามศาสนาเช่นนี้เกิดขึ้น (ธัญญาทิพย์ ศรีพนา และ Trinh Dieu Thin, 2548)
ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า (พ.ศ.2412-2453) เป็นช่วงที่ฝรั่งเศสสามารถยึดครองเวียดนามได้แล้ว และได้มีนโยบายการปกครองแบบขูดรีด กดขี่ประชาชน โดยเฉพาะชาวนา เนื่องจาก ถูกกดขี่จากหลายระดับนับแต่ชนชั้นศักดินา เจ้าของที่ดินและจากเจ้าอาณานิคมอย่างฝรั่งเศส ทำให้ชาวนาเหล่านี้ต้องหนีออกจากเวียดนามเพื่อหาโอกาสในชีวิตใหม่ นอกจากนี้ ประชาชนทั่วไปก็ยังพยายามหนีการกดขี่ และความขัดสนอัตคัดเช่นกัน ชาวเวียดนามเหล่านี้เลือกเดินทางข้ามภูเขาเจื่องเซิน มายังประเทศลาวและมุ่งหน้ามายังแม่น้ำโขงและข้ามเข้ามายังสยาม นอกจากกลุ่มชาวนาและประชาชนทั่วไปแล้ว ยังมีชาวเวียดนามที่เป็นกลุ่มรักชาติและต่อต้านการปกครองของฝรั่งเศสหลบหนีเข้ามายังประเทศลาวซึ่งเป็นดินแดนของฝรั่งเศสด้วย และมีบางส่วนอพยพเข้ามาในสยามเพื่อสร้างฐานหรือขบวนการต่อสู้กับฝรั่งเศสในเวลานั้นด้วย ขณะเดียวกัน สยามได้มีนโยบายพัฒนาไปสู่ความทันสมัยส่งผลให้มีความต้องการแรงงานสูง การเข้ามาของชาวเวียดนามจึงเป็นที่ต้องการจากราชสำนักสยามในขณะนั้น ถึงขนาดที่มีพระราชดำรัสตรัสว่าชาวญวนผู้ซึ่งหนีร้อนมาพึ่งเย็น ให้เก็บค่าส่วยยิ่งน้อยยิ่งดี พอที่ให้เขารู้สึกว่าเป็นไพร่ฟ้าข้าแผ่นดินของเรา จากนโยบายภายใต้กรอบการปฏิรูปประเทศในรัชสมัยพระองค์ส่งผลให้ชาวเวียดนามในประเทศไทยในขณะนั้น ซึ่งส่วนใหญ่ตั้งถิ่นฐานอยู่ในภาคอีสานมีโอกาสทำกินสะดวก และยังเป็นเหตุผลสำคัญที่ดำดูดชาวเวียดนามให้เข้ามายังอีสานเพิ่มมากขึ้น กอรปกับใน พ.ศ.2436 สยามได้ลงนามในสนธิสัญญากับฝรั่งเศส ซึ่งระบุว่าสยามต้องเสียดินแดนฝั่งซ้ายแม่น้ำโขงให้แก่ฝรั่งเศส และยังกำหนดให้ประชาชนที่อาศัยอยู่ในบริเวณพื้นที่ 25 กิโลเมตร นับจากแม่น้ำโขงสามารถติดต่อทำการค้าได้อย่างเสรี กลายเป็นเงื่อนไขอีกหนึ่งประการที่ทำให้ชาวเวียดนามที่อาศัยอยู่ในประเทศลาวเดินทางไปมาค้าขายมากขึ้น และต่อมาเกิดความคุ้นเคยจนทำให้ต้องการตั้งถิ่นฐานถาวรในดินแดนภาคอีสาน ทำให้ชาวเวียดนามจากฝั่งลาวที่เข้ามาในเวลานั้นเป็นกลุ่มที่ทำอาชีพค้าขายกลุ่มแรก ๆ ที่เดินทางเข้ามาตั้งถิ่นฐานในภาคอีสาน และต่อมาได้มีบทบาทในการพัฒนาเศรษฐกิจท้องถิ่น โดยเฉพาะในจังหวัดหนองคาย สกลนคร และนครพนม (ธัญญาทิพย์ ศรีพนา และ Trinh Dieu Thin, 2548)
หลังสงครามโลกครั้งที่สอง นับได้ว่าเป็นช่วงที่มีชาวเวียดนามเดินทางอพยพเข้ามาในประเทศไทยจำนวนมาก โดยหนีการสู้รบและปราบปรามของฝรั่งเศสมาจากฝั่งลาวในเดือนมีนาคม พ.ศ.2489 จำนวนทั้งสิ้น 46,700 คน และอาจมีมากถึง 50,000 คนจากบางแหล่งข้อมูล สาเหตุสำคัญที่ทำให้ชาวเวียดนามกลุ่มนี้ต้องอพยพเข้ามาในประเทศไทยเป็นเพราะว่าการกลับเข้ามามีอำนาจอีกครั้งของฝรั่งเศสเหนือดินแดนอินโดจีน ภายหลังการสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง และฝรั่งเศสได้พยายามที่จะยึดพื้นที่ต่าง ๆ คืนและได้ใช้ความพยายามถึง 8 เดือนในการยึดท่าแขก ซึ่งอยู่ในแขวงคำม่วน ตรงข้ามกับจังหวัดนครพนม) จนกระทั่งสามารถยึดได้ในวัน 21 มีนาคม พ.ศ.2489 เหตุการณ์ดังกล่าวเรียกว่า “วันท่าแขกแตก” ซึ่งฝรั่งเศสได้ปรามปรามทหารและพลเรือนชาวเวีดนามและชาวลาว นอกจากนี้ ยังมีเมืองก่อนหน้านี้ที่ถูกฝรั่งเศสตีแตกและเข้ายึดเมืองเช่นกัน ได้แก่ สะหวันนะเขต (15 มีนาคม พ.ศ.2489) และตามมาด้วยเวียงจันทน์ต่อจากท่าแขก (25 เมษายน พ.ศ.2489) ชาวเวียดนามได้หนีการสู้รบข้ามแม่น้ำโขงเข้ามายังฝั่งไทยตามพื้นที่ต่าง ๆ ได้แก จังหวัดนครพนม อำเภอศรีเชียงใหม่ จังหวัดหนองคาย อำเภอเชียงแสน จังหวัดนครพนม จังหวัดมุกดาหาร และอุบลราชธานี (ธัญญาทิพย์ ศรีพนา และ Trinh Dieu Thin, 2548)
ชาวเวียดนามในไทยสมัยรัฐบาลของปรีดี พนมยงค์: “ช่วงเวลาแห่งมหามิตรชิดใกล้”
ก่อนเหตุการณ์วันท่าแขกแตก ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนมในขณะนั้นซึ่งเป็นสมาชิกเสรีไทยได้รับการร้องขอความช่วยเหลือจากนายพลสิงกะโปผู้มีส่วนในการกู้ชาติลาว ให้ช่วยเหลือชาวเวียดนามที่อพยพเข้ามาในประเทศไทย จึงได้มีการจัดที่พักชั่วคราวตามสถานที่ต่าง ๆ เอาไว้รองรับ นอกจากนี้ยังมีชาวเวียดนามบางส่วนอพยพเข้ามาอาศัยอยู่ตามใต้ถุนบ้านของทั้งชาวไทยและชาวเวียดนามรุ่นเก่าที่อพยพมาตั้งแต่สมัยรัตนโกสินทร์ เช่น บ้านหนองแสง ข้างวัดศรีเทพ ชุมชนบ้านใหม่หรือบ้านนาจอก บ้านต้นผึ้ง บ้านดอนโมง ต่อมาได้ทำการสร้างบ้านเรือน หรือกระต๊อบอยู่ร่วมกันในกลุ่มชาวเวียดนามไม่ไกลจากเมืองนครพนม บางส่วนอยู่ปะปนกับชาวเวียดนามรุ่นเก่า และมีบางคนเดินทางไปต่างอำเภอ เช่น เรณูนคร ธาตุพนม ท่าอุเทน เป็นต้น และต่อมาได้กระจายตัวออกไปตามจังหวัดต่าง ๆ เช่น สกลนคร อุดรธานี อุบลราชธานี และอีกหลายจังหวัดเพื่อหาทางทำมาหากิน
ชาวเวียดนามขณะนั้นมีสภาพชีวิตที่ลำบากยากเข็ญ หลายคนต้องหาบของขายต่างหมู่บ้าน ต่างอำเภอ หรือแม่แต่ระหว่างจังหวัด ชาวเวียดนามกลุ่มที่อพยพมาในวันท่าแขกแตกส่วนใหญ่ไม่มีทรัพย์สินติดตัวมาจากฝั่งลาว ต้องทิ้งบ้านเรือนเอาไว้ บางคนกลับไปก็ถูกทหารฝรั่งเศสสังหาร รัฐบาลไทยในขณะนั้น มีความเห็นอกเห็นใจชาวเวียดนามที่อพยพเข้ามาอย่างมาก โดยให้การช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมทั้งที่อยู่อาศัย อาหารและยา ที่ดินทำกิน อีกทั้งยังจัดหางานให้เพื่อเป็นการสร้างรายได้ โดยมีนายเตียง ศิริขันธ์ เป็นแกนนำหลักในการให้ความช่วยเหลือชาวเวียดนามในอีสานในเวลานั้น นอกจากนี้ รัฐบาลยังให้ความช่วยเหลือต่อขบวนการกู้ชาติในอินโดจีน กล่าวคือ มีนโยบายต่างประเทศว่าด้วยการอยู่ร่วมกันกับประเทศเพื่อบ้านอย่างสันติ และสนับสนุนการต่อสู้เพื่อเอกราชของประเทศเพื่อนบ้านและประเทศในเอเชียที่เป็นอาณานิคม โดยเน้นไปที่การให้แหล่งพักพิงเพื่อลี้ภัยในพื้นที่ภาคอีสานและอนุญาตให้ถืออาวุธเพื่อป้องกันการรุกรานของกองกำลังฝรั่งเศสจากฝั่งลาวได้ รวมถึงการอนุญาตให้เวียดนามตั้งสำนักงานผู้แทนรัฐบาลสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนเวียดนามในไทยด้วย อย่างไรก็ตาม ท่าทีอันเป็นมิตรของรัฐบาลไทยรวมถึงความช่วยเหลือต่าง ๆ ได้เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิงหลังการรัฐประหารโดยพลโทผิน ชุณหะวัณ ใน พ.ศ.2490 (Varophas, 1966; ธัญญาทิพย์ ศรีพนา และ Trinh Dieu Thin, 2548)
ชาวเวียดนามในไทยภายหลังการรัฐประหาร พ.ศ.2490: “ห้วงเวลาแห่งความหวาดระแวงและมืดมน”
ชาวเวียดนามในช่วงเวลานี้อยู่ภายใต้สถานการณ์การถูกจับตาจากรัฐ อันเนื่องมาจากบริบททางการเมืองในภูมิภาคที่เกิดความหวาดกลัวการแพร่ขยายของลัทธิคอมมิวนิสต์ เนื่องจาก ชัยชนะของเหมา เจ๋อ ตุง ที่มีต่อเจียง ไค เช็ค รวมทั้งอิทธิพลของสหภาพโซเวียตที่แผ่ขยายไปยังยุโรปตะวันออกและประเทศต่าง ๆ ในภูมิภาคอื่นทั่วโลก เมื่อรัฐบาลปรีดี หมดอำนาจลงจากการโดนรัฐประหารได้มีการจัดตั้งรัฐบาลภายใต้การนำของพรรคประชาธิปัตย์ และหลังมีการจัดการเลือกตั้งจึงได้จอมพล ป. พิบูลย์สงครามขึ้นมาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในเดือนเมษายน พ.ศ.2491 การขึ้นมามีอำนาจของจอมพล ป. พิบูลสงครามได้ส่งผลต่อการปรับเปลี่ยนนโยบายที่มีต่อชาวเวียดนามอพยพในประเทศไทยแบบพลิกผามือ เป็นการแทนที่ความช่วยเหลือที่เคยได้รับจากรัฐบาลปรีดีด้วยนโยบายเป็นปฏิปักษ์กับลัทธิคอมมิวนิสต์ทำให้ชาวเวียดนามในประเทศไทยต้องอยู่ภายใต้มาตรการควบคุมอย่างเข้มงวดจากรัฐบาล ถือเป็นการสิ้นสุดลงของเสรีภาพ ความเห็นอกเห็นใจ และความช่วยเหลือจากรัฐบาลไทย (ธัญญาทิพย์ ศรีพนา และ Trinh Dieu Thin, 2548)
จอมพล ป. พิบูลสงครามเริ่มต้นนโยบายอันเข้มงวดด้วยการตรวจค้นบ้านพักของคณะผู้แทนรัฐบาลสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนเวียดนามในกรุงเทพ ฯ การยึดอาวุธ การยกเลิกการปฏิบัติงานของคณะผู้แทนดังกล่าว การสั่งให้ยุบสมาคมเหวียตเกี่ยวกู้ชาติ ในไทยใน พ.ศ.2495 การกำหนดเขตบ้านพักอาศัยใน 5 จังหวัด การจำกัดอาชีพ หรือห้ามชาวเวียดนามประกอบอาชีพ 9 สาขา และเคลื่อนย้ายชาวเวียดนามจากจังหวัดในภาคอีสานไปยังจังหวัดที่ห่างไกลออกไป (ร้อยเอ็ดและกาฬสินธุ์ใน พ.ศ.2496 ตามด้วยพัทลุงและสุราษฎร์ธานีใน พ.ศ.2497) เนื่องจากกลัวว่าจะมีการติดต่อกับกลุ่มเวียดนามคอมมิวนิสต์นอกประเทศได้สะดวก จับกุมชาวเวียดนามด้วยข้อหาคอมมิวนิสต์ และความพยายามที่จะส่งตัวกลับไปยังเวียดนามใต้ อย่างไรก็ตาม ในเดือนพฤษภาคม พ.ศ.2497 ผู้แทนรัฐบาลเวียดนามใต้ได้เดินทางมายังกรุงเทพ ฯ ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นการเจรจาเรื่องความเป็นไปได้ของการส่งตัวผู้อพยพชาวเวียดนามกลับคืนมาตุภูมิ โดยที่รัฐบาลไทยได้เรียกร้องต่อรัฐบาลเวียดนามใต้ให้รับเอาผู้อพยพชาวเวียดนามที่มีอยู่ในประเทศไทยกว่า 47,000 คนกลับไปยังประเทศเวียดนาม ในการเจรจาครั้งนั้น ผู้แทนจากรัฐบาลสหรัฐ ฯ แสดงท่าทีเห็นด้วยกับข้อเสนอดังกล่าวจากรัฐบาลไทย พร้อมทั้งรับปากว่าจะช่วยในการขนส่งชาวเวียดนามอพยพกลุ่มดังกล่าวกลับไปยังเวียดนามด้วย แต่ข้อเสนอดังกล่าวกลับถูกปฏิเสธจากผู้แทนจากรัฐบาลเวียดนามใต้ โดยให้ความเห็นว่ารัฐบาลเวียดนามใต้จะรับเอาเฉพาะผู้อพยพชาวเวียดนามที่ต้องการเดินทางกลับไปยังเวียดนามใต้เท่านั้น หลังจากที่การเจรจาจบลงก็ไม่ได้ยินเสียงตอบรับใด ๆ จากรัฐบาลเวียดนามใต้ (Varophas, 1966; ธัญญาทิพย์ ศรีพนา และ Trinh Dieu Thin, 2548) จนกระทั่ง ชาวเวียดนามอพยพส่วนใหญ่รู้ตัวว่าพวกเขาเองต้องการที่จะเดินทางกลับไปยังเวียดนามเหนือมากกว่าเวียดนามใต้ หากแต่รัฐบาลไทยกลับไม่ได้มีความสัมพันธ์ทางการทูตกับรัฐบาลเวียดนามเหนือ ต่อมาจึงได้สอบถามไปยังสภากาชาดไทยเพื่อติดต่อไปยังสภากาชาดสากลเพื่อติดต่อไปยังรัฐบาลเวียดนามเหนือ อย่างไรก็ตาม ไม่ถึงช่วงกลาง พ.ศ.2501 ทางสภากาชาดเวียดนามเหนือก็ตัดสินใจส่งผู้แทนของตนมาประชุมร่วมกับผู้แทนจากสภากาชาดไทยที่กรุงย่างกุ้ง ประเทศเมียนมา หลังจากการเจรจาใกล้จะครบสองเดือน สภากาชาดเวียดนามเหนือตกลงที่จะรับเอาชาวเวียดนามอพยพทั้งหมดที่ต้องการกลับคืนไปยังเวียดนามเหนือกลับไปทั้งหมด โดยที่ชาวเวียดนามอพยพกลุ่มแรกเดินทางออกจากประเทศไทยในเดือนมกราคม พ.ศ.2503 และการส่งตัวผู้อพยพชาวเวียดนามดังกล่าวนี้เกิดขึ้นเดือนละครั้ง จนกระทั่ง เกิดเหตุการณ์ที่สหรัฐ ฯ ทิ้งระเบิดในเวียดนามเหนือขึ้น ทำให้สภากาชาดเวียดนามเหนือปฏิเสธที่จะรับเอาชาวเวียดนามอพยพที่เหลือค้างอยู่ในประเทศไทยกว่า 30,000 คนเข้าประเทศอีกต่อไป (Varophas, 1966)
ความเข้มงวดดังกล่าวได้ทวีความรุนแรงมากขึ้นหลังการยึดอำนาจของจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชติ์ ใน พ.ศ.2502 เรื่อยมาจนกระทั่งถึงสมัยของพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ โดยได้เพิ่มขีดจำกัดในการประกอบอาชีพสำหรับชาวเวียดนามจากแต่เดิมเป็น 25 อาชีพ และยังบังคับให้ชาวเวียดนามที่ประกอบอาชีพต้องเสียภาษี 1,000 บาทต่อปี ส่วนใครที่มีร้านค้าก็จะต้องเสียภาษีพาณิชย์เพิ่มอีกหัวละ 500 บาทต่อปี การออกนโยบายเช่นนี้ยังได้เปิดโอกาสให้เจ้าหน้าที่รัฐหาประโยชน์จากชาวเวียดนามได้ง่ายมากขึ้นกว่าเมื่อก่อน การกำหนดเขตอาศัยที่น้อยลงเรื่อย ๆ จนเหลือเพียง 8 จังหวัดจากแต่เดิม 12 จังหวัด (ธัญญาทิพย์ ศรีพนา และ Trinh Dieu Thin, 2548)
ชาวเวียดนามในไทยทศวรรษ 2520 เป็นต้นมา: “ยุคผ่อนคลายและการแสดงตัวตนคนเหวียต”
อาจกล่าวได้ว่านับตั้งแต่ปลายทศวรรษที่ 2520 สถานการณ์ในภูมิภาคและระดับโลกได้คลี่คลายไปในทิศทางที่ดีขึ้น นำไปสู่การปรับทัศนคติและพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างกันมากขึ้น นโยบายของรัฐบาลไทยหลังสิ้นสุดสมัยรัฐบาลของพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ โดยเริ่มต้นในรัฐบาลของพลเอกชาติชาย ชุณหะวัณได้มีลักษณะผ่อนปรนต่อการใช้ชีวิตของชาวเวียดนามมากขึ้นหากเทียบกับรัฐบาลในอดีต อันเนื่องมากจาก การสิ้นสุดสงครามเย็นและการล่มสลายของลัทธิคอมมิวนิสต์ที่นำโดยสหภาพโซเวียต ขณะที่เวียดนามเองได้ดำเนินนโยบายเปิดประเทศ ปรับความสัมพันธ์กับนานาประเทศ รวมทั้งรัฐบาลได้ตระหนักแล้วว่าชาวเวียดนามที่อาศัยอยู่ในประเทศไทยคงจะอยู่ในประเทศไทยต่อไป จึงเห็นถึงความจำเป็นในการผสมผสานคนเหล่านี้เข้ากับสังคมไทย ดังนั้น จึงมีแนวนโยบายแก้ไขปัญหาชาวเวียดนามอพยพด้วยการให้สัญชาติไทยและสถานะคนต่างด้าวเข้าเมืองโดยชอบด้วยกฎหมายในเวลาต่อมา โดยในวันที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ.2533 รัฐบาลมีดำริว่าบุตรหลานชาวเวียดนามที่เกิดในราชอาณาจักรจะได้รับสัญชาติไทย ตามมติคณะรัฐมนตรี ซึ่งมีสาระสำคัญดังนี้ ชาวเวียดนามอพยพชั้นบุตร ลูกครึ่ง และชั้นหลานที่เกิดในไทยให้ได้รับสัญชาติไทยตามกระบวนการราชการ แม้ว่าปัญหาชาวเวียดนามจะถูกหยิบยกขึ้นมาครั้งแรกในสมัยรัฐบาลของพลเอกชาติชาย ชุณหวัณ แต่การแก้ปัญหาอย่างเป็นรูปธรรมและการเร่งรัดขั้นตอนได้มีขึ้นในการบริหารราชการแผ่นดินสมัยรัฐบาลอานันท์ ปัญยารชุน เป็นต้นมา กอรปกับรัฐบาลพลเอกชาติชายได้ถูกรัฐประหารไปก่อน
จากที่ได้อธิบายพัฒนาการทางประวัติศาสตร์ข้างต้น จึงสรุปได้ว่า เราอาจแบ่งชาวเวียดนามอพยพออกได้เป็น5 กลุ่ม ตามนิยามของสมจิต สุดสงวน (2542)ได้ดังนี้
“ญวนเก่า” หมายถึง ชาวเวียดนามที่เข้ามาในประเทศไทยก่อน พ.ศ. 2474 ซึ่งยังไม่มีพระราชบัญญัติคนเข้าเมืองฉบับที่ 1 บังคับ ชั้นบุตรหลานได้สัญชาติโดยหลักดินแดนและการเกิดทั้งสิ้น
“ญวนสวามิภักดิ์” คือ ชาวเวียดนามที่หนีฝรั่งเศสมาในช่วงต้นสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยได้ร่วมรบในสงครามอินโดจีนซึ่งถือว่าช่วยราชการ จึงได้สัญชาติไทยและมียศทหารด้วย
“ญวนอพยพ” คือ ชาวเวียดนามที่มีมากที่สุดระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 เมื่อฝรั่งเศสทำการกวาดล้างครั้งใหญ่มีคนเวียดอพยพมาประเทศไทยประมาณ 70,000 คน แต่รัฐไทยถือวาเข้าเมืองโดยมิชอบมีสถานะเป็นผู้อพยพ
“เวียดนามอพยพ” คือกลุ่มเวียดนามใต้ที่อพยพหลังเวียดนามเหนือและเวียดนามใต้รวมประเทศกัน พ.ศ. 2518
“ไทยใหม่” คือ บุตรหลานชาวเวียดนามอพยพที่ได้สัญชาติหลังจากไม่สามารถส่งกลับประเทศได้ ตามพระราชบัญญัติสัญชาติฉบับที่ 2 พ.ศ.2534 โดยยื่นผ่านอำเภอไปยังรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยพิจารณาให้สัญชาติ (ปัจจุบันนายอำเภอเป็นผู้อนุมัติ) เมื่อได้สัญชาติมักเปลี่ยนนามสกุลเป็นแบบไทย
-
วิถีชีวิต
-
รูปแบบการตั้งถิ่นฐาน :
รูปแบบการตั้งถิ่นฐาน
การสร้างที่อยู่อาศัยสำหรับชาวเวียดนามโดยทั่วไปมักจะสร้างบ้านแบบชั้นเดียวติด ๆ กัน ผนังและพื้นทำจากอิฐ นิยมอยู่รวมกันเป็นกลุ่มอาจเป็นเพราะถูกจำกัดพื้นที่ในการอยู่อาศัยและจำกัดสิทธิในการเป็นเจ้าของที่ดินอยู่ในเวลานั้น ทำให้มีหลายคนเลือกที่จะอาศัยเช่าโรงเรือนหรือรับจ้างเพาะปลูกในที่ดินของคนไทย และมีบางส่วนเช่าบ้านและอาคารไม้เพื่อทำการค้าโดยมากจะอยู่ในเขตชุมชนเมือง
หากจะกล่าวถึงรูปแบบของการตั้งถิ่นฐานและการสร้างบ้านเรือนของชาวเวียดนามในประเทศไทยในระยะแรกนั้นอาจจะต้องมองผ่านกรณีชุมชนบ้านท่าแร่ที่จังหวัดสกลนคร เนื่องจาก มีชาวเวียดนามอาศัยอยู่ทั้งที่เป็น “ญวนเก่า” และ “ญวนอพยพ” โดยประชากรที่อพยพเข้ามาอาศัยอยู่ในหมู่บ้านยุคแรกที่เป็นกลุ่มญวนเก่านั้นคือ ชาวเวียดนามที่เข้ามาตั้งบ้านเรือนในช่วงสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว จนถึงพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวภายใต้บริบทความขัดแย้งระหว่างจักรพรรดิเทียวตรีและตือดึกกับฝรั่งเศสส่งผลให้มีชาวเวียดนามอพยพข้ามมาอยู่ในเมืองสกลนครเพิ่มมากขึ้นและต่อมา ใน พ.ศ.2427 พบว่าชาวเวียดนามผู้เข้ารีตในเมืองสกลนครถูกราชการกลั่นแกล้งจึงมีการย้ายสถานที่เผยแพร่ศาสนาคริสต์ไปอยู่ที่แห่งใหม่ จนมาพบกับบริเวณที่เต็มไปด้วยป่าไม้พื้นดินมีก้อนหินที่ชาวอีสานเรียกว่า “หินแฮ่” จึงพากันเรียกบริเวณดังกล่าวว่า “ท่าแร่” ดังนั้น จึงถือได้ว่าบ้านท่าแร่ หรือชุมชนท่าแร่เป็นชุมชนเก่าแก่ของชาวเวียดนามที่ยังคงอยู่มาจนถึงปัจจุบัน การอพยพชาวเวียดนามที่แต่เดิมอาศัยอยู่ในตัวเมืองสกลนครดำเนินการโดยบาทหลวงซาเวียร์ และครูทันที่เป็นชาวเวียดนาม ตัดสินใจอย่างลับ ๆ ย้ายชาวเวียดนามและพื้นเมืองที่มีทั้งชาวเวียดนาม ภูไท และชาติพันธุ์อื่นลงแพและเรือไปอยู่ที่ฝั่งเหนือของหนองหารประมาณ ห่างจากตัวเมืองสกลนคร 9-10 กิโลเมตร
ต่อมาในช่วงสงครามโลกครั้งที่หนึ่งได้มีชาวเวียดนามอพยพจากเมืองต่าง ๆ เข้ามาในหมู่บ้านท่าแร่มากขึ้นส่วนใหญ่หนีภัยสงครามและผลกระทบทางการเมือง ทราบว่าชาวเวียดนามกลุ่มดังกล่าวส่วนใหญ่มาจากเวียดนามตอนกลาง ได้แก่เมืองเหง่อัน เมืองวินห์ หลังสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่สองยังพบว่ามีการอพยพของชาวเวียดนามเข้ามาในประเทศไทยอีกระลอกหนึ่ง ชาวเวียดนามกลุ่มนี้ตัดสินใจหนีการปกครองของฝรั่งเศสและต้องการเริ่มต้นชีวิตใหม่ ส่วนใหญ่ข้ามแม่น้ำโขงเข้ามาที่จังหวัดนครพนม มุกดาหาร อุบลราชธานี ช่วงแรกต้องอาศัยพักตามบ้านเรือนของคนไทย เช่น ใต้ทุนบ้าน ไร่ นา สวน หรือปลูกกระท่อมอยู่ตามที่ดินรกร้าง ต่อมาได้เริ่มรวมตัวกันสร้างกระท่อมอยู่เป็นกลุ่ม (สุรัตน์ วรางค์รัตน์, 2542; ผล อัฐนาค, 2543) ชาวเวียดนามที่อพยพเข้ามาช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่สองแต่เดิมเป็นช่างไม้ ช่างปูน มีความสามารถในการก่อสร้างบ้านเรือนได้ และได้เข้ามารับจ้างชาวเวียดนามที่มีฐานะปลูกสร้างบ้านไม้ และอาคารก่ออิฐที่บ้านท่าแร่ซึ่งในงานของสุรัตน์ วรางค์รัตน์ (2542) ได้อธิบายลักษณะทางสถาปัตยกรรมและโครงสร้างของบ้านเรือนในบ้านท่าแร่เอาไว้ในงานศึกษาโดยจัดกลุ่มบ้านเรือนและอาคารออกเป็น 2 ประเภท ได้แก่ บ้านเรือนอาคารไม้ บ้านเรือนอาคารก่ออิฐหรือคฤหาสน์ ในที่นี้จะขอกล่าวถึงเพียงประเภทแรกเท่านั้น อย่างไรก็ดี กลุ่มอาคารและโครงสร้างบ้านเรือนเกือบทั้งหมดล้วนได้รับอิทธิพลจากลุ่มช่างชาวเวียดนาม ซึ่งได้รับว่าจ้างโดยชาวเวียดนามเก่าที่มีฐานะให้ปลูกบ้านที่อยู่ในหมู่บ้านท่าแร่นี้เอง
สำหรับกลุ่มแรก บ้านเรือนอาคารไม้ เป็นอาคารบ้านเรือนในยุคแรกที่พบในหมู่บ้านท่าแร่ ใน พ.ศ.2428 ขณะนั้นมักเป็นกระท่อม กระต๊อบ และตูบ มีลักษณะเป็นเพิงมุงด้วยหญ้าแฝกอยู่ติดกับพื้นดิน การก่อสร้างทำได้ง่ายและสามารถหาวัสดุได้ในท้องถิ่น เช่น ไม้ไผ่ หญ้าแฝก เถาวัลย์ ไม้เนื้อแก่นสำหรับทำเสาค้ำยันโครงสร้างส่วนหลังคา การปลูกกระท่อมพื้นติดดินเป็นที่นิยมกันในหมู่ชาวเวียดนามจนกลายเป็นเอกลักษณ์ทางสถาปัตยกรรมของครอบครัวชาวเวียดนามที่เป็นเกษตรกรในชนบท ขณะที่ชาวเวียดนามในเมืองจะนิยมปลูกสร้างอาคารชั้นเดียวด้วยไม้จริง เป็นเรือนห้องแถว เพื่อค้าขายและอยู่อาศัยไปพร้อมกัน ชาวเวียดนามมักอาศัยอยู่ในกระท่อมไม้ไผ่เตี้ย ๆ อยู่ติดกับพื้นดิน มักทำโครงสร้างด้วยไม้จริงเป็นเสาไม้ทั้งเปลือกทำเป็นเสากลางและปีก 2 ข้าง ๆ ละ 3-4 ต้น อาจใช้ท่อนไม้เป็นขื่น-แป มุงหลังคาด้วยแฝกหรือใบไม้ เช่น ใบเฮียะให้ชายคายื่นออกมาพอควร พอลอดเดินได้ ฝาตีด้วยไม้ไผ่หรือแอ้มด้วยใบไม้หรือแผ่นไม้กระดานถากด้วยขวานหรือเลื่อย อย่างไรก็ตาม กระท่อมพื้นติดดินนี้มีอายุการใช้งานประมาณ 10-15 ปีเท่านั้นทำให้ชาวเวียดนามเปลี่ยนรูปแบบการสร้างไปเป็นเรือนไม้ เรือนแถวชนิดติดพื้นดินทั้งชั้นเดียวและสองชั้นในเวลาต่อมา
เรือนเกย เกิดขึ้นจากการได้รับอิทธิพลการวางผังเมืองอย่างตะวันตกทำให้การปลูกสร้างบ้านเรือนจำเป็นต้องมีความเป็นระเบียบเรียบร้อยคล้ายกับตารางหมากรุก รวมทั้ง ชาวเวียดนามที่มีฐานะจากการค้าขายในหมู่บ้านมักนิยมสร้างเรือนเกยเพราะใช้อยู่อาศัยและค้าขายได้ในเวลาเดียวกัน พร้อมกันนี้ยังนิยมสร้างเรือนเกยให้เป็นมรดกของทายาทอันเป็นธรรมเนียมปฏิบัติทั่วไปของกลุ่มผู้มีฐานะดี เรือนเกยได้อิทธิพลมาจากเรือนอาศัยของชนชั้นสูง มีโครงสร้างเป็นไม้จริง เสาไม้ถากเปลือกเป็นรูปสี่เหลี่ยม 12-16 ต้น ยกสูงจากพื้นดิน ชั้นบนประกอบด้วยตัวเรือนและเรือนเกย หลังคาประกอบด้วยไม้แป ไม้ขื่อ มุงหลังคาด้วยแผ่นไม้ซ้อน ๆ กันเรียกว่า “แป้นเกล็ด” ระยะหลังใช้สังกะสีมุงแทนเพราะคงทนกว่า ไม่มีฝ้าเพดาน การตีฝ้าเพิ่งมานิยมช่วงหลังเมื่อมีตะปูเข้ามา ภายในกั้นเป็นห้องเล็ก ๆ ด้วยไม้แผ่นยึดด้วยสลักเดือย (ช่วงหลังยึดด้วยตะปู) หน้าต่างมักทำเป็นบานพับเป็นเดือยไม้ และนิยมใช้เทียนไขหรือขี้ผึ้งชโลมไว้เพื่อไม่ให้การเปิด-ปิดบานประตูหน้าต่างฝืด นอกจากนี้ ชาวเวียดนามยังนิยมสร้างเรือนร้านค้าชั้นเดียว และเรือนร้านค้าสองชั้นเพื่อใช้อยู่อาศัยและประกอบอาชีพในคราวเดียวกัน สำหรับเรือนร้านค้าชั้นเดียวมีวิวัฒนาการมาจากกระท่อมไม้ไผ่ติดพื้นดิน แต่เปลี่ยนโครงสร้างให้เป็นไม้จริง ส่วนใหญ่มักทำเป็นเรือนแถวหลายห้อง โดยแบ่งพื้นที่ออกเป็นสองส่วนคือ ที่พักอาศัยและที่ว่างหน้าบ้าน อาจจะใช้ขายสินค้า รับแขก นั่งเล่น ในส่วนที่พักจะใช้ไม้กั้นเป็นห้อง ๆ หรือจัดเป็นห้องเก็บข้าวของมีค่า ส่วนเรือนร้านค้าสองชั้นมีลักษณะคล้ายกับเรือนร้านค้าชั้นเดียว โดยชั้นล่างจะเปิดโล่งให้เป็นที่อยู่อาศัยของหัวหน้าครอบครัวหรือพ่อแม่ ส่วนชั้นบนเป็นที่อยู่อาศัยของบุตร (สุรัตน์ วรางค์รัตน์, 2542)
การดำรงชีพ :
การดำรงชีพ
การดำรงชีพหลังจากเข้ามาในประเทศไทยชาวเวียดนามอพยพแทบทุกคนจำเป็นต้องทำงานเพื่อหาเลี้ยงชีพ พื้นฐานของชาวเวียดนามกลุ่มที่อพยพเข้ามาหลังสงครามโลกครั้งที่สองส่วนใหญ่มีฐานะยากจน และเคยทำมาทำกินในดินแดนอินโดจีนของฝรั่งเศส การอพยพข้ามแม่น้ำโขงเข้ามายังประเทศไทยเป็นเพราะว่ามองเห็นโอกาสในการประกอบอาชีพ อย่างไรก็ตาม ชาวเวียดนามไม่สามารถซื้อที่ดินได้ในขณะนั้น ก็จะรับจ้างทำนาทำสวนตามความถนัด บางคนจะเช่าที่ดินคนไทยเพื่อเพาะปลูก เลี้ยงสัตว์ปีก อาทิ เป็ด ไก่ และเลี้ยงหมูเพื่อนำไปขาย บางคนอาจรับจ้างคนไทยที่มีฐานะดีเฝ้าสวนเพื่อดูแลสวนแลกกับการไม่ต้องเช่าที่ในการเพาะปลูกเลี้ยงปากท้องของตนเองและครอบครัว นอกจากนี้ ยังมีชาวเวียดนามบางส่วนในขณะนั้นประกอบอาชีพอื่น ๆ อีกเช่น เป็นแรงงานก่อสร้าง ขุดดิน ช่างไม้ ขายของ รับจ้างตักน้ำส่งตามบ้านเรือน หรือแม้แต่ยอมเป็นโสเภณี รายได้ส่วนหนึ่งชาวเวียดนามจะแบ่งให้กับองค์กรกลางนำส่งไปช่วยชาติในการต่อสู้เรียกร้องเอกราช (ผล อัฐนาค, 2543)
สำหรับเครื่องมือในการประกอบอาชีพของชาวเวียดนามส่วนใหญ่มักจะเกี่ยวข้องกับการทำประมง เนื่องจาก ชาวเวียดนามมีความถนัดในการทำประมง หรือการจับปลาในแม่น้ำจากการที่ประเทศเวียดนามอยู่ติดกับทะเลและมีแม่น้ำหลายสายที่สำคัญไหลลงสู่ทะเล อย่างไรก็ตาม เมื่อชาวเวียดนามอพยพเข้ามาในประเทศไทยแล้วทั้งหมดได้ฝึกและเรียนรู้ทักษะการประกอบอาชีพทุกอย่างที่สามารถทำได้ ขอบเขตการประกอบอาชีพของชาวเวียดนามจึงขยายออกไปมากขึ้น เช่น การเป็นช่างซ่อมเครื่องยนต์ ช่างตัดเย็บเสื้อผ้า ช่างก่อสร้าง ช่างตัดผม (ผล อัฐนาค, 2543)
ปัจจุบันชาวเวียดนามชาวเวียดนามสามารถประกอบอาชีพได้หลากหลาย ด้วยความขยัน อดทน ประหยัด อดออม ทำให้สามารถเป็นเจ้าของกิจการได้ โดยเฉพาะธุรกิจร้านอาหารเวียดนามตั้งแต่ร้านขนาดย่อมไปจนถึงร้านขนาดใหญ่ เช่น แดงแหนมเนือง และวีทีแหนมเนือง และมีบางส่วนทำธุรกิจของฝาก ซึ่งได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวอย่างมาก และได้กลายเป็นของฝากขึ้นชื่อประจำจังหวัด เช่น หมูยอของจังหวัดอุบลราชธานี ชาวเวียดนามในหลาย ๆ พื้นที่ของจังหวัดในภาคอีสานยังก้าวขึ้นมามีบทบาทสำคัญในการมีส่วนร่วมพัฒนาเศรษฐกิจท้องถิ่นนับแต่อดีต ดังจะเห็นได้จาก จังหวัดนครพนม หนองคาย อุดรธานี และสกลนคร ชาวเวียดนามได้ก้าวขึ้นมาเป็นผู้คุมตลาดการค้าเทียบเท่าหรือมากกว่าชาวจีน (พิสิฐ อำนวยเงินตรา, 2560; ธัญญาทิพย์ ศรีพนา และ Trinh Dieu Thin, 2548; ณรงศักดิ์ คูบุญญอารักษ์ และคณะ, 2561)
อาหารและยารักษาโรค :
อาหารและยารักษาโรค
อาหารของชาวเวียดนามในประเทศไทยเป็นสิ่งที่สะท้อนอัตลักษณ์ทางชาติพันธุ์ได้เป็นอย่างดี และมีอาหารหลายประเภทที่คนไทยรู้จักและนิยมรับประทาน จนกลายเป็นสินค้าสร้างรายได้ให้กับชาวเวียดนามได้เป็นอย่างดี ในการประกอบอาหารของชาวเวียดนามพบว่ามีแหล่งที่มาสองทาง คือ อาหารที่ได้จากการผลิตขึ้นเอง และอาหารที่หาได้จากตลาด สำหรับอาหารที่ได้จากการผลิตขึ้นเอง สะท้อนให้เห็นถึงลักษณะนิสัยที่ได้รับการบ่มเพาะจากบรรพบุรุษของชาวเวียดนามให้ขยัน ประหยัดและพึ่งตนเอง ประกอบกับพื้นที่อยู่อาศัยของชาวเวียดนามเองเหมาะสมที่จะทำการเพาะปลูก ดังนั้น แหล่งที่มาของอาหารส่วนหนึ่งจึงมาจากการผลิตเพื่อบริโภคภายในครัวเรือน ซึ่งสามารถจำแนกได้เป็น 2 ประเภท ได้แก่ ประเภทเนื้อ และผัก สำหรับอาหารประเภทเนื้อได้มาจากสัตว์เลี้ยงที่ชาวเวียดนามเลี้ยงเอาไว้ เช่น ไก่ และหมู (อาจรวมถึงสุนัข ซึ่งจะได้กล่าวถึงต่อไป) ชาวเวียดนามส่วนใหญ่มักไม่นิยมบริโภคเนื้อวัวและควาย เพราะมีความเชื่อว่าสัตว์ทั้งสองชนิดมีบุญคุณต่อมนุษย์ในการช่วยทำนา ทำให้สัตว์ทั้งสองชนิดเป็นที่นิยมเลี้ยงไว้เพื่อบริโภค ส่วนอาหารประเภทผัก นิยมปลูกผักไว้บริโภคกันเองในครัวเรือน ส่วนใหญ่เป็นผักที่มีรสหวาน มักปลูกเอาไว้หลังที่พักอาศัย ทั้งนี้ การปลูกผักไว้รับประทานยังเป็นการตอนสนองต่อค่านิยมที่มักจะกินผักเคียงกับข้าวที่เป็นอาหารหลัก และแหล่งอาหารที่ได้จากตลาด เกิดจากบริบทชุมชนที่อาศัยอยู่ในเมืองเพื่อประกอบอาชีพ สร้างฐานะ และเพื่อให้ได้รับการยอมรับจากสังคมไทย สภาพดังกล่าวไม่เอื้อให้สามารถผลิตวัตถุดิบเพื่อบริโภคได้เอง จำเป็นต้องซื้อวัตถุดิบจากตลาด และมักจะซื้อหาจากผู้ค้าที่เป็นชาวเวียดนามด้วยกันเองเพื่อความสะดวก (นุชนงค์ อุเทศพรรัตนกุล, 2544)
การประกอบอาหารสำหรับชาวเวียดนามนิยมใช้วิธี ต้ม แกง ตุ๋น ย่าง ขณะที่การต้มและตุ๋น ถือว่าเป็นการประกอบอาหารอันเป็นเอกลักษณ์ของชาวเวียดนามที่มีร่วมกันกับวัฒนธรรมจีน ซึ่งจำเป็นต้องมีเครื่องเทศ หรือเครื่องปรุงที่สามารถดับความคาวของเนื้อสัตว์ที่นำมาใช้เป็นองค์ประกอบของเมนูอาหารนั้นได้ สำหรับอาหารคาวจะประกอบขึ้นเพื่อการบริโภคและเซ่นไหว้วิญญาณบรรพบุรุษ ประกอบไปด้วย ข้าวสวย (com) ชาวเวียดนามนิยมรับประทานข้าวสวยมากกว่าข้าวเหนียว แต่กลับใช้ข้าวเหนียวในการประกอบพิธีกรรมต่าง ๆ เช่น เต๊ด หรือตรุษญวน พิธีโหย๋ งานศพ เป็นต้น
อาหารประเภทแกง (Canh) เช่น แกงจืด แกงผักปัง และแกงเผือก อาหารประเภทนี้ไม่นิยมใส่เครื่องเทศและไม่ใช้กะทิ นิยมนำผักและเนื้อหมูมาใช้ปรุง
อาหารประเภทต้ม (Nau) เช่น ไก่ต้ม หมูสามชั้นต้ม ต้มเค็ม
อาหารประเภทยำ (Goi) เช่น ยำหัวปลี ยำแตงกวา ยำหูหมู อาหารประเภทนี้นิยมปรุงด้วยรสจืด หวานและเปรี้ยว ไม่นิยมรสจัด ใช้ผักเป็นวัตถุดิบสำคัญ
อาหารประเภทตุ๋น (Ham) เช่น ขาหมูอบทรงเครื่อง เนื้อสุนัขอบทรงเครื่อง อาหารประเภทคั่ว (Rang) เช่น ไก่คั่วขิง หมูหวาน งาคั่ว
อาหารประเภทผัด (Xao) เช่น ผัดคะน้า ผัดผักบุ้ง ผัดกระหล่ำปลี
อาหารประเภทปิ้ง หรือย่าง (Nuong) เช่น แหนมเนือง หมูย่างหรือหมูหัน (เนือง แปลว่า ย่างหรือปิ้ง)
อาหารประเภททอด (Ran) เช่น ไก่ทอด เมี่ยงทอดหรือปอเปี๊ยะทอด ขนมเบื้องญวน อาหารประเภทเส้นขนมจีน (Bun) เช่น ขนมจีนน้ำปู ขนมจีนทรงเครื่อง อาหารประเภทนี้ไม่ใช้กะทิปรุงน้ำยาเหมือนอย่างที่นิยมในขนมจีนน้ำยาแบบไทย
อาหารประเภทนึ่ง (Hap) เช่น ขนมปากหม้อญวน ขนมถ้วยทรงเครื่อง
อาหารที่ใช้ของดิบมาประกอบอาหาร เช่น เลือดแปลง (Tiet Canh)
สำหรับประเภทอาหารหวาน จะนิยมประกอบขึ้นเพื่อบริโภคในชีวิตประจำวันและในพิธีกรรมต่าง ๆ ประกอบด้วย อาหารหวานแบบแห้ง โดยต้องใช้ใบพืชห่อแล้วทำให้สุกด้วยการนึ่ง หรือต้มด้วยความร้อนจากไอน้ำ เช่น ขนมยัดไส้ถั่วเขียว ข้าวต้มญวน และที่ต้องต้มแล้วนำไปตากแดด เช่น ขนมมันเทศตาก (Khoai Gieo) อาหารหวานแบบน้ำ เช่น ขนมหวานถั่วเขียว และบัวลอยยัดไส้น้ำขิง ของหวานแบบน้ำของชาวเวียดนามไม่นิยมใส่กะทิ(นุชนงค์ อุเทศพรรัตนกุล, 2544, จตุพร ดอนโสม, 2555) ชาวเวียดนามยังมีความสามารถในการนำผักเกือบทุกชนิดมาประกอบอาหารและถนอมอาหารจำพวกผักเก็บไว้รับประทานภายหลัง เช่น มะเขือดอง เป็นการนำมะเขือขาวมาตัดขั้วออก แล้วนำไปตากแดด จากนั้น ต้มน้ำเกลือ พักให้เย็นแล้วนำมาดองกับมะเขือขาวที่ตากแดดไว้ประมาณหนึ่งสัปดาห์ นิยมนำมารับประทานร่วมกับน้ำพริกกะปิ นอกจากนี้ ยังมี เนื้อกมั้ม เป็นน้ำปลาที่หมักเองของชาวเวียดนาม ทำจากปลาตัวเล็ก ๆ หมักด้วยเกลือและรำข้าว ใช้เวลาแรมปีในการหมักหลังจากนั้นจะตักเอาเฉพาะส่วนที่เป็นน้ำมาใช้ปรุงรสชาติอาหาร (จตุพร ดอนโสม, 2555)
อาหารที่ใช้ในพิธีกรรมและประเทศไทยสำหรับชาวเวียดนามที่สำคัญ ได้แก่ แบ๋งห์จึง หรือ บั๊ญจึง เป็นอาหารที่ใช้ในเทศกาลเต๊ดของชาวเวียดนาม และมีเรื่องเล่าเกี่ยวข้องกับเทศกาลเต๊ด โดยมีตำนานว่ามีกษัตริย์องค์หนึ่งจะมอบราชสมบัติให้กับโอรสที่ทำอาหารได้อร่อยที่สุด เมื่อถึงเทศกาลเต๊ดบรรดาโอรสก็ได้นำอาหารมาถวายกษัตริย์ ผลปรากฏว่าอาหารของโอรสชื่อ ลาว เลียว อร่อยถูกปากและแปลกใหม่มากที่สุด จึงตรัสถามถึงสาเหตุที่เลือกทำแบ๋งห์ จึง ลาง เลียวไดตอบถึงเหตุผลและยังอธิบายความหมายต่าง ๆ ที่อยู่ในอาหารดังกล่าวต่อกษัตริย์ทำให้ทรงพอพระทัยและมอบราชสมบัติให้ลาง เลียว ตั้งแต่นั้นมา ชาวเวียดนามจึงมีธรรมเนียมว่าเมื่อถึงเทศกาลเต๊ดจึงต้องมีแบ๋งห์จึงมาเป็นของไหว้ แบ๋งห์ จึงเป็นขนมรูปทรงสี่เหลี่ยมจัตุรัสขนาดประมาณ 7x7 นิ้ว วัตถุดิบประกอบด้วย ถั่วเหลือง ข้าวเหนียว หมูสามชั้น พริกไทย เกลือ หอมแดง ใบซองม์ ตอก กระบวนการทำจะเริ่มด้วยการแช่ข้าวเหนียวไว้ครึ่งวัน ถั่วเหลืองแช่ข้ามคืน เลือกเปลือกถั่วออกให้หมด สรงให้สะเด็ดน้ำ แล้วนำไปนึ่ง เมื่อนิ่มเทออก ใช้ทัพพีบดถั่วให้ละเอียดอย่างรวดเร็วในขณะที่ถั่วยังร้อนแล้วใช้มือปั้นเป็นก้อนเท่ากับกำปั้นผู้ใหญ่บีบให้แน่น ใช้หมูสามชั้นชิ้น 5-6 นิ้ว คลุกหอมแดงบดและพริกไทยรอไว้ ทำความสะอาดใบซองม์ที่ห่อ ซึ่งมีรูปร่างเรียวยาว ใหญ่ คล้ายใบพุทธรักษาแต่สีเขียวเข้มมันกว่า เมื่อล้างสะอาดนำมาเช็ดให้แห้ง ตัดก้านและเลาะแกนกลางออกเพื่อให้ห่อได้ง่าย สำหรับการห่อ จะบางใบซองม์บนถาดแบน ๆ เอาสีเขียวเข้มออกด้านนอก พับด้านที่สีเข้มเข้าด้านใน ปูใบซองม์อีกใบซ้อนกันตามยาวเกยใบแรกเล็กน้อย ปูใบทีสามตามขวางอีกครั้งคล้ายรูปกากบาท ปูใบที่สี่ตามยาวทับใบขวางตักข้าวเหนียวซึ่งคลุกเกลือเล็กน้อยขนาดหนึ่งถ้วยแกงเล็ก ๆ เทลงตรงกลางใบไม้เกลี่ยให้แผ่ออก บิถั่วเหลืองให้แตกออกจากก้อนที่ปั้นวางบนข้าวเหนียวให้ทั่ว วางหมูสามชั้นบนถั่วเหลือง โรยพริกไทย แล้วกลบหน้าด้วยถั่วเหลืองอีกชั้นหนึ่ง จากนั้นเอาข้าวเหนียวมากลบถั่วเหลืองเป็นชั้นสุดท้าย แล้วพับใบซองม์ให้เป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส มัดด้วยตอกไขว้กันเหมือนห่อของขวัญให้แน่นเพื่อไม่ให้แตกเวลาต้ม การต้มจะใช้เวลาทั้งคืน ผู้ทำต้องอดหลับอดนอนเพื่อลุกขึ้นมาดูไฟในเตาไม่ให้แรงหรือดับไปก่อนที่แบ๋งห์ จึงจะสุก จนรุ่งเช้าจึงนำห่อขนมออกมาจากหม้อ วางให้สะเด็ดน้ำ ขณะที่การทำแบ๋งห์ จึงในภาคกลางและภาคใต้ของเวียดนามนิยมห่อเป็นรูปร่างเรียวยาว คล้ายหมูยอ (โสภนา ศรีจำปา, 2543)
สำหรับการบริโภคสุนัขของชาวเวียดนามนั้น เป็นการบริโภคเพราะเชื่อว่าจะสามารถรักษาโรคและป้องกันอันตรายจากสิ่งที่มองไม่เห็นได้ โดยจะนิยมบริโภคเพียงปีละครั้งในช่วงฤดูหนาวเท่านั้น เพราะเชื่อว่าเนื้อสุนัขสามารถให้ความอบอุ่นแก่ร่างกายและป้องกันผีปอบได้ เด็กที่เกิดมามีอายุ 1-2 ปีแรกที่เริ่มเคี้ยวข้าวได้ พ่อและแม่จะนำเนื้อสุนัขมาทำเป็นพะโล้ตุ๋นด้วยเครื่องยาจีนให้เด็กรับประทาน ซึ่งเชื่อว่าเด็กที่กินจะมีชีวิตอยู่รอดและร่างกายแข็งแรง การทำสุนัขตุ๋นยาจีน มีขั้นตอนและวิธีทำที่ประณีตพิถีพิถันมาก เรียกอาหารชนิดนี้ว่า “ไก” นิยมใช้สุนัขดำมาเป็นวัตถุดิบเท่านั้น สุนัขดำที่ได้มาจะถูกทุบให้ตาย จากนั้นใช้น้ำร้อนราดลงที่ตัวสุนัข ใช้มีดขูดขนออกให้หมด และนำไปขึ้นย่างไฟให้เหลือง เพื่อกำจัดขนที่อาจจะนำออกไม่หมด แล้วแล่เอาเนื้อมาตุ๋นหรือประกอบอาหารประเภทอื่น ๆ ปัจจุบัน ชาวเวียดนามนิยมบริโภคสุนัขโดยใช้เป็นกับแกล้มร่วมกับการดื่มสุรา นิยมกันในหมู่ผู้ชาย อย่างไรก็ตาม ชาวเวียดนามมีความเชื่อว่า ห้ามสตรีมีครรภ์ คนป่วย หรือเด็กที่ธาตุอ่อนบริโภคเนื้อสุนัข เพราะจะเป็นของแสลง เมื่อกินเข้าไปอาจทำให้ร้อนใน (จตุพร ดอนโสม, 2555)
ตัวอย่างการบริโภคสุนัขของชาวเวียดนามเห็นได้จากกรณีบ้านหินแฮ่ จังหวัดสกลนคร ซึ่งชาวเวียดนามที่อพยพมารุ่นแรก (พ.ศ. 2427) นิยมบริโภคเนื้อสุนัขดำอบ มีกระบวนการทำที่พิถีพิถัน ต้องสะอาด ไม่เร่งรีบ ใช้สมุนไพรเป็นเครื่องอบ ทำให้มีความน่ากิน เพราะถือว่าเป็น “อาหารแห่งเกียรติยศ” ใช้เพื่อขึ้นโต๊ะต้อนรับแขกหรือญาติมิตร เมื่อมีการพบปะสังสรรค์กับเพื่อนฝูง หรือไม่ก็เป็นไปในโอกาสขอแรงให้ช่วยงาน การให้คุณค่าของอาหารที่ทำจากเนื้อสุนัขของชาวเวียดนามสะท้อนให้เห็นความรู้สึกที่ดีต่อกัน ความเป็นมิตร และการให้เกียรติซึ่งกันและกัน อย่างไรก็ตาม เนื้อสุนัข สำหรับชาวเวียดนามก็เป็นเพียงอาหารสำหรับเข้าสังคมเท่านั้น ซึ่งไม่เหมาะสำหรับนำมาใช้ขึ้นโต๊ะในงานประเพณีต่าง ๆ เพราะถือว่าเป็นความอัปมงคล ดังที่มีผู้อาวุโสในหมู่บ้านได้ให้ข้อมูลว่า
"...ดั้งเดิมคนญวนเขาอบหมากิน เมื่อก่อนไม่ได้กินสุ่มสี่สุ่มห้าเหมือนทุกวันนี้ คนญวนเขาทำสะอาด น่ากิน เปิดออกมากลิ่นหอมฉุย หน้าหนาวทีไรเขาก็หามาทำกิน เอาแต่มาดำ เขาเชื่อว่าหน้าหนาวร่างกายคนเรามันเย็น ถ้าได้กินหมาดำจะทำให้อบอุ่น...” (สุภีร์ สมอนา, 2548)
นอกจากนี้ ชาวเวียดนามยังมีวัฒนธรรมความเชื่อเกี่ยวกับการบริโภคอาหารที่มีข้อห้าม หรือเงื่อนไขของแต่ละกลุ่มที่แตกต่างกัน เช่น อาหารสำหรับผู้ป่วยควรบริโภคอาหารอ่อน และย่อยง่าย เช่น ข้าวต้ม และไม่นิยมกินอาหารที่มีมันมาก เพราะเชื่อว่าจะทำให้ย่อยยาก อาหารสำหรับหญิงมีครรภ์จะงดบริโภคอาหารที่มีรสจัด เช่น ส้มตำ ยำต่าง ๆ รวมถึงอาหารที่มีรสเปรี้ยวจำพวกของหมักดอง เพราะเชื่อว่าจะทำให้เด็กผมร่วง และผมบาง สุขภาพของเด็กตอนคลอดจะออกมาไม่ดี กินแล้วแม่จะปัสสาวะไม่หยุด รวมถึงห้ามแม่ดื่มกาแฟ เพราะกลัวว่าลูกจะผิวไม่สวย นอกจากนี้ ชาวเวียดนามยังได้รับอิทธิพลความเชื่อเรื่องข้อห้ามและข้อจำกัดในการบริโภคอาหาสำหรับหญิงตั้งครรภ์มาจากวัฒนธรรมไทยอีกด้วย (นุชนงค์ อุเทศพรรัตนกุล, 2544)
ในการรักษาโรคของชาวเวียดนามหลังสงครามโลกครั้งที่สองได้มีบางส่วนจัดตั้งองค์กรลับของตนเองเพื่อปกครองกันเองในหมู่ชาวเวียดนามอพยพและเพื่อรวมกลุ่มกันต่อสู้เรียกร้องเอกราชจากฝรั่งเศส องค์กรดังกล่าวยังมีหน้าที่ในการควบคุมเรื่องสุขภาพอนามัย (รวมถึงการกีฬา) โดยมอบหมายหน้าที่ให้กับชาวเวียดนามที่มีความสามารถและมีความรู้ด้านการแพทย์เป็น “หมอยากลางบ้าน” ทำหน้าที่รักษาพยาบาลด้วยยาให้ยาปฏิชีวนะในบางครั้งควบคู่ไปกับการให้ยาสมุนไพรเป็นหลัก และภูมิปัญญาจากการเฝ้าสังเกตอาการ เช่น จับชีพจร ในการรักษาชาวเวียดนามที่เจ็บป่วย หากเกินความสามารถของหมอกลางบ้านจะมีการส่งต่อให้กับโรงพยาบาลรัฐต่อไป (ผล อัฐนาค, 2543)
เสื้อผ้าและการแต่งกาย :
เสื้อผ้าและการแต่งกาย
การแต่งกายดั้งเดิมคล้ายการแต่งกายของชาวจีน ทั้งชายและหญิงจะนุ่งกางเกงขายาวโดยใช้ผ้าบางๆ เสื้อคลุมผ่าข้างยาวคลุมถึงเข่าและมีผ้าพันรอบศีรษะทั้งหญิงและชาย มีหมวกสานด้วยใบลานทรงกรวย เรียกว่า กุ๊ป เป็นเอกลักษณ์ แต่ปัจจุบันชาวเวียดนามอพยพไม่นิยมแต่งกายแบบดั้งเดิมแล้ว การแต่งกายในแต่ละช่วงวัยจะมีความแตกต่างกันออกไปและแตกต่างจากคนในท้องถิ่น สำหรับเด็กผู้หญิงจะนิยมสวมใส่กางเกงขาก๊วย เสื้อแขนสั้นหรือยาวตัดเย็บด้วยผ้าต่วนหรือผ้าแพรบางเบา มักใช้สีฟ้า ดำ หรือไม่ใช้สี ไม่มีลวดลาย ขึ้นอยู่กับบริบทและกิจกรรมการใช้ชีวิต เช่น ทำงานเกี่ยวกับการเกษตรจะสวมใส่กางเกงเสื้อผ้าสีดำหรือน้ำเงินซึ่งย้อมสี สวมหมวกกุ๊ป สำหรับผู้ชายในวัยเด็กจะสวมใส่กางเกงขาสั้น เสื้อยืดคอกลม หรือเสื้อเชิ้ตติดกระดุมสีดำ สีขาว หรือสีอื่นตามความชอบและฐานะของผู้สวมใส่ ส่วนวัยรุ่นมีการแต่งกายตามสมัยนิยมทั่วไป และในกลุ่มผู้สูงวัยจะนิยมสวมใส่กางเกงขาสั้นเสื้อยืดคอกลม เสื้อกล้าม (ผล อัฐนาค, 2543; จตุพร ดอนโสม, 2555) สำหรับการแต่งกายในโอกาสพิเศษ ตัวอย่างเช่น งานแต่งงาน จะสวมใส่ชุดพื้นเมืองที่เรียกว่า “โอไต๋” หรือ “เอ๋าด่าย” และมีความแตกต่างกันตามถิ่นที่อพยพมา กล่าวคือ หากเป็นชาวไทยเชื้อสายเวียดนามที่อพยพมาจากเวียดนามเหนือ เจ้าสาวจะสวมชุดสีแดง สวมหมวกกุ๊ป ฝ่ายชายจะสวมเสื้อสีขาวกางเกงสีดำ ส่วนคู่แต่งงานที่เป็นชาวไทยเชื้อสายเวียดนามที่อพยพมาจากเวียดนามใต้ เจ้าสาวจะสวมชุดสีเหลือง สวมหมวกกุ๊ป ฝ่ายชายสวมเสื้อสีขาวกางเกงสีดำ (ผล อัฐนาค, 2543) นอกจากนี้สำหรับชุด เอ๋าด่าย หญิงชาวเวียดนามมักจะสวมใส่ในงานชุมนุมสังสรรค์หรือประเพณีสำคัญของชุมชน (ณัฐมา กำจรวัฒนสิริ, 2553) และในงานพิธีกรรมทางศาสนา เช่น พิธีไหว้ศาลเจ้า ผู้ชายซึ่งทำหน้าที่ประกอบพิธีจะใส่ชุดเอ๋าด่ายสีดำ ซึ่งเป็นกางเกงขายาวสีดำและเสื้อชายยาวสีดำ เป็นชุดที่ได้รับการมอบต่อๆกันมาตั้งแต่สมัยบรรพบุรุษ เพื่อใช้ในการประกอบพิธีกรรมศักดิ์สิทธิ์ของคนไทยเชื้อสายเวียดนาม (จตุพร ดอนโสม, 2555) และในงานพิธีกรรมต่างๆจะสวมใส่เสื้อขาวแขนยาวกางเกงสีดำหรือน้ำเงิน ยกเว้นงานศพจะสวมใส่กางเกงขาก๊วยและเสื้อแขนยาวหรือสั้นสีขาว (ผล อัฐนาค, 2543) และการแต่งตัวในงานศพก็มีข้อกำหนดหลากหลายที่บ่งบอกความสัมพันธ์ทางเครือญาติ เช่น ชุดที่ใส่ประกอบพิธีกรรมของครอบครัวผู้เสียชีวิตในภาษาเวียดนามได้เรียกว่าชุด อ้าว เต้ ที่ทำมาจากผ้าดิบสีขาว หรือในภาษาเวียดนามเรียกว่า วาย โท (เหงียน ถิ ถ่าว, 2552
-
โครงสร้างทางสังคม
-
โครงสร้างทางสังคม :
โครงสร้างทางสังคม
ชาวเวียดนามในประเทศไทยมักมีค่านิยมการแต่งงานในหมู่ชาวเวียดนามอพยพด้วยกันเอง ทำให้ส่วนใหญ่สมาชิกในครอบครัวเป็นคนที่มาจากชาติพันธุ์เดียวกัน ซึ่งมีน้อยมากที่จะเลือกแต่งงานกับคนจากชาติพันธุ์อื่น เงื่อนไขดังกล่าว ส่งผลให้ภายในชุมชนชาวเวียดนามโดยส่วนมากจะมีความสัมพันธ์ลักษณะเครือญาติที่แนบแน่นอยู่ภายในกลุ่มชาติพันธุ์เดียวกัน ความสัมพันธ์ลักษณะดังกล่าวได้ส่งผลต่อเครือข่ายในการประกอบอาชีพของพวกเขาภายในชุมชน หรือจังหวัดทีอาศัยอยู่ด้วย โดยส่วนใหญ่มักจะให้ความช่วยเหลือกันด้านการประกอบอาชีพ ตลอดจนรวมหุ้นเปิดกิจการต่าง ๆ ระบบเครือญาติของชาวเวียดนามที่มีความเข้มข้น ยังส่งผลต่อโครงสร้างทางสังคมและวัฒนธรรมของชาติพันธุ์อีกด้วย เช่น การเคารพกันตามลำดับอาวุโสของเครือญาติ สะท้อนผ่านประเพณีหรือพิธีกรรมต่าง ๆ ในครอบครัวที่ผู้น้อยจะต้องมาแสดงความกตัญญูต่อผู้อาวุโสของครอบครัว (จุตพร ดอนโสม, 2555) ในครอบครัวชาวเวียดนามจะมีคำเรียกเครือญาติ ในที่นี้จะขอยกตัวอย่างมาเพียงบางส่วนเท่านั้น โดยอาศัยตัวเรา (ego) ในฐานะแกนหลักในการเรียกดังนี้
คำเรียกเครือญาติรุ่นเดียวกับเรา สมมติว่าเราเองเป็นหญิงที่แต่งงานแล้วสามีของเราเรียกว่า จ่ง (chong) หรือถ้าเราเป็นชายจะเรียกภรรยาตัวเองว่า เหวอะ (vo) พี่ชายของเราเรียกว่า อัญจาย (anh trai) น้องชายเรียกว่า แอมจาย (em trai) พี่สาวเรียกว่า จิก๊าย (chi gai) น้องสาวเรียกว่า แอมก๊าย (em gai) เมื่อพี่ชายแต่งงาน ภรรยาของพี่ชาย หรือพี่สะใภ้จะเรียกว่า จิเซิว (chi dau) ภรรยาน้องชาย หรือน้องสะใภ้เรียกว่า แอมเซิว (em dau) สามีของพี่สาว หรือพี่เขยเรียกว่า อัญเส (anh re) สามีของน้องสาว หรือน้องเขยเรียกว่า แอมเส (em re) สำหรับคำว่า จาย (trai) ก๊าย (gai) เซิว (dau) และ เส (re) เป็นคำเรียกต่อท้ายที่บ่งบอกเพศ และความสัมพันธ์ที่ได้จากการแต่งงานผู้เรียกอาจจะละคำเหล่านี้ได้
ส่วนการเรียกญาติฝ่ายพ่อ ได้แก่ ลุง หรือพี่ชายพ่อเรียกว่า บ๊ากจาย (bac trai) พี่สาวพ่อเรียกว่า บ๊ากก๊าย (bac gai) น้องชายของพ่อ หรืออาชายเรียกว่า จู๊ (chu) น้องสาวพ่อเรียกว่า โก (co) และการเรียกญาติฝ่ายแม่ ได้แก่ พี่ชายแม่ น้องชายของแม่ เรียกเหมือนกันว่า เกิว (cau) พี่สาวของแม่ หรือป้า และน้องสาวแม่ เรียกเหมือนกันว่า สี่ (di) เป็นต้น
ระบบคำเรียกเครือญาติของชาวเวียดนามมีการใช้สืบเนื่องต่อกันมาเป็นเวลานานกระทั่งปัจจุบัน ชาวเวียดนามให้การนับถือกันเป็นเสมือนญาติแม้กระทั่งในที่ทำงาน สถานศึกษา ตลอดจนวงสังคมด้วยการใช้คำเรียกเครือญาติเป็นคำสรรพนาม ในแต่ละท้องถิ่นอาจะมีคำเรียกที่แตกต่างกันออกไป นอกจากคำเรียกเครือญาติจะแสดงความสัมพันธ์เกี่ยวดองกับตัวเราแล้ว ยังถูกใช้เป็นสรรพนามซึ่งมีลักษณะร่วมกับวัฒนธรรมเอเชียทั่วไปเช่นกัน (โสภนา ศรีจำปา, 2543)
นอกจากความสัมพันธ์ในระดับครอบครัวและชุมชนแล้วชาวเวียดนามยังมีการรวมกลุ่มกันเป็นสมาคมชาวเวียดนามในประเทศไทย องค์กรดังกล่าวมีบทบาทสำคัญต่อชาวเวียดนามและได้รับการยอมรับทั้งในระดับท้องถิ่นและระดับประเทศ “สมาคมชาวเวียดนามแห่งประเทศไทย” ได้รับอนุญาตจากรัฐบาลไทยอย่างถูกต้องตามกฎหมายเมื่อ พ.ศ.2557 โดยมีนายชาญ กาววัน ดำรงตำแหน่งนายกสมาคม ฯ เป็นคนแรก มีสำนักงานใหญ่อยู่ที่จังหวัดสกลนคร การรวมกลุ่มดังกล่าวเป็นภาพสะท้อนที่แสดงถึงความเข้มแข็งของเครือข่ายของชาวเวียดนามในประเทศไทย และชาวเวียดนามกับถิ่นมาตุภูมิได้อย่างเหนียว สมาคมชาวเวียดนามแห่งประเทศไทยมีเครือข่ายสมาคมในระดับจังหวัด โดยเฉพาะจังหวัดที่มีชาวเวียดนามอาศัยอยู่จำนวนมาก การจัดการโครงสร้างภายในสมาคมชาวเวียดนามมีความคล้ายคลึงกับการจัดการภายในกลุ่มชาวเวียดนามในอดีตทั้งนี้ มีการจัดเป็นฝ่ายเพื่อดูแลและประสานงานภายในกลุ่มชาวเวียดนามด้านต่าง ๆ ได้แก่ ด้านสังคม ประกอบด้วย ผู้สูงอายุ สตรี เด็ก ด้านการศึกษาและวัฒนธรรม โดยมีนายกสมาคมชาวเวียดนามและคณะกรรมการด้านต่างๆเป็นผู้บริหารจัดการความสัมพันธ์ภายในกลุ่มชาวเวียดนามในทุกกลุ่ม (หนึ่งฤทัย จันทรคามิ และสมชัย ภัทรธนานันท์, 2563)
-
ระบบความเชื่อ ประเพณี และพิธีกรรม
-
ศาสนาและความเชื่อ :
พุทธ, คริสต์
ระบบความเชื่อ ประเพณี และพิธีกรรม
ศาสนาและความเชื่อ
ชาวเวียดนามแต่เดิมนับถือศาสนาพุทธนิกายมหายาน แต่เมื่อจีนเข้ามาปกครองเวียดนาม รวมเวลากว่าศตวรรษ จีนได้นำเอาลัทธิเต๋าและขงจื้อเข้ามาเผยแพร่ นอกจากเวียดนามจะยอมรับและนับถือทั้งสองลัทธินี้แล้ว ยังรับเอาลัทธิการบูชาดวงวิญญาณบรรพชนตามธรรมเนียมจีนเข้าไว้ด้วย ต่อมาเมื่อเวียดนามตกเป็นประเทศในอาณานิคมของฝรั่งเศส (พ.ศ.2427-2497) ทำให้ศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิก เป็นตัวเลือกในการนับถือศาสนามากขึ้น (องค์ บรรจุน, 2565) ในปัจจุบัน รัฐธรรมนูญเวียดนามไม่ได้ระบุให้มีศาสนาประจำชาติ แต่บัญญัติให้ประชาชนมีสิทธิเสรีภาพในการเลือกนับถือศาสนา ทำให้ชาวเวียดนามมีการนับถือศาสนาหลัก คือ พุทธ คริสต์ และลัทธิที่ได้รับอิทธิพลจากจีน ได้แก่ เต๋า ขงจื้อ และรับเอาประเพณีการเซ่นไหว้ดวงวิญญาณบรรพชนเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมเวียดนาม (ผุสดี จันวิมล, 2541 อ้างถึงใน องค์ บรรจุน, 2565) นอกจากนี้ ยังมีกลุ่มชาติพันธุ์ในเวียดนามอีกจำนวนมากที่เคารพบูชาเทพเจ้า ภูตผี และวิญญาณบรรพชน เช่น ไทดำ ทางตอนเหนือของเวียดนาม (องค์ บรรจุน, 2565)
เช่นกันกับชาวเวียดนามในประเทศไทย ซึ่งได้รับอิทธิพลทางด้านศาสนาและความเชื่อมาจากจีนในลัทธิใหญ่ 3 ลัทธิ ได้แก่ พุทธมหายาน ขงจื้อ และเต๋า ซึ่งทั้งหมดนี้ชาวเวียดนามเรียกว่า “ตำเสา” หรือ “สามศาสนา” (ธนนันท์ บุ่นวรรณา, 2565) ส่งผลให้วัฒนธรรมประเพณี วิถีชีวิตของชาวเวียดนามส่วนใหญ่ปะปนกันระหว่างพุทธ นิกายมหายาน ความเชื่อเรื่องความกตัญญูต่อพ่อแม่ บรรพบุรุษซึ่งมีรากความเชื่อจากลัทธิขงจื้อ ดังจะเห็นได้จากการมีแท่นบูชาบรรพบุรุษภายในบ้าน การมีศาลเจ้า หรือ “เด่น” (Den) ประจำหมู่บ้านเพื่อประกอบพิธีกรรมต่าง ๆ ในแต่ละพื้นที่มักมีศาลเจ้าและเทพเจ้าประจำศาลแตกต่างกันออกไป และจะขอยกตัวอย่างมาให้เห็นเพียงบางแห่งเท่านั้น ชาวเวียดนามในประเทศไทยได้สร้างพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์รูปแบบต่าง ๆ ทั้งระดับชุมชนและครัวเรือนที่พวกเขาให้ความเคารพนับถือ ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงการผสมผสานกันระหว่างศาสนาและลัทธิความเชื่อ รวมทั้งการบูชาเซ่นไหว้บรรพบุรุษของคนเวียดนามได้เป็นอย่างดี ตัวอย่างของพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ของชาวเวียดนาม ได้แก่
ศาลเจ้าพ่อด่ายเวือง (Dai Vuong) เป็นศาลเจ้าประจำหมู่บ้านนาจอก อ.เมือง จ.นครพนม สร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ.2441 คำว่า “ด่ายเวือง” มีความหมายว่า พระมหากษัตริย์ผู้หญิงใหญ่ของเวียดนาม” ศาลเจ้านี้สร้างขึ้นหลังจากมีการก่อตั้งหมู่บ้านภายใต้การนำของกำนันลาย ประชากูล เดิมศาลเจ้าพ่อด่ายเวืองทำขึ้นด้วยไม้ โดยชาวเวียดนามรุ่นแรก ปัจจุบัน ชาวเวียดนามรุ่นหลังมีคุณภาพชีวิตและสภานะทางเศรษฐกิจดีขึ้น จึงได้รับการบูรณะขึ้นใหม่ เป็นการก่ออิฐถือปูน มีรูปทรงสวยงามมากขึ้น สำหรับชาวเวียดนาม ศาลเจ้าเป็นเหมือนสถานที่ศักดิ์สิทธิ์เป็นที่พึ่งทางจิตใจตลอดจนเป็นศาลที่ปกครองคนในหมู่บ้านด้วยกฎระเบียบของหมู่บ้าน และบรรจุความเชื่อในตัวของเจ้าที่สิงสถิตอยู่ นอกจากนี้ ยังเป็นศูนย์รวมสร้างศรัทธาหล่มหลอมคนในหมู่บ้านให้มีจิตสำนึกที่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน สิ่งสำคัญอีกประการ คือ ศาลเจ้าพ่อด่ายเวือง ถูกใช้เป็นพื้นที่ในการประกอบสร้างความเป็นชาติและความกตัญญูต่อบรรพบุรุษผ่านพิธีกรรมต่าง ๆ สำหรับพิธีกรรมที่จัดขึ้นที่ศาลเจ้าพ่อด่ายเวือง ได้แก่ พิธีเต๊ด ซึ่งจัดขึ้นปีละครั้ง คือ ช่วงมกราคม-กุมภาพันธ์ และประเพณีวันไหว้ จัดขึ้นในเดือน 6 ช่วงเข้าพรรษาของไทย (จตุพร ดอนโสม, 2555)
ศาลเทพเจ้าเจิ่น ฮึง ด่าว (Tran Hung Dao) หรือเตริ่น ฮึง ด่าว คือ เทพเจ้าที่ได้รับความเคารพอย่างมากจากชาวเวียดนามในภาคอีสาน เช่น จังหวัดอุดรธานี หนองคาย นครพนม และมุกดาหาร โดยมีความเชื่อที่เล่าต่อกันมาว่าเป็นเจ้าแห่งบรรพบุรุษของชาวเวียดนามที่นับถือสืบทอดกันมา และครั้งหนึ่งเทพองค์ดังกล่าวเคยเป็นผู้ปกครองชนชาติเวียดนามนับแต่โบราณในสมัยราชวงศ์เจิ่น (Tran) เป็นทหารยอดนักรบนำพาเวียดนามสู้รบกับจีนจนมีชัยหลายครั้ง จึงมีความศักดิ์สิทธิ์เป็นอย่างมาก ชาวเวียดนามได้ทำสัญลักษณ์แทนองค์เทพเจิ่น ฮึง ด่าว ขึ้นเป็นรูปปั้นในร่างชายถือดาบที่ทำจากไม้ ประทับยืนด้วยอากัปกิริยาดูน่าเกรงขาม นอกจากนี้ ยังมีข้อห้ามไม่ให้สตรีเข้าใกล้ แต่สามารถสักการะได้แค่เพียงด้านนอก เนื่องจาก เชื่อว่าหากผู้หญิงเข้าไปใกล้แล้วจะทำให้ความศักดิ์สิทธิ์เสื่อมสลายลง (ธัญญาทิพย์ ศรีพนา, 2548;จตุพร ดอนโสม, 2555) ชาวเวียดนามที่เคารพนับถือเทพเจ้าเจิ่น ฮึง ด่าวจะมีการจัดพิธีไหว้ใหญ่ประจำปี 2 พิธี คือ พิธีบูชาวันครบรอบวันตายพ่อ (Gio Cha) และพิธีบูชาครบรอบวันตายแม่ (Gio Me) โดยจัดขึ้นในวันที่ 20 เดือน 8 และวันที่ 3 เดือน 3 ตามปฏิทินจันทรคติ นอกจากนี้ ยังมีการจัดพิธีไหว้เจ้าทุกวันที่ 1 และ 15 ในทุกเดือน (เศรษฐศาสตร์ วัตรโศก, 2559)
หิ้งบูชาปิตุภูมิ (Ban tho To Quoc) หิ้งบูชาปิตุภูมิถูกสร้างขึ้นครั้งแรกในประเทศไทยเมื่อ พ.ศ.2491 ภายใต้บริบทการเมืองสมัยนายปรีดี พนมยงค์ เป็นนายกรัฐมนตรี มีวัตถุประสงค์เพื่อจะใช้รื้อฟื้นความรักชาติของชาวเวียดนามในประเทศไทย และเพื่อรวบรวมความรักสามัคคีระหว่างชาวเวียดนามในการต่อสู้กับฝรั่งเศส หิ้งบูชาปิตุภูมิจะถูกวางไว้ในตำแหน่งที่สำคัญที่สุดของบ้าน โดยมักจะมีรูปของโฮจิมินห์ติดไว้ตรงกลาง ด้านบนของภาพมีข้อความเขียนว่า “To quoc tren het” แปลว่า “ชาติอยู่เหนือสิ่งอื่นใด” ด้านซ้ายเขียนว่า “Can kiem nhan nai vuot qua kho” แปลว่า “ความขยัน ประหยัดมัธยัสถ์ และความอดทนจะนำพาให้ก้าวข้ามความลำบาก” ด้านขวาจะเขียนว่า “Viet Thai tah thiet muon nam” แปลว่า “เวียดนามและไทยมีความรักใคร่กลมเกลียวกันยิ่งยืนนาน” และด้านล่างเขียนว่า “Ho chu tich muon nam” แปลว่า “โฮจิมินห์จงเจริญ” หิ้งบูชาปิตุภูมิมีบทบาทสำคัญในงานพิธีสำคัญต่าง ๆ ของชาวเวียดนามอย่างมาก อาทิ เทศกาลเต๊ด วันครบรอบวันตายของบรรพบุรุษ วันชาติเวียดนาม วันคล้ายวันเกิดของโฮจิมินห์ และพิธีมงคลสมรส จะมีการนำหิ้งบูชาปิตุภูมิออกมาตั้งไว้เพื่อให้กราบไหว้บูชา (เศรษฐศาสตร์ วัตรโศก, 2559)
สำหรับความเชื่อเรื่องการเสี่ยงทายของชาวเวียดนามจะเกี่ยวข้องกับพิธีกรรมในการบวงสรวงเทพเจ้าผ่านร่างทรง โดยเฉพาะที่อำเภอท่าบ่อ จังหวัดหนองคาย ชาวเวียดนามจะเสี่ยงทายผ่านร่างทรงหรือที่เรียกว่า ถัน โต๋ (Thanh To) ที่เป็นเพศชายหรือผู้ช่วยร่างทรงที่เป็นเพศหญิงหรือ โก ฮาย (Co Hai) การเสี่ยงทายจะมีลักษณะคล้ายกับชาวเวียดนามในหมู่บ้านนาจอกที่จังหวัดนครพนม กล่าวคือ จะใช้เหรียญกษาปณ์จีนโบราณจำนวน 2 เหรียญ ซึ่งที่ด้านใดด้านหนึ่งของทั้งสองเหรียญจะทาด้วยสีขาว การเสี่ยงทายจะใช้เพื่อต้องการทราบว่ามีเทพหรือผีมารับของเซ่นไหว้แล้วหรือยัง โดยโก ฮายจะโยนเหรียญทั้งสองลงบนถาดกลม อีกกรณีเป็นการเสี่ยงทายเพื่อสะเดาห์เคราะห์ โดยใช้เหรียญกษาปณ์จีนโบราณ 36 เหรียญ ที่ด้านใดด้านหนึ่งของเหรียญทั้งหมดจะทาด้วยสีขาว พิธีดังกล่าวจะมีไท กรุ๋ง หรือ ไถ่ กุ๋ง (Thay Cung) เป็นผู้ทำพิธี โดยจะใช้มือข้างใดข้างหนึ่งกำเหรียญทั้งหมด แล้วปล่อยลงมาทีละเหรียญบนถาดที่มีข้าวสารผสมเกลืออย่างละกำมือและธูปวางเอาไว้ ส่วนมืออีกข้างจะกำมีดบางแล้วตวัดมีดใต้มือที่กำเหรียญในลักษณะการตัดบางบางอย่าง ในทีนี้หมายถึงการตัดเหรียญที่กำลังร่วงหล่นลงบนถาด หากมีดที่ตวัดไปมาเกิดโดนเหรียญจะต้องเริ่มทำใหม่ แต่ถ้าทำเช่นนี้แล้วเหรียญหล่นลงมาครบ 36 เหรียญ ไท กรุ๋งจะเอาธูปที่วางบนถาดข้าวสารผสมเกลือไปปักที่กระถางธูปบนแท่นบูชาสำหรับวางของเซ่นไหว้ จากนั้น ยกถาดที่มีเหรียญและข้าวสารผสมเกลือขึ้นมาผัด 3 ครั้ง แล้วนับเหรียญที่มีสีขาวแต้มอยู่ขึ้นทีละ 4 เหรียญ ทำเช่นนี้จนกว่าจะเหลือ 1-2 เหรียญ เป็นอันเสร็จพิธี แต่ถ้าหากเหลือเหรียญที่เป็นเศษ 3 เหรียญ ก็จะต้องทำพิธีตัดเหรียญและอธิษฐานใหม่ จนกว่าการเสี่ยงทายจะเหลือเหรียญในถาด 1-2 เหรียญ การเสี่ยงทายดังกล่าวนอกจากจะเป็นการสร้างขวัญและกำลังใจแล้ว ยังแสดงให้เห็นถึงวัฒนธรรมของชาวเวียดนามที่บริโภคข้าวเป็นอาหารหลัก รวมทั้งเกลือที่สามารถร่วมรับประทานกับข้าวได้ ถือเป็นสิ่งมีคุณค่า นอกจากนี้ ยังสัมพันธ์กับประวัติศาสตร์ชาติพันธุ์ที่ชาวเวียดนามต้องต่อสู้ดิ้นรนและผ่านช่วงสงครามมาหลายครั้ง เกลือจึงเป็นสิ่งมีคุณค่าทั้งในแง่ของอาหารและยารักษาบาดแผลที่เกิดจากการสู้รบด้วย (จิราภรณ์ วีระชัย, 2543)
หลักปฏิบัติทางวัฒนธรรม :
หลักปฏิบัติทางวัฒนธรรม
สำหรับชาวเวียดนามในประเทศไทยส่วนใหญ่จะมีหลักปฏิบัติทางวัฒนธรรมที่สัมพันธ์กับ “พื้นที่ศักดิ์สิทธิ์” ทั้งในบ้านเรือน เช่น หิ้งบูชาบรรพบุรุษ หรือหิ้งบูชาปิตุภูมิ และในศาลเจ้าของชุมชนชาติพันธุ์ หลักปฏิบัติทางวัฒนธรรมที่สำคัญที่เห็นได้ชัดเจนจาก คือ ข้อห้ามสำหรับศาลเจ้าด่ายเวือง ที่เชื่อว่าเป็นที่สถิตของเทพเจ้านามว่า “เจิ่นฮึงด่าว” ศาลดังกล่าวมีข้อปฏิบัติที่ยึดถือกันมาอย่างยาวนานว่า ห้ามไม่ให้ผู้หญิงเข้าไปใกล้กับบริเวณที่ตั้งของรูปเคารพขององค์เทพเจ้า เพราะเชื่อว่าหากผู้หญิงคนใดเข้าไปใกล้จะทำให้ความศักดิ์สิทธิ์เสื่อมทรามลง (จตุพร ดอนโสม, 2555) เช่นกันกับหลักปฏิบัติที่ชาวเวียดนามหลายคนให้ความสำคัญกับหิ้งบูชาบรรพบุรุษหรือหิ้งบูชาปิตุภูมิอันเป็นศูนย์รวมใจของคนภายในบ้าน อีกทั้งยังเป็นพื้นที่สำคัญสำหรับเก็บรูปเคารพของบรรพบุรุษผู้ล่วงลับไปแล้ว พื้นที่ดังกล่าวจะห้ามให้บุคคลอื่นที่ไม่ใช่คนในครอบครัวหรือคนนอกชาติพันธุ์เข้าไปยุ่งเกี่ยว เว้นแต่ว่าจะได้รับอนุญาตจากคนในครอบครัวหรือหัวหน้าของบ้าน
นอกจากหลังปฏิบัติทางวัฒธรรมที่สัมพันธ์กันกับพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์แล้ว ชาวเวียดนามยังมีหลักปฏิบัติโดยทั่วไปหากพวกเขาต้องปฏิสัมพันธ์กับคนนอกวัฒนธรรม โดยเฉพาะในช่วงที่รัฐบาลไทยมีนโยบายจับตากลุ่มชาวเวียดนามอพยพเป็นพิเศษ ทำให้ชาวเวียดนามในประเทศไทยต้องอยู่อย่างหวาดระแวง มีหลายครอบครัวจำเป็นต้องละทิ้งอัตลักษณ์ที่สืบทอดกันมาเพื่อความปลอดภัย เงื่อนไขดังกล่าวส่งผลให้ชาวเวียดนามมีหลักปฏิบัติทั่วไปเมื่อต้องออกไปพบปะกับคนนอก โดยเฉพาะคนในท้องถิ่นด้วยการเลือกแสดงอัตลักษณ์บางอย่างและปกปิดอัตลักษณ์ทางชาติพันธุ์เพื่อไม่ให้คนนอกเกิดความหวาดระแวงและมองว่าเขาเป็นภัยคุกคาม หลักปฏิบัติที่ว่านั้นเช่น การเลือกที่จะไม่สนทนาด้วยภาษาเวียดนามในที่สาธารณะ การแต่งกายด้วยเครื่องแต่งกายแบบคนท้องถิ่นนิยมสวมใส่ หรือแม้กระทั่งการปลดหิ้งบูชาปิตุภูมิลงเพื่อหลีกเลี่ยงการถูกจับตามมองจากรัฐไทย
ประเพณี เทศกาล และพิธีกรรม :
ประเพณี เทศกาล และพิธีกรรม
ประเพณี เทศกาลและพิธีกรรมสำคัญในรอบปี
เทศกาลเต๊ดหรือตรุษญวน เต๊ด (Tet) หรือวันตรุษ นับเป็นประเพณีที่สำคัญที่สุดของชาวเวียดนามในประเทศไทย เทศกาลเต๊ดเป็นวันฉลองการเริ่มต้นปีใหม่ของคนเวียดนาม จัดขึ้นปีละครั้ง ส่วนใหญ่จัดขึ้นในช่วงเดือนมกราคมถึงเดือนกุมภาพันธ์ของทุกปี ตามคติของปฏิทินจันทรคติ (วันสิ้นเดือนสิบสองของปี) ซึ่งตรงกับวันตรุษจีนนั่นเอง รูปแบบของพิธีในเทศกาลเต๊ดจะมีพิธีเซ่นไหว้บรรพบุรุษทั้งที่บ้านและที่ศาลเจ้า ในกระบวนการไหว้เจ้านั้น ชาวเวียดนามจะนำเหล้าและไก่นึ่งเป็นตัว บางครั้งมีหัวหมู มีขนมแบ๋งห์ จึง หรือบั๊ญ จึง มาเซ่นไหว้ในพิธีเต๊ดที่ศาลเจ้าในชุมชนและในพิธีกรรมจะมีผู้นำในการทำพิธีเป็นผู้ชายที่มีวัยวุฒิที่ได้รับคัดเลือกให้มาทำหน้าที่ในเทศกาลเต๊ดแต่ละปี ผู้นำพิธีจะแต่งกายด้วยชุดเอ๋าด่าย (Ao Dai) แบบเวียดนาม ในวันดังกล่าวจะถูกให้ความสำคัญในฐานะวันรวมญาติของชาวเวียดนามในประเทศไทยด้วย เนื่องจาก สมาชิกทุกคนในครอบครัวที่อยู่ต่างถิ่นจะเดินทางกลับมารวมตัวกันเพื่อเฉลิมฉลองในวันดังกล่าว บ้านเรือนจะต้องได้รับการตกแต่งอย่างงดงาม มีการทำความสะอาดบ้าน โดยเฉพาะหิ้งบูชาบรรพบุรุษของแต่ละบ้านที่จะได้รับการดูแลเป็นพิเศษ ชาวเวียดนามเชื่อว่าวันเริ่มต้นปีใหม่ควรจะเป็นการเริ่มต้นพร้อมกับสิ่งใหม่ ดังนั้น ในเช้าวันแรกของปีชาวเวียดนามจึงจะแต่งกายด้วยเสื้อผ้าชุดใหม่ แต่ละครอบครัวจะเซ่นไหว้บรรพบุรุษด้วยอาหาร ขนม ผลไม้ เหล้า น้ำชา ส่วนผู้อาวุโสในครอบครัวจะให้พรกับเด็ก ๆ พร้อมแจกเงิน ที่ส่วนใหญ่เป็นเหรียญหรือธนบัตรใบใหม่ ใส่ในซองสีแดง การให้เงินกับเด็ก ๆ นี้เรียกว่า “หมึ่ง ต๋วย” (Mung Tuoi) คล้ายกับการแต๊ะเอียของชาวจีน หลังจากนั้น คนในครอบครัวจะเฉลิมฉลองด้วยการกินดื่มกันอย่างสนุกสนาน (จิราภรณ์ วีระชัย, 2543 อ้างถึงใน จตุพร ดอนโสม, 2555)
พิธีกรรมบูชาดวงวิญญาณของบรรพบุรุษ หรือพิธีโหย๋ การเซ่นไหว้ดวงวิญญาณบรรพบุรุษถือได้ว่ามีความสำคัญต่อการดำเนินชีวิตของชาวเวียดนามในประเทศไทยอย่างมาก เมื่อครบรอบวันตายของบรรพบุรุษในแต่ละปี จะมีการทำพิธีบูชาดวงวิญญาณบรรพบุรุษขึ้นในครอบครัว ลูกหลานจะต้องเตรียมของไหว้ อาทิ ไก่ต้ม เหล้า เบียร์ น้ำอัดลม ขนม เสื้อผ้า กระดาษเงินและกระดาษทอง จากนั้นจะเชิญ “ไทกรุ๋ง” ซึ่งเป็นผู้อาวุโสที่ได้รับการถ่ายทอดกระบวนการทำพิธีและสามารถสวดเชิญดวงวิญญาณของบรรพบุรุษได้มาเป็นสื่อกลางเพื่อเชิญวิญญาณให้มารับของเซ่นไหว้ โดยไทกรุ๋งจะเริ่มด้วยการเสี่ยงทายเพื่อดูว่าดวงวิญญาณบรรพบุรุษได้มาถึงบริเวณพิธีหรือยังด้วยการโยนเหรียญโบราณของเวียดนามที่มีรูตรงกลางรูป 4-6 เหลี่ยม และที่เหรียญถูกใช้ปูนขาวทาเอาไว้ด้านใดด้านหนึ่งของแต่ละเหรียญ หากเหรียญที่โยนแล้วตกลงมามีลักษณะคว่ำกับหงายก็หมายความว่าดวงวิญญาณของบรรพบุรุษได้มาถึงแล้ว แต่ถ้าเหรียญที่โยนตกลงมาไม่คว่ำและหงาย จะต้องตรวจดูว่าของไหว้ที่ทำมาเพียงพอหรือไม่ มีอะไรขาดตกบกพร่องบ้าง เช่น ขวดเหล้าเปิดหรือปิดอยู่ ถ้าไม่ได้เปิดขวดเหล้าตองกล่าวคำขอโทษและเปิดขวดเหล้าดังกล่าวให้เรียบร้อย แล้วจึงเริ่มการโยนเหรียญเสี่ยงทายใหม่ ชาวเวียดนามจะเชื่อว่าการเตรียมของเซ่นไหว้มาไม่เรียบร้อย หรือไม่พร้อมสำหรับการทำพิธีจะทำให้วิญญาณของบรรพบุรุษไม่พอใจ สำหรับบทสวนที่ไทกรุ๋งใช้สวดเพื่อเชิญวิญญาณของบรรพบุรุษจะเป็นภาษาเวียดนาม โดยสรุปความได้ว่าเป็นการกล่าวถึงชื่อผู้ตายที่ได้ตายในวันนี้ในอดีต แลขอเชิญให้วิญญาณผู้ตายมารับของเซ่นไหว้ที่ครอบครัวจัดเตรียมไว้ให้ การสวดจะกล่าวเช่นนี้อยู่ 3 จบ จากนั้นจะกล่าวว่า แม้ดวงวิญญาณจะไม่ได้อยู่กับครอบครัว หากแต่ลูกหลานยังคงระลึกถึงและจะจัดของเซ่นไหว้มาถวายให้เสมอ เมื่อคิดว่าวิญญาณมารับของเซ่นไหว้แล้วก็จะมอบหน้าที่ให้ลูกชายคนโตหรือหัวหน้าครอบครัวนำกระดาษเงินและกระดาษทองไปเผา โดยมีไทกรุ๋งเป็นผู้กล่าวกับดวงวิญญาณบรรพบุรุษว่าให้นำเอาข้าวของทั้งหมดที่นำมาเซ่นไหว้ในวันนี้ไปด้วย โดยที่สามารถนำไปแจกให้ดวงวิญญาณอื่นได้ตามแต่เจตนารมณ์ของวิญญาณบรรพบุรุษ เมื่อเสร็จพิธีของไหว้ทุกอย่างจะถูกแจกจ่ายให้กับคนในครอบครัวเพื่อรับประทานต่อไป (จตุพร ดอนโสม, 2555)
ประเพณี เทศกาลและพิธีกรรมที่เกี่ยวข้องกับชีวิต
พิธีบ๋าน เจ๋า เป็นพิธีที่เกี่ยวข้องกับทารกที่เลี้ยงยากและมักเจ็บป่วยเป็นประจำ เมื่อพ่อและแม่ได้ปรึกษากับปู่ย่าตายายแล้ว ก็จะประกอบพิธีกรรมยกบุตรตนให้เทพเจ้า โดยพ่อและแม่จะต้องเตรียมน้ำสำหรับทำน้ำมนต์สะเดาะเคราะห์จากน้ำในท้องเรือหรือบ่อน้ำ หากเด็กเป็นชายจะใช้น้ำในท้องเรือ 7 ขัน หรือบ่อน้ำ 7 บ่อ หากเป็นเด็กหญิงจะใช้น้ำในท้องเรือ 9 ขัน หรือบ่อน้ำ 9 บ่อ มาใส่ปี๊บพร้อมด้วยหนามของพืชชนิดต่าง ๆ เช่น โป๊ยเซียน กุหลาบ มะนาว มะกรูด โดยสำหรับเด็กชายจะใช้หนามจากพืช 7 ชนิด ส่วนเด็กหญิงจะใช้ 9 ชนิด นอกจากนี้ ยังใส่ดอกของต้นอ้อไม่จำกัดจำนวนรวมลงไปในน้ำมนต์ด้วย เมื่อน้ำมนต์ถูกเตรียมเสร็จเรียบร้อยแล้ว พ่อและแม่ของเด็กจะจัดเตรียมกระทงสะเดาะเคราะห์ พื้นปูด้วยใบตอง ปักธงและรูปชายหญิงหนึ่งคู่ตัดมาจากกระดาษ พร้อมทั้งอาหารคาวหวาน ข้าวเหนียว เหล้าขาว หรือเหล้าโรง ผลไม้ชนิดใดก็ได้ยกเว้นมังคุดและลุมุด ซี่ไม้ไผ่เล็ก ๆ จำนวน 3 ซี่ เส้นผม เล็บมือและเล็บเท้าของเด็ก และโลงศพหุ่นเด็กที่ทำจากไม้ไก บง (cay bong) หรือไม้ต้นนุ่นหรือไม้เนื้ออ่อนเท่านั้น วันประกอบพิธีจะเชิญไท กรุ๋ง ถัน โต๋ และผู้ช่วย โก ฮาย พร้อมด้วยพ่อและแม่ของเด็กไปที่ศาลเจ้า จัดเครื่องเซ่นไหว้ และสวดบทอัญเชิญเทพเจ้าเป็นภาษาเวียดนาม จากนั้นผู้ช่วยในการทำพิธีจะต้มน้ำมนต์ที่ได้เตรียมมาเพื่อสะเดาะเคราะห์และย่ำฆ้องและกลองเป็นจังหวะ จากนั้นเทพเจ้าจะลงประทับร่างทรงและผู้ช่วยร่างทรง แล้วผู้ช่วยในการทำพิธีจะนำชุดแดงมาสวมให้กับทั้งคู่ จากนั้นจะนำเอาเส้นผม เล็บมือและเล็บเท้าของเด็กมาใส่ในโลง และตรึงตะปูฝาโลง พร้อมนำอาวุธ 3 คู่ ได้แก่ กระบอง ค้อน และแส้มาวางที่หน้าเตาไฟต้มน้ำมนต์ จากนั้นจะจุดธูปทีกระทงสะเดาะเคราะห์ พร้อมร่ายคาถาขับไล่ผีร้าย หากผีแก่กล้า ร่างทรงจะต้องรำอาวุธเข้าช่วย ขณะเดียวกันจะมีการจุดซี่ไม้ไผ่เล็ก ๆ ที่เตรียมมากวัดแกว่งไล่ผีออกไปนอกศาลเจ้า เสร็จแล้วก็จะนำโลงศพจำลองและกระทงสะเดาะเคราะห์ไปวางไว้ที่ทางสามแพร่ง เป็นอันว่าผีร้ายได้ถูกกำจัดออกไปจากตัวเด็กแล้ว สุดท้ายจะนำเด็กไปให้ร่างทรงนำดอกต้นอ้อจุ่มน้ำมนต์มาพรมลงบนตัวเด็ก จากนั้น ร่างทรงจะเอาดอกอ้อใส่เข้าไปในปากของเด็ก เมื่อเด็กคายน้ำมนต์ออกมาหรือสำรอกอาหารเหลวออกมาก็จะเชื่อว่าเด็กได้สำรอกเอาสิ่งชั่วร้ายออกจากร่างกายแล้ว จากนั้นก็จะนำเด็กไปฝากเป็นบุตรบุญธรรมของเทพเจ้า โดยประทับชื่อใหม่ทีพ่อและแม่ของเด็กเตรียมไว้บนหน้าอกของเด็กด้วยอักษรโนม (Nôm) เพื่อแสดงตนว่าเด็กได้กลายเป็นลูกของเทพเจ้าเป็นอันเสร็จพิธี (จิราภรณ์ วีระชัย, 2543)
พิธีแต่งงาน (Lễ cưới) การแต่งงานในภาษาเวียดนามเรียกว่า “ด๋ามเกือย” โดยชาวเวียดนามในประเทศไทยนิยมแต่งงานกับชาวเวียดนามด้วยกันเอง โดยพ่อแม่เป็นฝ่ายทาบทามและเลือกคู่ครองที่คิดว่าเหมาะสมให้ และมีชาวเวียดนามน้อยมากที่แต่งงานกับคนนอกชาติพันธุ์ ตามประเพณีการแต่งงานของชาวเวียดนามนิยมแต่งงานกันในเดือนคู่ ยกเว้น ช่วงเดือนเข้าพรรษา หรือหากมีญาติฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเสียชีวิตและอยู่ในช่วงไว้ทุกข์จะไม่นิยมจัดงานแต่งงานขึ้นในครอบครัวเป็นเวลา 2 ปี นอกจากนี้ ชาวเวียดนามยังมีข้อห้ามที่สำคัญคือห้ามเชิญบุคคลที่เป็นหม้ายหรือผ่านการหย่าร้างเข้าร่วมในพิธีแต่งงานโดยเด็ดขาด เพราะเชื่อว่าจะทำให้ชีวิตคู่ล้มเหลว หรือเกิดการพลัดพราก (ปัจจุบันข้อห้ามดังกล่าวไม่ได้เคร่งครัดเหมือนในอดีตแล้ว) สำหรับชาวเวียดนามการแต่งงานจะเกี่ยวข้องกับพิธีกรรม 3 ขั้นตอน ได้แก่ พิธีสู่ขอ (Lễ chạm ngõ) พิธีหมั้น (Lễ ăn hỏi) และงานเลี้ยงฉลองสมรส (Lễ cưới) การสู่ขอเป็นพิธีที่ผู้ใหญ่ของทั้งสองฝ่ายจะเป็นผู้จัดการติดต่อกัน โดยมีผู้ใหญ่ของฝ่ายชายทำหน้าที่ไปสู่ขอฝ่ายหญิง ผู้ทำหน้าที่เป็นผู้ไปสู่ขอส่วนใหญ่มักเป็นเพศชายมีวัยวุฒิและรู้ภาษาเวียดนาม สามารถอ่านบทสวดมนต์ภาษาเวียดนามได้เป็นอย่างดี โดยบ้านของฝ่ายชายจะเตรียมของเพื่อนำไปเป็นของกำนัลในการพูดคุยเรื่องการสู่ขอ หากทั้งสองฝ่ายตกลงกันได้ก็จะมีการหาฤกษ์ยามเพื่อจัดงานหมั้นและงานแต่งงานต่อไป หลังจากตกลงกันได้เรียบร้อยจะเข้าสู่พิธีหมั้น เป็นพิธีที่เจ้าบ่าวมาทำการหมั้นเจ้าสาวที่บ้าน นิยมจัดขึ้นในช่วงไม่เกินเที่ยงวัน โดยมีการนำเอาของหมั้น เช่น หมาก พลู ส้ม เหล้า คุกกี้ มามอบให้ฝ่ายหญิง หลังจากเสร็จพิธี ทั้งครอบครัวฝ่ายชายและฝ่ายหญิงจะจัดงานเลี้ยง ซึ่งตามประเพณีแล้ว จะนิยมกินเลี้ยงที่บ้านฝ่ายชายก่อน เมื่อต้อนรับแขกเสร็จเรียบร้อยฝ่ายชายก็จะต้องเดินทางไปยังบ้านของฝ่ายหญิงเพื่อต้อนรับแขกทางฝ่ายหญิงต่อ การจัดงานเลี้ยงหลังพิธีหมั้นนี้ขึ้นอยู่กับความสะดวกของแต่ละครอบครัว อาจจัดขึ้นหลังพิธีหมั้นหลายเดือนก็เป็นได้ และงานเลี้ยงมงคลสมรส จะจัดขึ้นที่บ้านของฝ่ายชาย มีแขกจากทั้งสองฝ่ายมาร่วมงานเพื่อแสดงความยินดี ลักษณะเด่นของงานเลี้ยงมงคลสมรสของชาวเวียดนามก็คือจะมีหิ้งบูชาโฮจิมินห์ประดับอยู่ในงาน ซึ่งถือว่าเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่สุดในพิธีนี้ และเจ้าบ่าวเจ้าสาวจะต้องไปถ่ายรูปร่วมกับแขกที่หน้าหิ้งบูชาโฮจิมินห์ (พิสิษฐ์ อำนวยเงินตรา, 2557 อ้างถึงใน กรชวัล กริ่งสันเทียะ, 2559; จตุพร ดอนโสม, 2555)
พิธีศพ (Dam ma) สำหรับชาวเวียดนามในประเทศไทยอาจจะมีการจัดการพิธีศพให้กับสมาชิกที่ล่วงลับแตกต่างกันออกไป จุตพร ดอนโสม (2555) ระบุว่าทันทีที่มีชาวเวียดนามเสียชีวิต ญาติของผู้ตายจะต้องแจ้งต่อประธานศาลเจ้า โดยนำหมากพลู 1 สำรับ ประกอบด้วยหมากและพลูอย่างละ 5 คำ เหล้าขาว 1 ขวด มารับ “การครอบ” ซึ่งเป็นการบอกกล่าวแก่ผู้อาวุโสหรือประธานศาลเจ้า จากนั้นผู้ที่เป็นประธานศาลเจ้าจะไปแจ้งต่อผู้ใหญ่บ้านที่มีหน้าที่ให้สัญญาณกลองแก่สมาชิกในหมู่บ้าน ที่มีทำนองการตีเฉพาะ เมื่อได้ยินเสียงกลองชาวเวียดนามจะมารวมตัวกันที่บ้านของผู้ตาย และมีกรรมการศาลเจ้าเป็นแกนนำในการประกอบพิธีศพ และมีตัวแทนชายฉกรรจ์ 7 คน รับมอบหมายงานจากกรรมการศาลเจ้าให้มีหน้าที่ช่วยงานศพจนกระทั่งพิธีได้เสร็จสิ้นลง การตั้งศพ ชาวเวียดนามจะตั้งศพหันศีรษะผู้ตายไปทางทิศตะวันตก เช่นกันกับคนไทย การวางศพจะวางไปตามแนวยาวของบ้าน ลักษณะศพนอนวางมือซ้ายทับมือขวาที่หน้าท้อง เท้าโผล่นอกผ้าที่ใช้คลุมศพ และหันเท้าออกนอกบ้าน ตั้งกระถางธูปไว้ที่เท้าผู้ตาย โดยปักธูปใหญ่ไว้กลางและมีเทียน 2 เล่ม มีโต๊ะเล็กเรียกว่า “เกือบอุบ” สำหรับวางข้าวจ้าว ตะเกียบคู่หนึ่ง น้ำแก้วหนึ่ง ตะเกียงน้ำมันก๊าดที่ต้องจุดไว้ตลอดเวลา 1 ดวง ซึ่งมีความเชื่อว่าตะเกียงจะเป็นแสงสว่างนำทางผู้ตายมากินอาหารที่จัดวางไว้นี้ ข้าว มีความหมายถึง ความอุดมสมบูรณ์ ไข่ หมายถึง อาหาร ถ้าเป็นงานศพของผู้ที่ยังไม่ได้มีอายุไม่ว่าชายหรือหญิงจะตัดชุดแดงใส่ให้แก่ศพ และมีข้าว 9 เมล็ด เงินบาท 1 เหรียญ และทองคำจำนวนหนึ่งให้อยู่กับศพ เพราะเชื่อว่าสัญลักษณ์ดังกล่าวจะนำพาความอุดมสมบูรณ์ในโลกหน้า
ในงาน จะมีการร่วมรับประทานอาหารช่วงกลางคืน มีการนำอาหารอาทิ เมล็ดแตงโม (โหดเยือ) ส้มตำ ข้าวเกรียบ (แบ๋งห์ดา) และข้าวต้ม (จ๋าวกว่าง) และของหวานเป็นบัวลอยลูกใหญ่มาบริการแขกผู้ร่วมงาน ผู้เข้าร่วมงานแต่งกายสีดำ และญาติผู้ตายจะแต่งกายตามแบบเวียดนาม คือ ลูกสาวต้องแต่งชุดสีขาว คือ สวมเสื้อขาว ผ้าถุงขาว สวมผ้าที่ทำคล้ายหมวกสวมยาวคลุมถึงไหล่ ส่วนลูกชายใส่ชุดสีขาวเช่นกัน มีผ้าโพกที่ศีรษะ และหลานของผู้ตายต้องส่วมเสื้อสีขาวและโพกผ้าสีขาวที่หัวด้วย การแต่งกายในพิธีศพของชาวเวียดนามเรียกว่า “อ้าวเต้” ทำมาจากผ้าดิบสีขาว หรือเรียกได้อีกชื่อว่าชุด “วายโท” (เหงียน ถิ ถ่าว, 2552) ในคืนสุดท้าย จะมีพิธีบอกผู้ตายให้ทราบ เรียกว่าพิธีเจี่ยนกิ่ว โดยเป็นการยกโลกศพ กลับหัวโลงศพหันศีรษะออกนอกบ้าน มีการเดินรอบโลงศพสามรอบ ทุกครั้งจะมีหัวหน้าชายฉกรรจ์คอยให้สัญญาณ โดยเคาะไม้เป็นจังหวะ และมีการตีฆ้องสลับกัน ทุกครั้งที่ตีญาติจะร้องไห้เสียงดังขึ้น เพื่อแสดงถึงความกตัญญูต่อผู้ตาย การเคลื่อนศพในอดีตจะใช้การแบกหาม แต่ปัจจุบันจะเปลี่ยนมาใช้รถ ในขบวนศพจะมีลูกชายคนโตของผู้ตายเดินนำหน้ารถบรรจุศพโดยเดินถอยหลังและไม่สวมรองเท้า ระหว่างทางมีการโปรยกระดาษเงินกระดาษทอง ระหว่างทางมีการหยุดพักเพื่อทำพิธี “ดีดาง” คล้ายการทำบังสุกุลของคนไทย มีการบริจาคเงินจากญาติผู้ตายตามศรัทธาแก่ศาลเจ้า สำหรับการฝังศพ ญาติจะจ้างคนมาขุดเตรียมไว้ นิยมขุดอยู่ในตระกูลหรือฮ่อของตนเอง เนื่องจากเชื่อว่าจะได้กลับมาเกิดในครอบครัวเดียวกันในภพหน้า ก่อนจะฝังศพ ไทกรุ๋งจะทำหน้าที่อ่านใบเบิกทางของผู้ตาย โดยใบเบิกทางนี้จะใช้แปะไว้ที่หน้าโลงศพเพื่อฝังลงไปพร้อมกัน จากนั้นก็จะนำศพลงฝัง มีช่างปูนก่อหลุมศพเพื่อสร้างเป็นฮวงซุ้ยต่อไป และเป็นอันเสร็จพิธี (จตุพร ดอนโสม, 2555)