-
ประวัติศาสตร์ของกลุ่มชาติพันธุ์
-
มิติประวัติศาสตร์ของกลุ่มชาติพันธุ์ :
ชาวอิ้วเมี่ยนเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ที่อาจมีอายุเก่าแก่เท่ากับกลุ่มชาวฮั่นหรือชาวจีน (พูเรต์, 2545: 5 อ้างถึงในประสิทธิ์ลีปรีชา และคณะ, 2547, หน้า 4 ) โดยมีถิ่นกำเนิดอยู่บริเวณหุบเขาลุ่มแม่น้ำเหลือง (หวงเหอ) ทางตอนเหนือของประเทศจีน เมื่อลงมาทางตอนใต้ของจีน ได้ถูกรุกรานจากภัยทางการเมืองจำนวนหลายครั้ง โดยเฉพาะในรอบหนึ่งร้อยปีของราชวงศ์หมิง เมื่อถูกกดดันและถูกปราบปรามอย่างรุนแรง ชาวอิ้วเมี่ยนส่วนหนึ่งจึงอพยพไปยังมณฑลกุ้วโจวและยูนนาน อีกส่วนหนึ่งได้อพยพไปยังประเทศเวียดนาม ลาว และอพยพมายังประเทศไทยหลังการสิ้นสุดของสงครามปลดแอกในประเทศลาวเมื่อ พ.ศ. 2518ชาวอิ้วเมี่ยนนับหมื่นได้อพยพไปตั้งถิ่นฐานในสหรัฐอเมริกา แคนาดา ฝรั่งเศส และบางประเทศในทวีปยุโรป (จันทรบูรณ์ สุทธิ และคณะ, 2539, หน้า 2-3)
บริบทการเคลื่อนสู่ดินแดนในล้านนา ชาวอิ้วเมี่ยนได้เริ่มอพยพสู่ภาคเหนือของประเทศไทยในระยะเวลาเดียวกันกับชาวม้ง เมื่อประมาณหนึ่งร้อยกว่าปีที่ผ่านมา โดยการเข้ามาสวามิภักดิ์ต่อเจ้าผู้ครองนครต่าง ๆ ในอาณาจักรล้านนาโดยเฉพาะเจ้าผู้ครองนครน่านที่ในระยะต่อมาได้แต่งตั้งนายจั่นควน แซ่เติ๋น ที่อยู่ดอยผาช้างน้อย (อำเภอปง จังหวัดพะเยา) เป็นพญาคีรีศรีสมบัติ ทำหน้าที่ปกครองชาวอิ้วเมี่ยนและกลุ่มชาติพันธุ์บนที่สูงอื่น ๆ ในพื้นที่บริเวณรอยต่อระหว่างจังหวัดน่านกับจังหวัดพะเยา (ประสิทธิ์ลีปรีชาและคณะ, 2547 หน้า 5 )
การแบ่งกลุ่มชาวอิ้วเมี่ยนในประเทศไทย สามารถพิจารณาจากเส้นทางการอพยพและช่วงเวลาที่เข้ามาตั้งถิ่นฐานในบริเวณดังกล่าวซึ่งทุกกลุ่มมีเส้นทางการอพยพมาจากประเทศลาวและตั้งถิ่นฐานในจังหวัดต่างๆ (มงคล จันทร์บำรุง, 2533;เครือข่ายวัฒนธรรมเมี่ยน, 2545) แบ่งออกเป็น 4 กลุ่ม ดังนี้
1) กลุ่มเชียงราย – น่าน เป็นกลุ่มแรกที่อพยพเข้ามาในประเทศไทยเมื่อประมาณ 150 ปีที่ผ่านมา ชนกลุ่มนี้เป็นชาวอิ้วเมี่ยนที่อพยพมาจากหลวงพระบาง เคลื่อนย้ายตามแนวชายแดนไทย – ลาว ตั้งแต่ทิศตะวันออกของจังหวัดน่านจนถึงเขตอำเภอเชียงคำ จังหวัดพะเยาและได้ตั้งถิ่นฐานอยู่บนภูเขาสูงในบริเวณดังกล่าว จากนั้นจึงกระจายตัวไปตั้งถิ่นฐานในพื้นที่ต่าง ๆ ในยุคที่การปกครองของล้านนายังเป็นระบบเจ้าเมืองนั้น ศูนย์กลางการปกครองอยู่ที่ดอยผาช้างน้อยและดอยภูลังกา
2) กลุ่มดอยอ่างขาง เป็นกลุ่มที่อพยพมาจากลาว เข้าสู่ประเทศไทยทางเขตอำเภอเชียงของ
จังหวัดเชียงราย-น่าน มีการตั้งถิ่นฐานบริเวณดอยอ่างขางและบริเวณใกล้เคียงกัน ทั้งในเขตประเทศไทยและประเทศพม่า รวมทั้งในจังหวัดเชียงใหม่ ในพื้นที่อำเภอฝาง อำเภอแม่อาย และจังหวัดเชียงรายในพื้นที่อำเภอเมือง และอำเภอแม่จัน
3) กลุ่มเชียงรายตอนบน เป็นกลุ่มที่มีถิ่นฐานเดิมอยู่ในแขวงห้วยทราย ประเทศลาว อพยพเข้าสู่ประเทศไทยบริเวณอำเภอเชียงแสน อำเภอเชียงของ และอำเภอแม่จัน จังหวัดเชียงราย เมื่อประมาณ 90 ปีที่ผ่านมา อิ้วเมี่ยนกลุ่มนี้ตั้งถิ่นฐานกระจายอยู่ในเขตอำเภอแม่จัน อำเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงราย อำเภอวังเหนือและอำเภองาว (บางหมู่บ้าน) จังหวัดลำปาง อำเภอคลองลาน จังหวัดกำแพงเพชร และอำเภอพบพระ จังหวัดตาก
4) กลุ่มผู้อพยพ เป็นกลุ่มที่ลี้ภัยทางการเมืองจากเมืองสิง แขวงหลวงน้ำทา ประเทศลาว โดยอพยพมาอยู่ที่บ้านห้วยขุนบง อำเภอแม่จัน จังหวัดเชียงราย เมื่อเกือบสามสิบปีที่ผ่านมา นอกจากที่บ้านห้วยขุนบงแล้วยังมีอิ้วเมี่ยนที่อพยพลี้ภัยทางการเมืองจากพื้นที่ต่าง ๆ ในประเทศลาวเข้ามาอยู่กับญาติในหมู่บ้านต่าง ๆ ของประเทศไทย และมีบางส่วนที่ลี้ภัยไปตั้งถิ่นฐานในประเทศอื่น
ในกรณีของชาวอิ้วเมี่ยนที่จังหวัดพะเยานั้น เป็นกลุ่มคนที่มีบรรพบุรุษอพยพมาจากประเทศจีนตอนใต้จากนั้นได้เดินทางข้ามแม่น้ำโขงมาตั้งถิ่นฐานในประเทศไทยเมื่อประมาณ 200 ปีที่ผ่านมา บรรพบุรุษชาวอิ้วเมี่ยนกับชาวม้ง เป็นกลุ่มชาติพันธุ์ผู้บุกเบิกมาอาศัยอยู่ในพื้นที่นี้ ซึ่งแต่ก่อนเป็นป่าทึบ จนกระทั่งมีกลุ่มชาวอิ้วเมี่ยนจากประเทศลาวจำนวนมากที่หนีภัยสงครามอินโดจีนมาอาศัยอยู่กับญาติที่หมู่บ้านในอำเภอปง จังหวัดพะเยา บรรพบุรุษรุ่นแรกที่อพยพมาประเทศไทยได้นำหนังสือเดินทางข้ามภูเขา “เจี่ยเซียนป๊อง” ฉบับจริงติดตัวมาหนังสือเล่มดังกล่าวจึงกลายเป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่บอกเล่าประวัติความเป็นมาของชาวอิ้วเมี่ยนที่สืบเชื้อสายมาจากเปี้ยนฮู่ง เทพสุนัขมังกร ผู้อาสากษัตริย์ผิงหวางไปสังหารกษัตริย์เกาหวาง จนประสบชัยชนะ กษัตริย์ผิงหวางจึงทรงแบ่งเมืองให้ปกครองและให้อภิเษกกับพระธิดาองค์ที่สามของพระองค์นับตั้งแต่นั้นมา เปี้ยนฮู่งจึงมีสถานะเป็นปฐมกษัตริย์องค์แรกของอาณาจักรอิ้วเมี่ยนและเป็นบรรพบุรุษผู้ให้กำเนิดชาวอิ้วเมี่ยนจักรพรรดิจีนในสมัยราชวงศ์ซ่งจึงมีพระบรมราชโองการให้สิทธิพิเศษแก่ชาวอิ้วเมี่ยน ในการละเว้นการถูกเรียกเก็บส่วยภาษี การเกณฑ์แรงงานและเกณฑ์ทหาร รวมถึงให้อิสระและสิทธิแก่ชาวอิ้วเมี่ยนในการเคลื่อนย้ายเพื่อเลือกหาที่ทำกินบนภูเขาทั่วราชอาณาจักรโดยชาวอิวเมี่ยนใช้หนังสือเดินทางข้ามภูเขา “เจี่ยเซียนป๊อง” เป็นใบเบิกทางในช่วงการเดินทางข้ามเขตแดน รวมถึงการใช้ในการขอสิทธิพิเศษต่าง ๆ ที่ชาวอิ้วเมี่ยนพึงได้รับตามที่ระบุไว้ในหนังสือเดินทางกับเจ้าเมือง (ว๊วน เซ็ง แซ่พ่าน, 2562 สัมภาษณ์)
นอกจากนี้ หนังสือเดินทาง “เจี่ยเซียนป๊อง” ยังได้จารึกถึงตำนานของเทพสุนัขมังกรที่อาสาเดินทางข้ามทะเลสาบไปสังหารกษัตริย์เกาหวาง และบอกเล่าถึงเรื่องราวการอพยพของชาวอิ้วเมี่ยนที่เดินทางจากมณฑลกวางตุ้งจนมาถึงลุ่มแม่น้ำโขงโดยจารึกด้วยอักษรจีนโบราณและอ่านเป็นภาษาอิ้วเมี่ยน (ปัจจุบันยากที่จะหาผู้รู้ภาษาจีนโบราณนี้ในกลุ่มชาวอิ้วเมี่ยนในประเทศไทย) โดยนายว๊วน เซ็ง แซ่พ่าน ได้ถอดความเนื้อหาส่วนหนึ่งในหนังสือเดินทาง “เจี่ยเซียนป๊อง” ฉบับคัดลอก ดังต่อไปนี้
“คนอิ้วเมี่ยนมีกระดูกและสายเลือดมาจากเทพสุนัขมังกร ...วันที่ประชุมนั้น กษัตริย์ผิงหวางตรัสถามว่า ผู้ใดจะอาสาข้ามทะเลสาบไปรบกับกษัตริย์เกาหวังบ้าง ขอให้ยกมือ แต่เมื่อประชุมเสร็จก็ไม่มีผู้ใดกล้าอาสาไป ในขณะนั้น เทพสุนัขมังกรหายตัวไปและมุ่งหน้าข้ามทะเลสาบ เพื่อไปสังหารกษัตริย์เกาหวาง”
อย่างไรก็ตาม ชาวอิ้วเมี่ยน เชื่อว่า หนังสือเดินทางฉบับจริง “เจี่ยเซียนป๊อง” มีเพียงฉบับเดียวตามประวัติศาสตร์เป็นที่เข้าใจว่า ปัจจุบันหนังสือเดินทางฉบับนี้ได้ถูกเก็บรักษาไว้ที่กำนันรุ่นแรกของชุมชนอิ้วเมี่ยนที่หมู่บ้านปางค่า ตำบลผาช้างน้อย อำเภอปง จังหวัดพะเยา ซึ่งปัจจุบันกำนันมีอายุ 90 ส่วนหนังสือเดินทางฉบับจริงนี้ที่ถูกเก็บรักษาไว้ โดยห้ามเปิดอย่างเด็ดขาด เพราะชาวอิ้วเมี่ยนมีความเชื่อว่า หากเปิดหนังสือเดินทางฉบับจริงจะทำให้เกิดเพศภัย ฝนตก ฟ้าร้อง อย่างไรก็ตาม ชาวอิ้วเมี่ยนบางส่วนได้จัดทำหนังสือเดินทางฉบับคัดลอกขึ้นหลายฉบับ ปัจจุบันผู้ที่ต้องการจะคัดลอกหนังสือเดินทางต้องเสียเงินค่าดำเนินการ 10,000 บาท ปัจจุบันหนังสือเดินทางฉบับคัดลอกได้ถูกเก็บรักษาโดยกำนันคนปัจจุบัน ทว่าไม่ปรากฏข้อมูลที่แน่ชัดว่า หนังสือเดินทางฉบับนี้ถูกคัดลอกมาตั้งแต่สมัยใดหนังสือเดินทางฉบับนี้มักจะถูกนำมาจัดแสดงต่อสาธารณชนเพื่อบอกเล่าถึงตำนานประวัติความเป็นมาของชาวอิ้วเมี่ยนตามงานประเพณีสำคัญเช่น งานปีใหม่ ที่มักจะจัดแสดงหนังสือเดินทางให้แก่นักท่องเที่ยว การนำไปจัดแสดงเมื่อมีรายการโทรทัศน์เดินทางมาถ่ายทำในชุมชน ทั้งนี้ หากชาวอิ้วเมี่ยนต้องการนำหนังสือเดินทางฉบับนี้ไปจัดแสดงในโอกาสพิเศษต่าง ๆ สามารถกระทำได้ โดยการทำเรื่องขออนุญาตจากกำนัน (ว๊วน เซ็ง แซ่พ่าน,2562: สัมภาษณ์)
-
วิถีชีวิต
-
รูปแบบการตั้งถิ่นฐาน :
รูปแบบการตั้งถิ่นฐาน
รูปแบบการตั้งถิ่นฐานของชาวอิ้วเมี่ยนในอดีต เป็นการตั้งถิ่นฐานแบบชั่วคราว วิถีชีวิตมีความสัมพันธ์กับการทำเกษตรแบบตัดฟันโค่นเผา ซึ่งจะต้องถางป่าเพื่อทำไร่ เมื่อใช้ที่ดินทำการเกษตรอย่างต่อเนื่องจะทำให้ดินเสื่อมความอุดมสมบูรณ์ ปริมาณป่าไม้และแหล่งอาหารในป่าลดลง ประกอบกับการขยายตัวของประชากร ได้ส่งผลให้พื้นที่ทำกินไม่เพียงพอ ชาวอิ้วเมี่ยนจึงต้องอพยพโยกย้าย เพื่อไปหาพื้นที่ทำกินที่มีความอุดมสมบูรณ์ การอพยพของชาวอิ้วเมี่ยนเกิดขึ้นจากการเคลื่อนย้ายของกลุ่มขนาดเล็ก ประมาณ 2-3 หลังคาเรือน หรือโยกย้ายเป็นกลุ่มเครือญาติที่ไปสมทบกับหมู่บ้านอื่น หรืออาจย้ายไปพร้อมกันทั้งหมู่บ้านเพื่อไปตั้งหมู่บ้านในพื้นที่ใหม่ (ประสิทธิ์ ลีปรีชา และคณะ, 2547, หน้า 7)
ในอดีตการตั้งหมู่บ้านของชาวอิ้วเมี่ยน มักจะเป็นการรวบรวมกันระหว่างกลุ่มแซ่ตระกูล หรือกลุ่มญาติพี่น้องโดยจะเลือกตั้งหมู่บ้านอยู่บนที่ราบตามไหล่เขา บริเวณต้นน้ำลำธารหรือบริเวณหุบเขา ที่มีความสูงจากระดับน้ำทะเล 1,000 – 5,000 เมตร และต้องเป็นบริเวณที่มีน้ำอุดมสมบูรณ์สามารถนำเข้ามาใช้ในหมู่บ้าน อิ้วเมี่ยนนิยมสร้างบ้านหันหน้าออกจากภูเขา หรือมักจะอยู่ทางทิศตะวันออกของภูเขา โดยจะปลูกบ้านเรียงรายตามแนวสันเขา เพราะตามประเพณีจะไม่นิยมปลูกซ้อนกันเพื่อป้องกันบ้านไปซ้อนทับกับประตูผีบ้านบุคคลอื่นซึ่งชาวอิ้วเมี่ยนเชื่อว่า สิ่งชั่วร้ายที่ถูกขับไล่ออกทางประตูผีจะไปเข้าบ้านที่อยู่ตรงกับประตูผีในระยะใกล้ ๆ (เครือข่ายวัฒนธรรมอิ้วเมี่ยน, 2545)
ตามประเพณีอิ้วเมี่ยนนิยมปลูกบ้านคร่อมดิน โดยใช้พื้นดินเป็นพื้นบ้าน ผังของบ้านมีลักษณะเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าด้านยาวเป็นหน้าบ้านและหลังบ้านด้านหน้ามีประตูผีบานหนึ่ง เรียกว่า “ประตูใหญ่” หรือ “ประตูผี” (ต้มแก้ง) ที่มักปิดตลอดเวลา จะเปิดในกรณีที่มีการทำพิธีขับไล่สิ่งชั่วร้ายออกจากบ้าน(ซุ่น ป้าย) นำศพของผู้อาวุโสออกจากบ้าน นำเจ้าสาวออกจากบ้าน (ยกเว้นเจ้าสาวที่เกิดเดือน 5, 7) และนำเจ้าสาวเข้าบ้านด้านกว้างของทั้งสองด้านจะมีประตูด้านละหนึ่งประตู เปิดเพื่อใช้เข้าออกในชีวิตประจำวันด้านยาวที่ไม่มีประตูนั้นจะกั้นเป็นห้องนอนหลายห้องยาวตลอด โดยจะเหลือที่ว่างไว้ มีขนาดกว้างกว่าห้องนอนภายในบ้านด้านตามยาวจะแบ่งออกเป็น 2 ส่วนโดยจะถือเสากลางบ้านเป็นหลักส่วนด้านประตูใหญ่ (ประตูศักดิ์สิทธิ์) จะเป็นส่วนของผู้ชายซึ่งใช้สำหรับต้อนรับแขก และประกอบพิธีกรรมต่าง ๆ ส่วนที่เหลือจะเป็นส่วนของผู้หญิงที่จะใช้เป็นที่ทำอาหารสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในบ้านมีหิ้งบูชา (เมี้ยน ป้าย) ซึ่งจะอยู่ตรงข้ามกับประตูใหญ่ (ประตูศักดิ์สิทธิ์)
สำหรับบ้านของบุคคลที่เคยผ่านพิธีโต่วไซ หรือผู้ที่มีรูปเทพสามดาวนั้นหิ้งบูชาจะมีลักษณะเป็นตู้ เรียกว่า “เมี้ยน เตี้ย หลง”ใช้สำหรับเชิญดวงวิญญาณบรรพบุรุษมาสิงสถิตเพื่อการเซ่นไหว้ในส่วนของวัสดุที่ใช้สร้างบ้านแบบดั้งเดิมมักจะใช้วัสดุที่พอหาได้ในแต่ละท้องถิ่นหลังคามุงด้วยใบหวาย หญ้าคา ไม้ไผ่ผ่าครึ่งประกบกัน หรือใช้ไม้เนื้อแข็งผ่าเป็นแผ่นบาง ๆ มุงเหมือนกระเบื้องส่วนฝาบ้านจะใช้ไม้เป็นแผ่นหรือไม้ไผ่ทุบปล้องเสาบ้านนิยมใช้ไม้เนื้อแข็งในการสร้างบ้านหัวหน้าครัวเรือนจะเป็นผู้เลือกสถานที่แล้วจะบอกให้สมาชิกในครอบครัวทราบ หากคนในครอบครัวมีความพึงพอใจจะทำพิธีเสี่ยงทายดูว่า สิ่งศักดิ์สิทธิ์ (เจ้าที่) มีความพึงพอใจหรือไม่โดยปกติแล้วในการสร้างบ้าน ญาติพี่น้องจะมาช่วยกัน ฝ่ายชายจะช่วยแรงงานในการก่อสร้างและหาวัสดุก่อสร้าง ผู้หญิงจะหุงหาอาหารแก่ผู้ที่มาช่วยงาน เมื่อปลูกเสร็จแล้วจะเลือกวันดีเพื่อทำพิธีขึ้นบ้านใหม่ข้างนอกบ้านโดยจะเชิญวิญญาณบรรพบุรุษมาช่วยดูแลลูกหลานจากนั้นจะนำไปเข้าในบ้านและเชิญญาติพี่น้องผู้อาวุโส และกลุ่มคนที่มาช่วยสร้างบ้านมาร่วมรับประทานอาหาร จึงเป็นอันเสร็จพิธี (เครือข่ายวัฒนธรรมอิ้วเมี่ยน, 2547, หน้า 50 - 51)
ชาวอิ้วเมี่ยนจะไม่นิยมปลูกสิ่งก่อสร้างไว้หลังบ้าน ด้านที่ไม่มีประตูจะอนุญาตให้มีเฉพาะเสาค้ำรางรินหรือท่อน้ำที่ต่อมาใช้บริโภคในบ้านเท่านั้น เพราะเชื่อว่าด้านหลังบ้านเป็นที่อยู่อาศัยของเทพผู้ดูแลน้ำ ซึ่งนำความชุ่มชื้นให้แก่ผู้อาศัยในบ้านส่วนสิ่งก่อสร้างอื่น เช่น ยุ้งข้าว เล้าหมู จะสร้างไว้ด้านหน้า(ด้านประตูใหญ่) บริเวณข้างบ้านจะมีสวนครัวเล็ก ๆ ปลูกพืชผักสวนครัวเพื่อการบริโภคในครัวเรือน (เครือข่ายวัฒนธรรมอิ้วเมี่ยน, 2547, หน้า 51)
ปัจจุบัน บ้านเรือนของชาวอิ้วเมี่ยนมีการก่อสร้างด้วยวัสดุที่คงทนถาวรมากขึ้น เช่น ไม้เนื้อแข็ง ปูนซีเมนต์ อิฐ รูปแบบการก่อสร้างมี 2 ลักษณะ การปลูกบ้านจะนิยมยกพื้นเหมือนบ้านคนพื้นราบ วัสดุที่ใช้เป็นไม้ทั้งหลังหรือตึก หลังคามุงด้วยกระเบื้อง หรือสังกะสีและมีบางส่วนที่ปลูกค่อมดิน ซึ่งพัฒนามาจากบ้านแบบดั้งเดิม แต่ได้เปลี่ยนวัสดุที่ใช้ในการปลูกสร้างจากไม้ไผ่หญ้าคามาเป็นกระเบื้อง สังกะสีแทน (เครือข่ายวัฒนธรรมอิ้วเมี่ยน, 2547, หน้า 51)
การดำรงชีพ :
การดำรงชีพ
จากเงื่อนไขด้านเศรษฐกิจ ประกอบกับความไม่สงบทางการเมืองในประเทศจีน ส่งผลให้ชาวอิ้วเมี่ยนเริ่มเคลื่อนย้ายจากบริเวณภาคกลางสู่ภาคตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศจีน โดยการอาศัยปะปนกับกลุ่มชาติพันธุ์อื่นที่อาศัยอยู่ก่อน หลายกลุ่มชาติพันธุ์มีการทำเกษตรแบบตัดฟันโค่นเผาส่งผลทำให้ปริมาณที่ทำกินไม่เพียงพอชาวอิ้วเมี่ยนจึงการกระจายตัวออกเป็นกลุ่มย่อยหลายกลุ่ม และอพยพเข้าสู่ทางตอนเหนือของประเทศเวียดนาม ลาว และไทยต่อมาในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 19 ชาวอิ้วเมี่ยนได้รับเอาวัฒนธรรมการปลูกฝิ่นเช่นเดียวกับกลุ่มชาติพันธุ์อื่น ๆ ในมณฑลกวางสี มณฑลยูนนาน ในภาคเหนือของประเทศเวียดนาม
ประเทศลาว รัฐฉานในประเทศพม่า รวมถึงประเทศไทย จนกลายเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ที่ชำนาญการปลูกฝิ่น ในช่วงเวลานั้นฝิ่นจึงเป็นพืชเศรษฐกิจชนิดเดียวของชาวอิ้วเมี่ยนที่ช่วยทำให้ชีวิตความเป็นอยู่ของพวกเขามีความสะดวกสบายมากขึ้น (พูเรต์, 2545, หน้า 14)
นับตั้งแต่นั้นมา เหตุผลหลักในการเลือกที่ตั้งถิ่นฐานของชาวอิ้วเมี่ยนจึงเป็นการเลือกพื้นที่ที่เหมาะสมกับการปลูกฝิ่น เป็นอันดับแรก รองลงมาจึงจะเป็นการเลือกพื้นที่ที่เหมาะสมสำหรับการปลูกข้าวไร่และข้าวโพด ซึ่งเป็นพืชอาหารหลักดั้งเดิม เนื่องจากการปลูกฝิ่นจะต้องปลูกบนพื้นที่สูง มีทิศทาง ทำเลที่ถูกต้อง และใช้ดินที่มีลักษณะเฉพาะ ชาวอิ้วเมี่ยนจึงนิยมตั้งหมู่บ้านอยู่บนไหล่เขา เนื่องจากมีความเชื่อว่า บนยอดเขาหรือสันเขาเป็นบริเวณที่ง่ายต่อการปะทะทั้งลมและฝน อีกทั้ง การมีแหล่งน้ำที่ต้องอยู่สูงกว่าตำแหน่งที่ตั้งหมู่บ้าน เพื่อใช้สำหรับรางรินต่อน้ำเข้ามาใช้ในหมู่บ้านและมีภูเขาล้อมรอบ นอกจากนี้ พื้นที่เป้าหมายที่เหมาะสมกับการปลูกฝิ่นจะต้องอยู่ห่างไกลจากบริเวณที่มีประชากรอยู่กันอย่างหนาแน่น ที่ดินแปลงหนึ่งสามารถปลูกฝิ่นได้เป็นเวลา 8 -10 ปี บางแห่งสามารถปลูกได้นานถึง 20 ปี เมื่อที่ดินบริเวณหมู่บ้านหมดความอุดมสมบูรณ์ชาวอิ้วเมี่ยนต้องอพยพไปหาที่ทำกินใหม่ (เครือข่ายวัฒนธรรมอิ้วเมี่ยน, 2545, 7, 16, 48; พูเรต์, 2545, หน้า 14)
อย่างไรก็ตาม เมื่อชาวอิ้วเมี่ยนอพยพมาตั้งถิ่นฐานในประเทศไทยกระจัดกระจายบริเวณภาคเหนือตอนบน ในช่วง 200 ปีที่ผ่านมา วิถีการดำรงชีพแบบเคลื่อนย้ายของชาวอิ้วเมี่ยนจึงต้องยุติลง เมื่อพื้นที่ชายแดนบริเวณนั้นถูกควบคุมกำกับภายใต้รัฐชาติ รวมทั้งการเผชิญกับการแผ่ขยายของระบบรัฐชาติของไทย จักรวรรดินิยมตะวันตก สงครามเย็นเงื่อนไขเหล่านี้ทำให้ชาวอิ้วเมี่ยนต้องปรับตัวตั้งถิ่นฐานแบบถาวรหรือมีการเคลื่อนย้ายเฉพาะอยู่ในขอบเขตประเทศที่ตนอยู่ ภายใต้พื้นที่ที่จำกัดทำให้ไม่สามารถดำรงชีพแบบเคลื่อนย้ายได้ดังเช่นอดีต(พูเรต์, 2545, หน้า 15)
จากนั้น ได้เกิดการผลักดันให้ชาวอิ้วเมี่ยนมีการตั้งถิ่นฐานถาวรในพื้นราบนับแต่ต้นทศวรรษ 2500 เป็นต้นมา ภายใต้เงื่อนไข 2 ประการ ดังนี้
ประการแรก การดำเนินนโยบายปราบปรามลัทธิคอมมิวนิสต์ เนื่องจากในช่วงเวลาดังกล่าวพื้นที่ป่าภาคเหนือหลายแห่งได้กลายเป็นฐานปฏิบัติการเคลื่อนไหวต่อต้านรัฐบาลของขบวนการคอมมิวนิสต์ที่ได้แทรกซึมเข้าไปในชุมชนกลุ่มชาติพันธุ์ต่าง ๆ รัฐบาลไทยจึงเกรงว่าชาวบ้านจะหันไปฝักใฝ่คอมมิวนิสต์ จึงสั่งให้อพยพลงมายังพื้นราบ เพื่อให้หน่วยงานของรัฐสามารถควบคุมสถานการณ์และให้ความช่วยเหลือได้ง่าย ในขณะเดียวดันมีต่ชาวบ้านบางส่วนที่สมัครใจอพยพมาตั้งถิ่นฐานในพื้นราบเพื่อหนีภัยจากการสู้รบระหว่างทหารไทยกับฝ่ายคอมมิวนิสต์ตามแนวชายแดนไทย-ลาว (ประสิทธิ์ ลีปรีชา และคณะ, 2547, หน้า 7, 25)ชาวอิ้วเมี่ยนหลายหมู่บ้านจากบริเวณภาคเหนือตอนบนได้ถูกทางการอพยพให้ไปอยู่ที่คลองลาน จังหวัดกำแพงเพชรซึ่งเป็นพื้นที่ทำกินที่มีความอุดมสมบูรณ์ ชาวอิ้วเมี่ยนกลุ่มแรกจึงชักชวนให้คนอื่นอพยพตามมาอย่างต่อเนื่อง ต่อมาเมื่อทหารได้สร้างเส้นทางยุทธศาสตร์จาก อำเภอคลองลาน ไปยัง อำเภออุ้มผาง จังหวัดตาก หน่วยงานของรัฐจึงชักชวนให้ชาวบ้านไปถางป่าทำไร่ข้าวโพด ในรัศมีหนึ่งกิโลเมตรตามสองข้างทางเพื่อเป็นการยึดพื้นที่จากคอมมิวนิสต์และป้องกันไม่ให้เกิดอันตรายกับทหารและเจ้าหน้าที่จากบริษัทรับเหมาก่อสร้างเส้นทางชาวอิ้วเมี่ยนจากทั่วประเทศจึงอพยพไปทำไร่ข้าวโพดที่อุ้มผาง จนกระทั่งภายหลังจากการประกาศนโยบาย 66/23 ให้คอมมิวนิสต์มอบตัวกับทางการทางราชการจึงบังคับให้ชาวอิ้วเมี่ยนที่เข้าไปทำไร่ข้าวโพดอพยพออกจากพื้นที่ทั้งหมดในปี พ.ศ.2527 (ประสิทธิ์ ลีปรีชา และคณะ, 2547, หน้า 91)
ประการที่สอง การดำเนินมาตรการเด็ดขาดในการห้ามปลูกฝิ่น และส่งเสริมการปลูกพืชพาณิชย์เชิงเดี่ยว รวมทั้งการดำเนินนโยบายขจัดคนออกจากป่าของรัฐบาล ส่งผลทำให้ชาวอิ้วเมี่ยนไม่สามารถเคลื่อนย้ายเพื่อทำการเกษตรแบบตัดฟันโค่นเผาและปลูกฝิ่นได้อีกต่อไปและจำเป็นต้องตั้งถิ่นฐานอย่างถาวร พร้อมทั้งปรับเปลี่ยนรูปแบบการดำรงชีพเป็นการเพาะปลูกพืชพาณิชย์เชิงเดี่ยว
อย่างไรก็ตาม เมื่อประสบความล้มเหลวในการทำเกษตรแบบทันสมัยบนพื้นที่สูงในชุมชน ประกอบกับชุมชนอิ้วเมี่ยนบางส่วนถูกรัฐบาลผลักดันให้ย้ายออกจากพื้นที่เขตป่าสงวนชาวอิ้วเมี่ยนจำนวนมากจึงเคลื่อนย้ายเข้ามาหาอาชีพทางเลือกในเมือง โดยเคลื่อนย้ายทั้งในระดับครอบครัวและระดับปัจเจกบุคคลกระจายตัวไปยังเขตเมืองในภาคเหนือและภาคกลางเป็นส่วนใหญ่ แต่ก็มีกลุ่มเล็ก ๆ ที่กระจายตัวไปภาคอีสาน (จ.ร้อยเอ็ด ศรีษะเกษ อุบลราชธานี) และภาคใต้ (บ้านในกรัง อ.กระบุรี จ.ระนอง) (ประสิทธิ์ ลีปรีชา และคณะ, 2547, หน้า 48; พรชัย เอี่ยมโสภณ, 2015) เมื่อสามารถปรับตัวเข้ากับระบบเศรษฐกิจแบบตลาดและวิถีชีวิตในเมืองได้อย่างดีชาวอิ้วเมี่ยนจำนวนมากจึงเลือกตั้งถิ่นฐานอย่างถาวรในเมืองโดยกลุ่มที่ทำธุรกิจการค้ามักเลือกตั้งถิ่นฐานในพื้นที่ที่เหมาะสมกับการเป็นทำเลการค้าแต่ไม่ไกลจากหมู่บ้านเดิมของตนมากนัก เช่น จังหวัดเชียงใหม่ จังหวัดเชียงราย ในขณะที่บางส่วนอพยพไปเป็นแรงงานในต่างประเทศ อาทิเช่น ฮ่องกง ไต้หวัน และเกาหลีใต้
จากที่กล่าวมาข้างต้นจะเห็นว่า วิถีการดำรงชีพดั้งเดิมของชาวอิ้วเมี่ยนที่เป็นการทำเกษตรแบบยังชีพ (Subsistence Agriculture) มีการปลูกพืชเพื่อสนองความต้องการของสมาชิกภายในชุมชนเท่านั้น เนื่องจากชุมชนตั้งอยู่กระจัดกระจายห่างจากเส้นทางคมนาคมผลผลิตที่เกิดขึ้นภายในชุมชนมีการใช้หรือแลกเปลี่ยนกันภายในชุมชนเท่านั้น (จันทรบูรณ์ สุทธิ, 2539, หน้า 229)ชาวอิ้วเมี่ยนในแต่ละครอบครัวจะมีไร่เป็นของตนเอง โดยทำการเกษตรแบบไร่หมุนเวียน (rotation cultivation) จะเน้นการตัดฟันโค่นเผาเพื่อปลูกพืชเพื่อไว้บริโภค โดยเฉพาะข้าวไร่ซึ่งปลูกไว้สำหรับบริโภคภายในครอบครัวเท่านั้น หากเหลือจึงนำไปขายส่วนพืชอื่นจะปลูกไว้รับประทานภายในครัวเรือน เช่น ผักขม ผักกาด มัน กล้วย ส่วนพืชบางชนิดปลูกไว้สำหรับเลี้ยงสัตว์ เช่น ข้าวโพด
อย่างไรก็ตาม เมื่อชาวอิ้วเมี่ยนได้อพยพเข้ามาอยู่ในประเทศไทยได้รับวัฒนธรรมการปลูกฝิ่นเช่นเดียวกับกลุ่มชาติพันธุ์อื่นๆ ในตอนใต้ของประเทศจีนนับตั้งแต่นั้นมา ฝิ่นจึงกลายเป็นพืชเศรษฐกิจหลักชนิดเดียวที่ทำรายได้ให้กับครอบครัว โดยชาวอิ้วเมี่ยนนิยมปลูกฝิ่นในไร่ข้าว ฝิ่นสามารถเจริญเติบโตได้ดีและเป็นพืชที่ไม่ทำให้ดินเสื่อมเร็ว จึงสามารถปลูกได้หลายปีติดต่อกันนับตั้งแต่นั้นมา ระบบการผลิตของชาวอิ้วเมี่ยนจึงเปลี่ยนไปเป็นระบบการเกษตรแบบกึ่งยังชีพ (Semi -Subsistence Agriculture)นอกจากการเพาะปลูกแล้ว ชาวอิ้วเมี่ยนยังมีการเลี้ยงสัตว์ เพื่อทำพิธีกรรม ภายหลังจากการใช้สัตว์เพื่อประกอบพิธีกรรมจึงจะสามารถนำมารับประทานได้สัตว์ที่ชาวอิ้วเมี่ยนนิยมเลี้ยง เช่น หมู ไก่ และม้าสำหรับขนสัมภาระในการเดินทางด้วยวิถีการผลิตแบบเกษตรเพื่อยังชีพของชาวอิ้วเมี่ยนที่ต้องพึ่งพิงแรงงานในครอบครัวแบบขยายเป็นหลัก จึงก่อให้เกิดความจำเป็นที่ต้องจัดวางโครงสร้างสังคมและบทบาททางเพศสภาพที่เชื่อมโยงกับการจัดการแรงงานผู้ชายเป็นเจ้าของปัจจัยการผลิต (ที่ดิน) และมีอำนาจตัดสินใจในเรื่องการผลิตและการจำหน่ายงานของผู้ชายจึงเกี่ยวข้องกับการฟันต้นไม้เล็กจำพวกหญ้า ไผ่ อ้อย ขุดดิน เก็บผลผลิต ซึ่งสังคมอิ้วเมี่ยนยกย่องว่า งานของผู้ชายได้รับการยกย่องว่าเป็นงานที่มีคุณค่า ศักดิ์ศรีส่วนผู้หญิงถูกควบคุมในฐานะแรงงานผู้ผลิต และทำงานที่ไม่ต้องใช้แรงงานมากเมื่อเปรียบเทียบกับผู้ชาย เช่น ฟันต้นไม้เล็ก จำพวกหญ้า ไผ่ อ้อย ขุดดิน เก็บผลผลิต (วิสุทธิ์ เหล็กสมบูรณ์, 2545, หน้า 130)
สำหรับสมาชิกในครัวเรือน ก่อนวัยแรงงานหรือหลังวัยแรงงานยังสามารถเป็นหน่วยในการผลิตของครัวเรือน โดยเด็กมักจะช่วยงานผู้หญิง ส่วนผู้สูงอายุสามารถช่วยงานในกิจกรรมที่ไม่ต้องใช้แรงงานมาก หรือต้องใช้ความชำนาญมากนัก เช่น การกรีดฝิ่น หรือการปราบศัตรูพืช(สถาบันวิจัยชาวเขา, 2539, หน้า 217) นอกจากนี้ ชาวอิ้วเมี่ยนยังพึ่งพิงแรงงานหลักตามจารีตประเพณี ทั้งแรงงานแลกเปลี่ยน ซึ่งเป็นแรงงานจากกลุ่มเครือญาติย่อย หรือกลุ่มผู้คุ้นเคยที่มีพื้นที่ทำกินใกล้เคียง เพื่อขอให้มาช่วยงานในช่วงตัดฟันโค่นต้นไม้ การปลูกพืช การบำรุงรักษา และการเก็บเกี่ยวส่วนแรงงานลงแขกมักจะเกิดขึ้นกับครัวเรือนที่มีวัยแรงงานจำนวนน้อย ในการลงแขกเจ้าของไร่จะต้องเตรียมอาหารให้แก่ผู้มาช่วยงาน ซึ่งแตกต่างจากแรงงานแลกเปลี่ยนที่ผู้มาช่วยงานต้องเตรียมอาหารมาเองสำหรับแรงงานรับจ้างมักจะจ้างเฉพาะการปลูกฝิ่นเท่านั้น ผู้รับจ้างมีทั้งคนในชุมชนและคนนอกชุมชนส่วนใหญ่เป็นผู้ที่ติดฝิ่น การจ่ายค่าจ้างมีทั้งเงินสด ผลผลิตการเกษตร เช่น ข้าวเปลือก ฝิ่นดิบ ตามแต่จะตกลงกัน (สถาบันวิจัยชาวเขา, 2539, หน้า 217 - 220)
นอกจากนี้ชาวอิ้วเมี่ยนยังมีการตีเครื่องเงิน ซึ่งถือเป็นเครื่องประดับยอดนิยมของชาวอิ้วเมี่ยนที่จะใส่เฉพาะในงานรื่นเริง และสามารถใช้เงินแท่งสำหรับเป็นสินสอดให้เจ้าสาวได้อีกด้วยอาชีพการทำเครื่องเงินเป็นอาชีพพิเศษที่สามารถทำได้เฉพาะเฉพาะบุคคลเท่านั้นเนื่องจากเครื่องเงินของอิ้วเมี่ยนจะมีลวดลายพิเศษเฉพาะตัวที่บอกเล่าความเป็นมาของกลุ่มชาติพันธุ์ที่กลุ่มชาติพันธุ์อื่นไม่สามารถทำเลียนแบบได้ส่วนใหญ่ผู้ชายจะทำเครื่องเงินไปขายทั้งคนในหมู่บ้านและนอกหมู่บ้านอย่างไรก็ตาม หากผู้หญิงต้องการมีรายได้เสริมก็สามารถทำได้โดยการรับจ้างปักผ้า หรือตัดเย็บเสื้อผ้า บางส่วนมีรายได้เสริมจากการทำกระดาษที่ใช้ในพิธีทำบุญเซ่นไหว้ผี ซึ่งเป็นกระดาษที่ทำมาจากเปลือกไม้อ่อนต้มกับปูนขาว จนเปลือกไม้อ่อนตัวก็นำไปทุบ และตากบนผ้าจนกลายเป็นแผ่นกระดาษ
ในด้านกิจกรรมซื้อขายแลกเปลี่ยนในอดีต ผู้ชายอิ้วเมี่ยนจะแบกข้าวสารและฝิ่นดิบ เดินทางเท้าเปล่าหรือใช้ม้าลงจากดอยไปยังตลาดในเมือง เพื่อขายผลผลิตเหล่านี้และนำเงินที่ได้มาซื้อเกลือ กระดาษเพื่อทำพิธีกรรม ผ้า เทียนไข เงินแท่ง สำหรับทำเป็นเครื่องประดับหรือเก็บไว้เป็นทุนทรัพย์และสิ่งจำเป็นอื่น ๆ ที่ชาวอิ้วเมี่ยนไม่สามารถผลิตเองได้อย่างไรก็ตาม ในบางครั้งชาวอิ้วเมี่ยนก็สามารถหาซื้อสินค้าเหล่านี้จากพ่อค้าชาวจีนฮ่อที่ขี่ม้านำสินค้าไปขายในหมู่บ้าน หรืออาจซื้อจากชนกลุ่มอื่นที่อยู่ใกล้เคียงกัน (เหยนเกี๋ยว แซ่เติ๋น,2561: สัมภาษณ์)
อย่างไรก็ตาม การเข้ามาของอำนาจรัฐไทยและกระแสโลกาภิวัตน์ ตั้งแต่ช่วงต้นทศวรรษ 2500 เป็นต้นมา ได้ผลักดันให้ชาวอิ้วเมี่ยนต้องปรับเปลี่ยนโครงสร้างทางเศรษฐกิจของตนเอง จากระบบการเกษตรแบบกึ่งยังชีพที่มีฝิ่นนเป็นพืชเศรษฐกิจ ได้เลิกปลูกฝิ่นและหันมาปลูกพืชเชิงเดี่ยวมากขึ้นในระยะแรก ชาวอิ้วเมี่ยนบ้านห้วยเฟือง จังหวัดพะเยา นิยมปลูกฝ้าย แต่ทว่า การปลูกฝ้ายเป็นงานที่หนักและต้องใช้แรงงานคนจำนวนมาก อีกทั้งไม่ใช่พืชเศรษฐกิจที่ให้ราคาดีเมื่อเปรียบเทียบกับพืชเศรษฐกิจอื่น ๆต่อมาเมื่อมีการผลิตใยสังเคราะห์ทดแทนฝ้าย ชาวบ้านจึงหันมาปลูกพืชเศรษฐกิจอื่นที่ทำรายได้ดีกว่า โดยเฉพาะลิ้นจี่ ส้ม กาแฟส่วนใหญ่ชาวบ้านได้รับการถ่ายทอดวิธีการปลูกและดูแลกับการซื้อกิ่งพันธุ์จากคนพื้นราบและคนจีนที่อยู่ในเมืองบางส่วนได้เข้าอบรมอาชีพกับกรมประชาสังเคราะห์ เช่น การผลิตกาแฟหรือการตัดเย็บเสื้อผ้าสำเร็จรูปในขณะเดียวกันมีชาวอิ้วเมี่ยนส่วนน้อยที่เริ่มผันเปลี่ยนอาชีพจากเกษตรกรมาเป็นพ่อค้าคนกลางรับซื้อพืชผลการเกษตรจากชาวอิ้วเมี่ยนด้วยกัน รวมถึงกลุ่มชาติพันธุ์อื่นในละแวกใกล้เคียงเพื่อไปขายให้กับตลาดในเมือง (ประสิทธิ์ ลีปรีชา และคณะ, 2547; จุฑารัตน์ โชติชัยชุติมา, 2562: สัมภาษณ์)
ด้วยวิถีการเกษตรแบบสมัยใหม่ทำให้ชาวอิ้วเมี่ยนต้องใช้เทคโนโลยีการผลิตแบบใหม่และใช้การจ้างงานญาติหรือเพื่อนบ้านที่ไม่มีสวนของตนเอง แทนการใช้แรงงานตามจารีตประเพณีเนื่องด้วยปัจจัยหลายประการ เช่น การถือครองพื้นที่มาก ในขณะที่ครัวเรือนมีขนาดเล็กลง ซึ่งเป็นผลมาจากการแยกตัวจากครัวเรือนใหญ่เร็วขึ้น ประกอบกับอัตราการเกิดของประชากรลดลง หรือพื้นที่มีความเหมาะสมกับการใช้เครื่องมือทุ่นแรงที่สะดวกและรวดเร็วกว่าการใช้แรงงานคน(สถาบันวิจัยชาวเขา, 2539, หน้า 224)นอกจากนี้ ชาวบ้านยังได้เริ่มกู้ยืมค่าอุปกรณ์เกษตร ปุ๋ย และสารเคมี ทั้งในรูปแบบการกู้ยืมนอกระบบจากพ่อค้าในเมือง และกู้ยืมในระบบจากธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์ (ธกส.) (ประสิทธิ์ ลีปรีชา และคณะ, 2547, หน้า 43)อย่างไรก็ตาม เมื่อชาวบ้านเริ่มมีรายได้จากการปลูกพืชเศรษฐกิจมากขึ้น ลูกหลานจึงแยกครอบครัวมาปลูกบ้านหลังใหม่ในละแวกใกล้เคียงกันทำให้หมู่บ้านมีการขยายตัวมากขึ้นในทางตรงกันข้ามการเปลี่ยนแปลงข้างต้นส่งผลให้แรงงานในครัวเรือนที่เป็นแรงงานหลักในภาคเกษตรลดลง ครอบครัวเดี่ยวส่วนใหญ่จึงหันมาปลูกเฉพาะพืชเศรษฐกิจเชิงเดี่ยว เนื่องจากขาดแคลนแรงงานจากนั้นจะนำเงินจากการขายผลผลิตการเกษตรไปซื้อพืชเหล่านั้นจากชาวบ้านในหมู่บ้านเดียวกันในขณะที่ครอบครัวขยายยังคงปลูกพืชอาหารหลักเช่นเดิม (จุฑารัตน์ โชติชัยชุติมา, 2562: สัมภาษณ์)
เมื่อชาวบ้านเริ่มมีรายได้จากการปลูกพืชเศรษฐกิจมากขึ้นทำให้เศรษฐกิจของชุมชนเฟื่องฟูขึ้น กระแสวัฒนธรรมบริโภคนิยมจึงเริ่มแพร่หลายในชุมชนเห็นได้จากจำนวนร้านขายของชำในหมู่บ้าน รถยนต์ รถจักรยานยนตร์ เครื่องใช้ไฟฟ้า ที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะการเพิ่มขึ้นของจำนวนโทรทัศน์แม้จะช่วยให้ชาวบ้านได้รับข่าวสารจากโลกภายนอกมากขึ้น แต่ก็ส่งผลทำให้ชาวบ้านมีโอกาสพบปะพูดคุยกันน้อยลง (ประสิทธิ์ ลีปรีชา และคณะ, 2547,43,45)นอกจากนี้ การพัฒนาด้านการคมนาคมที่มีการก่อสร้างถนนเชื่อมโยงระหว่างหมู่บ้านกับตัวเมือง ยิ่งส่งผลทำให้ปฏิสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจระหว่างชาวอิ้วเมี่ยนบนดอยและคนเมืองพื้นราบเป็นไปอย่างคึกคักมากยิ่งขึ้นจากเดิมที่หมู่บ้านห้วยเฟืองจะมีพ่อค้าจีนฮ่อขี่ม้ามาขายสินค้า ต่อมาเมื่อมีการก่อสร้างถนนตัดผ่านถึงหมู่บ้านก็มักจะมีรถเร่ขายสินค้าจากอำเภอเชียงคำและจังหวัดใกล้เคียงเข้ามาในชุมชน ในขณะที่ชาวบ้านบางส่วนเริ่มมีรถยนต์เป็นของตนเอง จึงสามารถเดินทางลงจากดอยไปซื้ออาหารและของใช้ที่ตลาดในอำเภอเชียงคำได้ทั้งนี้ แม้ว่าชาวบ้านจะมีรายได้เพิ่มขึ้น แต่ก็มีค่าใช้จ่ายในการทำเกษตรแบบทันสมัยเพิ่มมากขึ้น ดังนั้น ชาวบ้านที่ออมเงินไว้ที่ธนาคารหรือออมในรูปแบบการทำประกันชีวิตจึงไม่มากนักแต่ยังมีบางส่วนที่มีการออมเงินแบบวิถีจารีตดั้งเดิมโดยการนำเงินสดไปซื้อเครื่องเงิน ซึ่งสามารถนำไปเป็นหลักทรัพย์สำหรับการจำนำได้เมื่อยามจำเป็น อีกทั้งยังสามารถนำไปเป็นสินสอดในการสู่ขอลูกสะใภ้ได้ด้วย (ประสิทธิ์ ลีปรีชา และคณะ, 2547, หน้า40)
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าการทำการเกษตรแบบสมัยใหม่จะทำให้วิถีชีวิตความเป็นอยู่ของชาวอิ้วเมี่ยนดีขึ้น แต่นัยหนึ่งกลับทำให้ชาวอิ้วเมี่ยนจำนวนมากต้องประสบกับภาวะหนี้สินในครัวเรือนสูงขึ้น เนื่องจากต้นทุนในการผลิตที่สูงจากการลงทุนซื้อเครื่องจักรการเกษตร ปุ๋ย และสารเคมี อีกทั้ง การทำเกษตรเป็นงานที่ใช้แรงงานหนัก ในขณะที่ผลผลิตที่ได้กลับไม่ดีมากนักถือว่าไม่คุ้มค่ากับการลงทุน เมื่อประสบความล้มเหลวจากการทำเกษตรบนพื้นที่สูง ชาวอิ้วเมี่ยนจำนวนมากจึงเคลื่อนย้ายเข้าสู่เมืองเพื่อหาอาชีพทางเลือก ประกอบกับบางส่วนได้ถูกรัฐบาลขับออกจากพื้นที่เขตป่าสงวนจึงมีการเคลื่อนย้ายทั้งในระดับปัจเจกบุคคล ครอบครัว และกลุ่มเครือญาติ ส่วนใหญ่กระจายไปทำงานในบริเวณภาคเหนือและภาคกลาง และมีส่วนน้อยที่ย้ายไปทำงานที่ภาคอีสานและภาคใต้ในระยะแรก ชาวอิ้วเมี่ยนบางส่วนเป็นแรงงานรับจ้างราคาถูกในโรงงานอุตสาหกรรม ลูกจ้างเฝ้าร้านค้า บางส่วนเป็นเจ้าของกิจการร้านน้ำเต้าหู้ ร้านข้าวต้มหรือก๋วยเตี๋ยวปลา ซึ่งขายตามตลาดสดทั่วไปในพื้นที่ภาคเหนือและภาคกลางของประเทศ(ประสิทธิ์ ลีปรีชา และคณะ, 2547, หน้า 49)อย่างไรก็ตาม ในขณะที่ชาวอิ้วเมี่ยนส่วนใหญ่เคลื่อนย้ายไปหาอาชีพนอกภาคเกษตรในเมืองนั้นยังมีชาวอิ้วเมี่ยนกลุ่มหนึ่งที่อาศัยอยู่ในอุทยานแห่งชาติคลองลาน จังหวัดกำแพงเพชร กลับเคลื่อนย้ายระดับกลุ่มเครือญาติจำนวน 19 ครัวเรือน (สมาชิกเกือบ 80 คน) ไปตั้งถิ่นฐานที่บ้านในกรัง ม.9 จังหวัดระนองเป็นชาวอิ้วเมี่ยนกลุ่มแรกและกลุ่มเดียวที่ตั้งถิ่นฐานในภาคใต้ เพื่อทำสวนกาแฟในรูปแบบการเกษตรแบบพันธะสัญญากับผลิตภัณฑ์กาแฟคั่วมือ ภายใต้ตราสินค้าที่ชื่อว่า“ก้อง วัลเลย์” ซึ่งเป็นวิสาหกิจชุมชน อำเภอกระบุรี จังหวัดระนอง (พรชัย เอี่ยมโสภณ, 2015)
เมื่อฐานะทางเศรษฐกิจดีขึ้น ชาวอิ้วเมี่ยนบางส่วนจึงเปลี่ยนมาเป็นเจ้าของกิจการร้านขายของชำซึ่งพบมากในพื้นที่อำเภอเชียงคำ จังหวัดพะเยา และอำเภอท่าวังผา จังหวัดน่าน รวมทั้งจังหวัดเชียงรายหรือเป็นเจ้าของโรงงานและร้านขายเครื่องประดับเงินและทองในอำเภอปัวและเมืองน่าน หรือเป็นเจ้าของร้านอาหารและรีสอร์ทในชุมชนของตนเองที่กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยว (ประสิทธิ์ ลีปรีชา และคณะ, 2547, หน้า 20) ในขณะที่ชาวอิ้วเมี่ยนบางส่วนให้ความสำคัญกับการศึกษาต่อในระดับสูง เพื่อมุ่งหวังที่จะได้ตำแหน่งงานประจำที่มีความมั่นคง ทั้งในภาครัฐและภาคเอกชนโดยงานศึกษาของประสิทธิ์ ลีปรีชา และคณะ (2547, หน้า 74) ได้สำรวจกลุ่มอาชีพหลักของประชากรอิ้วเมี่ยนจำนวน 306 คน ที่อาศัยอยู่ในอำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ พบว่า ชาวอิ้วเมี่ยนส่วนใหญ่ประกอบธุรกิจส่วนตัว เช่น ขายน้ำเต้าหู้ ก๋วยเตี๋ยว ไก่ทอด ฯลฯ ร้อยละ 61.7 รองลงมาเป็นกลุ่มพนักงานบริษัทและองค์กรพัฒนาเอกชน ร้อยละ 36.9 ส่วนกลุ่มที่รับราชการมีเพียงร้อยละ 1.3
ทั้งนี้ การอพยพเข้าไปทำงานในเมืองและนิยมตั้งถิ่นฐานในเมืองที่มีทำเลเหมาะสมกับธุรกิจการค้าที่อยู่ไม่ไกลจากชุมชนเดิมทำให้ชาวอิ้วเมี่ยนมีการแต่งงานกับคนพื้นราบมากขึ้น นอกจากนี้ ชาวอิ้วเมี่ยนบางส่วนยังได้เดินทางไปเป็นแรงงานในภาคการเกษตรและอุตสาหกรรมในประเทศ ซึ่งมีทั้งกลุ่มที่เดินทางไปเป็นแรงงานแบบถูกกฎหมายและผิดกฎหมายในอดีตคนหนุ่มสาวอิ้วเมี่ยนจำนวนหนึ่งนิยมไปทำงานเป็นแม่บ้านที่ฮ่องกง หรือเป็นล่ามภาษาจีนที่ไต้หวัน ส่วนใหญ่เดินทางไปเป็นแรงงานแบบถูกกฎหมาย ซึ่งต้องจ่ายเงินค่าดำเนินการประมาณหลักหมื่นผ่านบริษัทนายหน้าในกรุงเทพฯ ปัจจุบัน หนุ่มสาวจากหมู่บ้านห้วยเฟืองส่วนใหญ่นิยมไปเป็นแรงงานที่ประเทศเกาหลีใต้มากขึ้น และมีบางส่วนไปเป็นแรงงานที่อิสราเอล ซึ่งมีทั้งกลุ่มที่ไปเป็นแรงงานแบบถูกกฎหมายและผิดกฎหมาย
จากข้อมูลภาคสนามในพื้นที่บ้านห้วยเฟือง จังหวัดพะเยา พบว่า ประชากรส่วนใหญ่เป็นกลุ่มผู้สูงอายุและเด็ก ผู้สูงอายุในชุมชน มีการประกอบกิจการร้านขายของชำในหมู่บ้านหมอผีทำการเกษตรแทนลูกหลานที่ย้ายไปทำงานในเมืองรับจ้างย้อมผ้าและปักผ้าแบบดั้งเดิมในขณะที่กลุ่มคนวัยกลางคน มีการเกษตรแบบเชิงพาณิชย์ ข้าราชการท้องถิ่น ประกอบธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยวชุมชน เนื่องจากหมู่บ้านห้วยเฟืองอยู่ใกล้กับวนอุทยานภูลังกา ซึ่งมีรีสอร์ท ร้านอาหาร ร้านกาแฟที่ชาวอิ้วเมี่ยนเป็นเจ้าของกิจการประมาณ 20 กว่าแห่ง นอกจากนี้ บางส่วนมีรายรับจากเงินส่งกลับบ้าน (remittance) ที่ได้รับจากญาติที่อพยพไปตั้งถิ่นฐานในต่างประเทศในขณะเดียวกันก็เริ่มมีคนรุ่นใหม่กลับมาประกอบอาชีพดั้งเดิมในชุมชน โดยบ้านห้วยเฟืองมีคนหนุ่มสาวเคยทำงานในเมืองแล้วกลับมาเปิดกิจการรับทำเฟอร์นิเจอร์จากหวายธุรกิจได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากชาวอิ้วเมี่ยนและคนเมืองในพื้นราบที่นิยมใช้เฟอร์นิเจอร์ที่ทำจากหวาย (จุฑารัตน์ โชติชัยชุติมา, 2562: สัมภาษณ์)
จากที่กล่าวมาข้างต้น จะเห็นว่าชาวอิ้วเมี่ยนสามารถปรับตัวเพื่อความอยู่รอดทางเศรษฐกิจได้ดีและรวดเร็ว รวมทั้ง สามารถปรับตัวเข้ากับวิถีชีวิตในเมืองได้อย่างกลมกลืน จนกลายเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ที่มีฐานะทางเศรษฐกิจและชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นเมื่อเปรียบเทียบกับกลุ่มชาติพันธุ์อื่น ๆ (ประสิทธิ์ ลีปรีชา และคณะ, 2547, หน้า 176)
อาหารและยารักษาโรค :
อาหารและยารักษาโรค
เนื่องจากชาวอิ้วเมี่ยนตั้งชุมชนอยู่บนพื้นที่สูงซึ่งห่างไกลจากชุมชนเมือง จึงไม่ค่อยมีอาหารจากภายนอกแพร่หลายในวัฒนธรรมอาหารอิ้วเมี่ยน แหล่งอาหารหลักของชาวอิ้วเมี่ยนมาจากอาหารที่ผลิตขึ้นด้วยการเพาะปลูกพืชอาหารหลักในไร่ เช่น ข้าวไร่ ข้าวโพด มันสำปะหลัง งา พริก มะเขือ น้ำเต้า ฟักทอง มะเขือเทศ ผักกาดเมี่ยน กระเทียม เผือก มันเทศ ขิง ข่า หอม และถั่วชนิดต่าง ๆ ฯลฯรวมทั้งแหล่งอาหารที่ได้จากอาหารป่า ซึ่งสามารถหาได้ทุกฤดูกาลและตลอดปี เช่น เห็ดชนิดต่าง ๆ หน่อไม้ หวายแบบหวาน ผักหวาน ปีกล้วยป่า ชะอม กระท้อน มะเขือพวง ลูกก่อ ฯลฯอาหารประเภทโปรตีน เช่น หมูป่า ไก่ป่า อีเก้ง นก กระต่าย กระรอก เม่น หรืออาหารจากแหล่งน้ำ เช่น ปลา หอย ก้ง เต่า ผักกูด ผักบุ้ง กบเขียด ลูกอ๊อด ฯลฯ (เครือข่ายวัฒนธรรมอิ้วเมี่ยน, 2545, หน้า 133)
ปัจจุบัน ชุมชนอิ้วเมี่ยนที่อยู่บนภูเขายังคงทำการเพาะปลูก โดยเฉพาะผักสวนครัวสำหรับบริโภคในครัวเรือน บางส่วนซื้อจากชุมชนอิ้วเมี่ยนใกล้เคียงและปลูกผักพื้นเมืองไว้บริโภค ในกรณีชาวอิ้วเมี่ยน บ้านปง จังหวัดพะเยาส่วนใหญ่มักจะหาซื้อผักจากรถเร่ขายผักที่ตระเวนรับซื้อผักจากหมู่บ้านชาวอิ้วเมี่ยนใกล้เคียงมาขายที่บ้านห้วยเฟือง ผักส่วนใหญ่รับซื้อมาจากชุมชนอิ้วเมี่ยนบ้านปางมะโอ ซึ่งเป็นชุมชนที่อยู่ในระดับที่สูงกว่าน้ำทะเลและอยู่ห่างไกลจากตลาด ชาวบ้านส่วนใหญ่จึงปลูกผักไว้บริโภคในครัวเรือน และสามารถแบ่งผลผลิตส่วนเกินมาขายให้กับชุมชนอิ้วเมี่ยนใกล้เคียงชาวอิ้วเมี่ยนส่วนใหญ่นิยมบริโภคผักพื้นเมืองของอิ้วเมี่ยนมากกว่าผักที่วางขายตามท้องตลาดทั่วไป ชาวอิ้วเมี่ยนบ้านห้วยเฟืองจึงยังคงปลูกผักพื้นเมืองไว้บริโภคเป็นบางส่วน แม้จะไม่ได้ปลูกในปริมาณที่มากเพียงพอต่อการบริโภคอย่างสม่ำเสมอ เช่น ผักขี้หูด ผักกาดเมี่ยน ถั่วแขกเมี่ยน ถั่วฝักยาวเมี่ยน และผักกาดขาวเมี่ยน ฯลฯอีกทั้งยังเก็บผักที่ขึ้นตามป่ามารับประทานด้วย เช่น หวายฝาด และต้นป๋าว เป็นพืชที่ชาวบ้านจะตัดยอดมารับประทาน คล้ายยอดมะพร้าว นอกจากนี้ยังมีธรรมเนียมปฏิบัติในการเก็บรักษาเมล็ดพันธุ์ผักพื้นเมืองไว้ปลูกเป็นรุ่นต่อรุ่น จากการเก็บข้อมูลภาคสนามที่บ้านห้วยเฟือง พบว่า ชาวบ้านมักจะวางกระจาดเมล็ดพันธุ์ผักพื้นบ้าน เช่น พริกเมี่ยน ถั่วผักยาวเมี่ยน ฯลฯ ผึ่งตากแดดหน้าบ้าน เพื่อเก็บเมล็ดพันธุ์ไว้เพาะปลูกในปีถัดไปสำหรับชุมชนอิ้วเมี่ยนที่อยู่ในเมืองจะพึ่งพาแหล่งอาหารจากตลาดสดในท้องถิ่นมากกว่าปลูกเพื่อบริโภคเอง (จุฑารัตน์ โชติชัยชุติมา, 2562: สัมภาษณ์)
กรรมวิธีการประกอบอาหารและปรุงอาหาร
กรรมวิธีการประกอบอาหารของอิ้วเมี่ยนไม่มีความซับซ้อนเท่าใดนัก เริ่มต้นจากการตั้งกระทะบนไฟใส่น้ำมันหมู หรือใช้น้ำมันงาสำหรับผู้ที่รับประทานอาหารเจ พอสมควรตามความจำเป็นสำหรับอาหารแต่ละชนิด เมื่อความร้อนได้ที่แล้วก็เติมน้ำลงไป ใส่เกลือ ตั้งไฟไว้ประมาณ 5 – 10 นาที จากนั้นใส่เนื้อสัตว์และผัก หลังจากปรุงสุกก็ยกลงวางไว้บนหิ้งข้างฝา ซึ่งนิยมทำเป็นที่รองเป็นขดกลมด้วยฟางข้าว บางครั้งก็วางบนเตาไฟชาวอิ้วเมี่ยนนิยมปรุงรสอาหารด้วยรสเค็มจากเกลือเพียงอย่างเดียว ไม่นิยมรสชาติอื่น นอกจากเกลือจะเป็นเครื่องปรุงรสหลักในอาหารแล้ว เกลือยังถูกใช้ในการเชิญแขกฝ่ายเจ้าสาวในการแต่งงาน เกลือจึงมีความสำคัญกับวัฒนธรรมของชาวอิ้วเมี่ยนเป็นอย่างมาก ในอดีตชาวอิ้วเมี่ยนจึงนิยมนำฝิ่นดิบหรือข้าวเปลือกไปแลกซื้อเกลือกับพ่อค้าชาวจีนฮ่อที่เดินทางมาในหมู่บ้าน หรือซื้อเกลือจากตลาดในพื้นราบ โดยนิยมซื้อเกลือครั้งละมาก ๆ อาจเป็นกระสอบเพื่อแบ่งปันกัน
ทั้งนี้ นอกจากอาหารรสเค็มแล้ว อาหารอิ้วเมี่ยนยังมีรสเผ็ดที่ปรุงด้วยการใส่พริกเมี่ยนจำนวนเพียงเล็กน้อยลงในอาหาร ชาวอิ้วเมี่ยนนิยมรับประทานอาหารที่สุกแล้วทุกชนิด ยกเว้นอาหารประเภทลู่ที่ทำจากเลือดสดปรุงด้วยเครื่องเทศที่ทำจากตะไคร้ หอมด่วน ผักไผ่ และถั่วพูนก ซึ่งหาได้ในป่านำมาสับให้ละเอียดแล้วนำลงกวนกับเนื้อซึ่งสับแล้วในเลือด จนเลือดจับเป็นก้อน อาหารประเภทนี้เป็นที่นิยมมากสำหรับผู้ชายในวัยกลางคนขึ้นไปสำหรับการบริโภคข้าว ชาวอิ้วเมี่ยนจะรับประทานข้าวซ้อมมือ โดยใช้ครกกะเดื่องตำข้าว จากนั้นก็ก่อไฟตั้งหม้อหุงข้าว (เครือข่ายวัฒนธรรมอิ้วเมี่ยน, 2545, หน้า 133; จุฑารัตน์ โชติชัยชุติมา, 2562: สัมภาษณ์)
ปัจจุบัน ชาวอิ้วเมี่ยนที่อาศัยในพื้นราบหรือในเมือง รวมถึงชุมชนบนดอยที่มีถนนเส้นใหญ่ตัดผ่านมักนิยมใช้อุปกรณ์ทำครัวแบบสมัยใหม่ในการประกอบอาหารและถนอมอาหารโดยเฉพาะชาวอิ้วเมี่ยนที่บ้านห้วยเฟืองส่วนใหญ่ใช้ตู้เย็น หม้อหุงข้าวไฟฟ้า และเตาแก๊ส เนื่องจากเป็นชุมชนบนดอยที่ถนนเส้นใหญ่ตัดผ่าน การคมนาคมสะดวก มีรถโดยสารออกไปยังตลาดในอำเภอเชียงคำเป็นประจำทุกวัน ในขณะที่ชุมชนชาวอิ้วเมี่ยนที่อาศัยอยู่บนดอยที่อยู่ห่างไกลจากเส้นทางคมนาคมหลัก ผู้สูงอายุส่วนใหญ่ยังคงใช้ฟืนประกอบอาหาร เพราะจะทำให้รสชาติที่ดีกว่าการใช้แก๊สแต่ลูกหลานของชาวบ้านส่วนใหญ่ที่มีการเคลื่อนย้ายมาทำงานในเมืองใหญ่หรือกรุงเทพฯ สามารถซื้ออุปกรณ์ทำครัวสมัยใหม่ไปให้พ่อแม่บนดอยใช้ แต่พ่อแม่อาจไม่ค่อยสะดวกจะใช้ เช่น กรณีที่เตาแก๊สหมดก็ยกไปเปลี่ยนไม่สะดวก เป็นต้น (จุฑารัตน์ โชติชัยชุติมา, 2562: สัมภาษณ์)
อุปกรณ์ประกอบอาหาร
เครือข่ายวัฒนธรรมอิ้วเมี่ยน (2545, หน้า 133 – 135) ได้อธิบายถึงอุปกรณ์ประกอบอาหารดั้งเดิมของชาวอิ้วเมี่ยน ดังต่อไปนี้
- หม้อข้าว เป็นหม้อเหล็กที่ลักษณะคล้ายบาตรพระ แต่มีหูสำหรับยก
- กระทะ ใช้ในการปรุงอาหารประเภทผัด แต่ละบ้านจะมีกระทะหลายใบ
- ตะหลิว มีบางครอบครัวที่ใช้งาน แต่ส่วนใหญ่ยังคงนิยมใช้ขันตักข้าว หรือใช้ไม้ซึ่งมีลักษณะเป็นพายเล็กใช้คนข้าวแทนตะหลิว
- ไม้คนข้าว (ฮ่างเจ้) นิยมทำด้วยไม้เนื้ออ่อนหรือไม้ไผ่มีลักษณะคล้ายพายเรือ แต่มีขนาดเล็ก การหุงข้าวที่ไม่ใช้ไม้คนข้าว ข้าวจะไม่ระอุดี เพราะนิยมหุงข้าวแบบเช็ดน้ำ
- เตาไฟ ส่วนใหญ่เตาไฟที่ใช้ในครัวมี 2 ประเภท คือ 1) เตาไฟแบบก่อด้วยดินเป็นแท่ง ภายในเจาะว่าง มีปากประตู 2 ด้านสำหรับใส่ฟืนด้านบนเจาะเป็นที่ตั้งหม้อซึ่งนิยมทำไว้ 2 ที่ ขนาดใหญ่และเล็กอย่างละที่2) เตาสามขา คือ ใช้หิน 3 ก้อนวางเป็น 3 ขาหรือใช้สามขาที่ทำด้วยเหล็ก เตาสามขามีขนาดใหญ่สำหรับใช้ต้มอาหารให้หมู หรือต้มน้ำเพื่อให้ผู้ป่วยอาบ หรือใช้กลั่นสุรา บ้านของชาวอิ้วเมี่ยนยังจะมีเตาที่เรียกว่า “พ่าง” ซึ่งตั้งอยู่หน้ายกพื้นสำหรับใช้ต้มน้ำร้อนหรือน้ำชาเพื่อรับรองแขก
- ครกกะเดื่อง ใช้สำหรับตำข้าวซ้อมมือหรือข้าวดำ ผู้หญิงอิ้วเมี่ยนมักจะตำข้าวเพื่อหุงเฉพาะมื้อเท่านั้น ไม่นิยมตำข้าวไว้รับประทานหลายมื้อกิจกรรมตำข้าวด้วยครกกะเดื่องมักจะนิยมทำในตอนกลางคืน หรือในช่วงเช้าตรู่ แต่ไม่นิยมตำในช่วงกลางวัน เพราะไม่ต้องการให้ไก่มารบกวนในระหว่างที่ตำข้าวข้าวที่ตำด้วยครกกะเดื่องจะมีสีไม่ขาวจัด มีรำและเมล็ดข้าวที่เปลือกไม่แตกปะปนอยู่ ต้องเอามาฝัดด้วยกระด้ง ทำให้ได้รำข้าวสำหรับใช้เลี้ยงไก่และหมูด้วย
- ตะเกียบ ชาวอิ้วเมี่ยนนิยมใช้ตะเกียบในการรับประทานอาหาร ซึ่งจะเหลาจากไม้ไผ่ โดยในงานพิธีมงคลต่าง ๆ เช่น งานแต่ง มักจะมีการย้อมตะเกียบให้เป็นสีแดงเพื่อความเป็นสิริมงคล
การถนอมอาหาร
ชาวอิ้วเมี่ยนนิยมถนอมอาหารประเภทเนื้อและผักไว้สำหรับรับประทานในระยะยาว โดยเฉพาะการเก็บเนื้อหมู วิธีการถนอมอาหารแบบดั้งเดิมมีหลากหลายวิธีตามที่ได้อธิบายในเครือข่ายวัฒนธรรมอิ้วเมี่ยน (2545, หน้า 135) ดังต่อไปนี้
1) การแขวนเนื้อหมูไว้ใต้เพดานหิ้งในครัวปล่อยให้รมควันไฟจนส่วนนอกมีสีดำคล้ายติดเขม่าไฟ สามารถเก็บเนื้อไว้รับประทานได้นาน
2) อ้อซุย เป็นการดองเนื้อหมูเพื่อทำให้เนื้อหมูเปรี้ยว โดยหั่นเนื้อหมูเรียงใส่ไห และโรยเกลือให้ทั่วจนเต็มไหแล้วปิดปากไหให้แน่น หากปาดหนังหมูมาสับและเอาข้าวสุกมาใส่จะยิ่งทำให้เนื้อมีรสชาติเปรี้ยวขึ้นและสามารถเก็บไว้ได้นาน3) อ้อบ้วนซุย หรือเนื้อดอง โดยหั่นเนื้อหมูเป็นชิ้นขนาดเล็กเอาข้าวสารแช่น้ำ 2 – 3 ชั่วโมงและนำมาตำให้ละเอียดเป็นข้าวผง เอามาคลุกเนื้อแล้วใส่น้ำเล็กน้อยเอาเนื้อใส่ไห เก็บไว้รับประทาน
4) อิ๊บอ้อซุย เป็น การเอาเนื้อมาคั่วในกระทะให้น้ำมันออก เมื่อสุกแล้วตักไว้ให้เย็นแล้วเอาเก็บใส่ไหปิดฝาไว้มิดชิด
5) หน่อไม้ดอง ใช้หน่อไม้ 1ไห ดองกับเกลือครึ่งกิโลกรัมและเติมน้ำปิดฝาไหให้แน่นมิดชิด
6) ผักกาดดอง (ไร่ซุย) เอาน้ำข้าวร้อน ๆ ใส่ในผักกาดหั่นฝอย ดองใส่ไหหรือกระบอกไม้ไผ่ปิดปากกระบอกด้วยใบกล้วยที่รมไฟคล้ายปิดกระบอกข้าวหลาม โดยดองไว้ประมาณ 4 – 5 วัน จนกว่าจะมีรสเปรี้ยว
7) แคบหมู โดยนำไขมันที่ติดกับหนังหมูมาทอดในกระทะขนาดใหญ่เพื่อให้น้ำมันออกหมด จึงจะได้แคบหมูซึ่งต้องนำไปเก็บรวมกับน้ำมันในไหน้ำมัน
8) ตู้เย็น ปัจจุบันชาวอิ้วเมี่ยนที่อาศัยอยู่ในพื้นราบ หรือในเมือง และชุมชนที่ถนนเส้นใหญ่ตัดผ่านมักจะนิยมใช้ตู้เย็นช่วยเก็บอาหารเพื่อให้สามารถบริโภคได้นาน
อาหารในพิธีกรรมและเทศกาล
การประกอบอาหารทุกขั้นตอนในงานพิธีและเทศกาล เป็นหน้าที่ของผู้หญิงอาหารที่ใช้ในงานพิธีกรรมจะใช้หมูหรือไก่ ซึ่งเป็นสัตว์ในพิธีกรรม หลังทำพิธีเสร็จจะนำมาประกอบอาหารใช้เลี้ยงแขกหรือเพื่อนบ้านที่มาช่วยงานในกรณีที่มีการจัดพิธีเลี้ยงผีของหมู่บ้าน ทุกครอบครัวจะต้องมีส่วนร่วมในการออกค่าใช้จ่ายสำหรับเนื้อหมูหรือไก่ในอัตราเท่ากัน เมื่อเสร็จพิธีจะต้องรับประทานอาหารให้หมด ห้ามนำกลับไปบ้านของตนเองเด็ดขาด
สำหรับวันขึ้นปีใหม่ ชาวอิ้วเมี่ยนไม่นิยมรับประทานผัก เพราะถือว่า หากรับประทานผักในวันปีใหม่จะทำให้มีหญ้าขึ้นในไร่มาก (เครือข่ายวัฒนธรรมอิ้วเมี่ยน, 2545, หน้า 138) ที่สำคัญยิ่งกว่านั้นชาวอิ้วเมี่ยนยังจัดทำอาหารที่เป็นสัญลักษณ์ของเทศกาลเฉลิมฉลองนี้ โดยเฉพาะการทำขนมดำ หรือ“หยั่วเจี๊ยะ” ซึ่งใช้รับประทานในวันขึ้นปีใหม่และไหว้บรรพบุรุษ วิธีทำขนมชนิดนี้ จะนำฟางข้าวไปเผาจนไหม้ดำ จากนั้นนำไปบดให้ละเอียดคลุกปนกับข้าวสารเหนียว ใช้กระด้งฝัดรวมกันจนได้เมล็ดข้าวสีดำ จากนั้นนำไปคั่วกระทะด้วยน้ำมันพืช เกลือ และขิงสับ เสร็จแล้วนำไปห่อด้วยใบตะเห็บหรือใบตองตาล และนำไปต้มให้สุก การรับประทานจะนำมาย่างไฟให้หอม (ไทยพีบีเอส, 2560)นอกจากนี้ ช่วงก่อนวันขึ้นปีใหม่ ผู้ใหญ่ในชุมชนจะเตรียมย้อมไข่ให้เป็นสีแดง สำหรับแจกจ่ายให้กับเด็กและญาติพี่น้องที่มาเที่ยวในวันขึ้นปีใหม่ เพื่อเป็นสิริมงคล และเป็นสิ่งที่ดีงาม (เหยนเกี๋ยว แซ่เติ๋น, 2562, สัมภาษณ์)
อาหารสำหรับสตรีมีครรภ์ โดยทั่วไปจะไม่มีรูปแบบพิเศษ ส่วนใหญ่เป็นอาหารที่บริโภคทั่วไปในชีวิตประจำวัน ชาวอิ้วเมี่ยนจะให้สตรีมีครรภ์บริโภคเนื้อไก่ หมู ไข่ พริกไทย และผักใบเขียวต่าง ๆแต่จะมีข้อห้ามบางประการ คือ ห้ามไม่ให้บริโภคสัตว์ป่า เช่นเหยี่ยว เสือ แมวป่า รวมถึงสัตว์ที่ถูกงูกัดหรือเสือกัด และผลไม้ทุกชนิดที่มีลักษณะแฝดแต่ชาวอิ้วเมี่ยนจะให้ความสำคัญกับอาหารของสตรีหลังคลอด
ที่เน้นให้บริโภคข้าวหมากต้มไก่ใส่สมุนไพรเป็นอาหารจานหลัก ส่วนอาหารสำคัญสำหรับเด็กแรกเกิดหรือวัยทารก จะเป็นนมแม่ จากนั้นเมื่อทารกมีอายุประมาณ 3-5 เดือนจะสามารถรับประทานอาหารเสริม ได้แก่ กล้วยบด ไข่ต้ม ต้มจืด โจ๊กหมู โจ๊กไก่ ข้าวผสมน้ำครุก หรือนำตาล หรือเกลือ ข้าวบดกับกล้วยนอกจากนี้ยังมีข้อห้ามเรื่องอาหารสำหรับเด็กวัยทารก เช่น ห้ามบริโภคเสือ แมวป่า เหยี่ยว และผึ้ง เพราะเชื่อว่า ถ้าให้เด็กบริโภคแล้วจะทำให้เด็กเล็กมีอาการชัก (เครือข่ายวัฒนธรรมอิ้วเมี่ยน, 2545, หน้า 137)
เครือข่ายวัฒนธรรมอิ้วเมี่ยน (2545, หน้า 138) ได้อธิบายถึงข้อห้ามเรื่องอาหารในงานพิธีของชาวอิ้วเมี่ยน ดังต่อไปนี้
1) งานพิธีบวชเล็ก (กว่าตั้ง) และพิธีบวชใหญ่ (โตไซ) ห้ามรับประทานเนื้อสัตว์และน้ำมัน
2)งานแต่งงาน อาหารมื้อแรกที่เลี้ยงต้อนรับคณะของเจ้าสาว ห้ามใช้ผัก ให้ใช้เฉพาะเนื้อสัตว์เท่านั้น
3) อาหารต้องห้ามของสตรีหลังคลอด ได้แก่มะเขือม่วง ฟักทอง ยอกฟักทอง แตงกวา ฟักเขียวปลีกล้วย กล้วยสุก มะละกอสุกงอม ซึ่งมีเมล็ดในผลเริ่มงอกแล้ว กะหล่ำปลี ฝรั่ง และปลา (เครือข่ายวัฒนธรรมอิ้วเมี่ยน, 2545, หน้า 137)จากข้อมูลภาคสนาม พบว่า ผู้สูงอายุในชุมชน มักจะให้สตรีหลังคลอด (ซึ่งอยู่ในช่วงอยู่ไฟ) รับประทานเหล้าสาโทต้มใส่ไก่และสมุนไพรหลายชนิด เพราะเชื่อว่าเป็นอาหารที่ทำให้แม่มีน้ำนมและห้ามมิให้รับประทานผักบางชนิด เช่น ยอดฟักทอง เพราะเชื่อว่าหากรับประทานเข้าไป ยอดฟักทองจะเลื้อยอยู่ข้างในร่างกาย (จุฑารัตน์ โชติชัยชุติมา, 2562: สัมภาษณ์)
วัฒนธรรมอาหารในปัจจุบัน
ปัจจุบัน หมู่บ้านอิ้วเมี่ยนส่วนใหญ่มีการคมนาคมที่สะดวกสบายมากขึ้น มีถนนตัดผ่านระหว่างชุมชน การค้าระหว่างหมู่บ้านจึงเริ่มขยายตัว พร้อมกับการแพร่หลายของวัฒนธรรมการบริโภคสมัยใหม่จากภายนอกชุมชนจึงเข้ามาแพร่หลายในวัฒนธรรมการรับประทานอาหารของชาวอิ้วเมี่ยนมากขึ้น ได้แก่ อาหารประเภทปรุงรส เช่น น้ำปลา น้ำตาล กะปิ ผงชูรส เกลือ อาหารสำเร็จรูป อาหารประเภทอาหารแห้ง อาหารประเภทผัก และเนื้อสัตว์ชนิดต่าง ๆแต่กระนั้น ชาวอิ้วเมี่ยนยังนิยมปรุงรสชาติแบบดั้งเดิมด้วยเกลือเพื่อให้รสเค็มเพียงเท่านั้นตามปกติ ชาวอิ้วเมี่ยนยังไม่นิยมใช้น้ำปลา ยกเว้นการทำน้ำจิ้ม ส่วนน้ำตาลทรายถูกนำมาใช้ในการประกอบอาหารในสัดส่วนน้อย เพราะชาวอิ้วเมี่ยนไม่นิยมรสหวาน สำหรับการใส่ผงชูรสนิยมโรยลงในถ้วยแกงก่อนรับประทาน ไม่นิยมใส่ผงชูรสในอาหารที่กำลังปรุงอยู่ ในส่วนของอุปกรณ์ประกอบอาหารชาวบ้านหันมาใช้อุปกรณ์ประกอบอาหารสมัยใหม่ เช่น หม้ออะลูมีเนียมสำหรับหุงข้าวและประกอบอาหาร เตาแก๊ส และตู้เย็นแต่บางครอบครัวก็ยังคงใช้อุปกรณ์ประกอบอาหารแบบดั้งเดิมเช่น เตาสามขา นิยมใช้ต้มน้ำอาบในฤดูหนาว (เครือข่ายวัฒนธรรมอิ้วเมี่ยน, 2545, หน้า 133)
การรับประทานอาหารของชาวอิ้วเมี่ยนในปัจจุบันส่วนใหญ่นิยมรับประทานอาหารแบบดั้งเดิมโดยเฉพาะในกลุ่มวัยผู้ใหญ่ที่คุ้นเคยกับรสชาติอาหารอิ้วเมี่ยนแม้ว่าจะย้ายมาอาศัยในเมืองซึ่งไม่สามารถหาผักของอิ้วเมี่ยนได้ก็จะประยุกต์ใช้ผักอื่น ๆ มาประกอบอาหารแทน เมื่อออกไปรับประทานอาหารนอกบ้าน คนวัยผู้ใหญ่สามารถรับประทานอาหารไทยได้ แต่ต้องรสชาติไม่จัด รวมทั้งไม่รับประทานเมนูที่ใส่ปลาร้าและกะทิในขณะที่คนรุ่นใหม่ซึ่งย้ายไปเรียนหนังสือและทำงานในเมืองมักจะนิยมรับประทานอาหารแบบคนเมืองภาคเหนือหลายคนนิยมรับประทานปลาร้าตาม คนเมือง นอกจากนี้ยังนิยมรับประทานอาหารตะวันตกตามสมัยนิยมแต่ก็ยังไม่นิยมรับประทานอาหารรสจัดที่เผ็ดร้อนเช่นเดียวกับคนไทยเมนูอาหารดั้งเดิมที่ครอบครัวมักจะนิยมทำรับประทาน ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันที่ย้ายมาอาศัยอยู่ที่ อำเภอมหาชัย จังหวัดสมุทรสาคร (จุฑารัตน์ โชติชัยชุติมา, 2562: สัมภาษณ์) มีดังต่อไปนี้
แกงผักกาดเมี่ยน โดยนำผักยอดกาดเมี่ยนไปลวกน้ำร้อน ใส่หมูหรือไม่ก็ได้ วิธีการแกงจะใส่เกลือกับน้ำมันเล็กน้อย
ผัดหวาย มีการคัดเลือกหวายชนิดหวาน นำหวายมาเซาะเปลือกแข็งข้างนอกออก แล้วนำเนื้อหวายอ่อนข้างในมาฝาน ผัดแบบแห้งใส่เกลือกับพริกเมี่ยน
น้ำพริกเมี่ยน นำพริกเมี่ยน ผักชี ตำส่วนผสมให้เข้ากัน ใส่เกลือและบีบมะนาวตามเล็กน้อย
ผักขี้ฮูด ผัดน้ำมันแห้งใส่พริกและเกลือ
แกงหวาย นำหวายชนิดหวานมาแกงกับมะเขือยาว หัวปลี ใส่หมูหรือไก่ก็ได้ จากนั้นทุบพริกเมี่ยนกับตะไคร้เป็นเครื่องแกงผสมใส่ในน้ำต้มที่เดือด
ต้มยอดฟักทอง เมื่อตั้งหม้อให้ใส่น้ำมันเล็กน้อยหลังจากที่หม้อร้อนให้เทน้ำลงไปให้มีกลิ่นหอม ทุบพริกเมี่ยน ตะไคร้ ใบขิงอ่อน ใส่ลงไป ตามด้วยเกลือ เมื่อน้ำเดือดก็ใส่ยอดฟักทอง และเกลือ
ผักกาดดองเมี่ยน นำผักกาดมาหั่นฝอย ขยำด้วยเกลือ หมักกับน้ำตาลทรายและน้ำซาวข้าว ทิ้งไว้ 1 สัปดาห์ให้มีรสเปรี้ยว เมื่อนำมายำจะนำผักกาดมายำใส่หัวไชเท้าฝาน ใส่พริกและผักชีโรยหน้า
แกงไก่ใส่วุ้นเส้น ตั้งหม้อใส่น้ำ ไก่ เมื่อต้มจนเดือด ให้ใส่วุ้นเส้น เกลือ และพริกไทย
แกงไก่ใส่หน่อไม้ดอง ใส่ไก่หรือหมู ทุบตะไคร้และพริกลงไป เมื่อน้ำเดือดให้ใส่หน่อไม้ดองและเกลือ
การรักษาโรค
ชาวอิ้วเมี่ยนเชื่อว่าการเจ็บป่วย แบ่งออกเป็น 3 ประเภท (เครือข่ายวัฒนธรรมอิ้วเมี่ยน, 2545, หน้า 78 -79) ดังต่อไปนี้
1) ความเชื่อเรื่องสิ่งที่อยู่เหนือธรรมชาติ เกี่ยวการละเมิดสิ่งศักดิ์สิทธิ์ อาจเกิดจากสาเหตุ 2 ประการ คือ ประการแรก สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่ในบ้าน ซึ่งเป็นวิญญาณบรรพบุรุษที่ล่วงลับไปแล้ว เกิดความไม่พอใจเนื่องจากลูกหลานไม่เคารพหรือไม่เซ่นไหว้อย่างสม่ำเสมอ และสิ่งศักด์สิทธิ์ที่อยู่ในบ้านอีกอย่าง คือ รูปเทพ (จู้โจง คือ วิญญาณบรรพบุรุษ) (ฟ่ามซีง คือ เทพสามดาว) ต้องทำพิธีเซ่นไหว้และให้ความเคารพอย่างสม่ำเสมอมิฉะนั้น เทพจะไม่คุ้มครองดูแลสมาชิกในครอบครัว โกรธและลงโทษสมาชิกในครอบครัวทำให้เจ็บป่วย หรือมีอันตรายที่เกิดจากการกระทำของวิญญาณร้ายภายนอกได้ และประการที่สอง สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่ภายนอกบ้าน เช่น เจ้าที่ เจ้าป่า เจ้าเขา (เต่ยเจี้ยวเมี้ยน) เจ้าน้ำ (จย้างเมี้ยน) รวมถึงความเชื่อในการนำของต้องห้ามมาสร้างบ้านหรือที่อยู่อาศัยด้วย หรือการนำไม้ที่สร้างยุ้งฉางแล้วมาเป็นส่วนประกอบของตัวบ้าน โดยเชื่อว่าจะส่งผลทำให้ผู้อยู่อาศัยเกิดความเดือดร้อนทำให้เจ็บป่วยหรือมีเคราะห์ร้าย
2) ความเชื่อเรื่องขวัญ อิ้วเมี่ยนเชื่อว่า แต่ละคนนั้นจะมีดวง (ฟึง) และขวัญ (ว่น) ประจำตัวอยู่ ซึ่งจะช่วยคุ้มครองและนำทางในการดำเนินชีวิตให้ราบรื่นถ้าขวัญออกไปจากร่างกายจะทำให้ไม่สบายการที่ขวัญออกไปจากร่างกาย เกิดจากสาเหตุ 2 ประการ คือ ประการแรก เกิดจากการที่เราละเมิดกฎเกณฑ์ความเชื่อ เช่น อิ้วเมี่ยนจะห้ามไม่ให้ดูเวลาที่สัตว์ผสมพันธุ์กัน เพราะเชื่อว่าถ้าดูขวัญหรือวิญญาณของเราจะเข้าไปปฏิสนธิอยู่ในครรภ์ของสัตว์นั้น เรียกว่า “ฝาวทอย” ซึ่งจะทำให้ไม่สบาย และถ้าสัตว์นั้นคลอดลูกออกมาจะทำให้วิญญาณของเราดับสลายและถึงแก่ความตาย ประการที่สอง เกิดจากวิญญาณร้ายจับขวัญไป เนื่องจากต้องการขอส่วนบุญ หรือของเซ่นไหว้ เช่น ผีตายโหง (ชู่งเมี่ยน) ผีต้นไทร (เยี่ยนฟิวเมี่ยน) ผีเร่ร่อน ฯลฯ โดยเฉพาะคนที่ขวัญอ่อน ซึ่งจะทำให้ไม่สบาย ต้องทำพิธีเซ่นต่อวิญญาณร้ายแล้วให้ขวัญของผู้ป่วยกลับคืนเข้าสู่ร่างกายเหมือนเดิม
3) ความผิดปกติของร่างกาย อาจเกิดจากสาเหตุ 2 ประการ คือ ประการแรก เกิดจากอาหารตกใจสุดขีด (จุเฮ้ย) อาจจะเกิดได้หลายกรณี เช่น ฟ้าผ่า เจอสัตว์ป่าที่ดุร้าย ฯลฯ ซึ่งมีทั้งเด็กและผู้ใหญ่ถ้าเกิดในเด็กจะใช้วิธีการรักษาเรียกว่า “เซียวกึง” โดยใช้คาถามซึ่งมีทั้งชายและหญิงและถ้าเป็นผู้ใหญ่ การรักษาเรียกว่า “เซียวเฮ้ย” ซึ่งจะทำพิธีโดยอาจารย์ผู้ประกอบพิธีกรรม หรือชิบเมี้ยนเมี่ยนที่เป็นผู้ชายเท่านั้น และประการที่สอง เกิดจากการดูแลสุขภาพและความผิดปกติของร่างกาย โดยปกติถ้าเราปฏิบัติตามคำสอน หรือดูแลตัวเองอย่างสม่ำเสมอและถูกวิธีก็จะไม่เกิดความเจ็บป่วย ถ้าเกิดความบกพร่องหรือสุขภาพไม่ดีก็จะเป็นสาเหตุทำให้เจ็บป่วยได้โดยสาเหตุของการเจ็บป่วยอาจเนื่องมาจากการดูแลรักษาสุขภาพไม่ดีร่างกายขาดความสมดุลซึ่งอาจเกิดจากการทำงานหนักเกินไปหรือพักผ่อนไม่เพียงพอหรืออาจเกิดจากการติดเชื้อโรคจากการรับประทานอาหาร หรือเกิดจากอุบัติเหตุ
จากความเชื่อที่เกี่ยวข้องกับสาเหตุในการเจ็บป่วยดังที่กล่าวไปข้างต้น ทำให้ชาวอิ้วเมี่ยนรักษาอาการเจ็บป่วยด้วยการแพทย์พื้นบ้านที่ใช้ในการรักษาทางกาย ในขณะเดียวกันก็มีการรักษาทางจิตวิญญาณ โดยมีรายละเอียด ดังนี้ (เครือข่ายวัฒนธรรมอิ้วเมี่ยน, 2545, หน้า 80 -81)
1) การรักษาทางกาย หมอพื้นบ้านจะใช้การบีบนวด จับเส้น (นิบซา) ไล่ลม (ทุยจย๋าว) ส่วนกลุ่มผู้เชี่ยวชาญเฉพาะโรค เป็นผู้ที่มีความรู้ในการวินิจฉัยโรคบางอย่าง เช่น “แป้งหงาย” “ฝาวทอย”โดยอาศัยประสบการณ์และการสังเกตเป็นหลัก นอกจากนี้ยังมีการรักษาโดยหมอสมุนไพร “เดียไซ” ที่มีความชำนาญด้านพฤกษศาสตร์ และการใช้สมุนไพรในการรักษาผู้ป่วย หมอสมุนไพรของชาวอิ้วเมี่ยนแบ่งออกเป็นสองประเภท คือ
ประเภทแรก หมอสมุนไพรที่ได้รับการถ่ายทอดตามตระกูล เช่น จากย่าสู่แม่ จากแม่สู่หลาน ในส่วนนี้มีการถ่ายทอดวิชาโดยไม่ต้องทำพิธี เพียงแต่ผู้ถ่ายทอดจะให้พรแก่ลูกหลานที่จะเป็นผู้สืบทอดเพื่อให้การเก็บยาสมุนไพรมีความศักดิ์สิทธิ์ เรียกว่า “เจย๋ง”
ประเภทที่สอง หมอสมุนไพรที่ร่ำเรียนมา (เปี๊ยด) ต้องศึกษาจากหมอยาที่มีชื่อเสียงโดยผู้ขอเรียนต้องเตรียมวัสดุอุปกรณ์สำหรับประกอบพิธีกรรมด้วย คือ ไก่ 1 ตัว สิเจียน (จำนวนเงินที่ใส่ไม่แน่นอนขึ้นอยู่กับการเรียกร้องของหมอยาแต่ละคน) กระดาษกงเต็ก (เจ้ยก๋อง) และเหล้าหมอสมุนไพรประเภทนี้เมื่อทำพิธีและร่ำเรียนวิชาแล้ว จะมีครู หรือ “เดียเมี้ยน” คอยช่วยเหลือในการเก็บยารักษาผู้ป่วยให้มีความศักดิ์สิทธิ์
2) การรักษาทางจิตวิญญาณ กลุ่มที่เชี่ยวชาญและชำนาญด้านการรักษาทางจิตวิญญาณประกอบด้วย
2.1) ซิบเมี้ยนเมี่ยน จะเป็นผู้ที่มีความสามารถติดต่อกับเทพหรือวิญญาณได้ ทั้งสามโลก คือ โลกมนุษย์ โลกบาดาล และบนสวรรค์
2.2) คนทรง คือ คนที่สามารถติดต่อเทพหรือวิญญาณได้ จะมีทั้งผู้หญิงและชาย โดยจะทำหน้าที่เข้าทรงเพื่อหาสาเหตุของการเจ็บป่วยที่เชื่อว่า เกิดจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์หรือสิ่งที่อยู่เหนือธรรมชาติที่เรียกว่า “โบ้วกว๋าตอน”
2.3) หมอคาถา จะเป็นหญิงหรือชายก็ได้ โดยทั่วไปจะรักษาอาการที่เกิดจากการตกใจสุดขีด (จุเฮ้ย) เฉพาะในเด็กเท่านั้น วิธีการรักษาเรียกว่า “เซียวกิง” ถ้าเป็นผู้ใหญ่การรักษาเรียกว่า “เซียวเฮ้ย”นอกจากนี้แล้ว การใช้คาถาในการรักษาโรคจะเกี่ยวกับสมุนไพรด้วย
ปัจจุบัน ชาวอิ้วเมี่ยนนิยมรักษาอาการเจ็บป่วยด้วยการแพทย์สมัยใหม่ โดยเข้ารับบริการการรักษาตามสถานพยาบาลที่อำเภอเชียงคำ จังหวัดพะเยา และยังมีบางส่วนที่มีการรักษาโดยใช้หมอพื้นบ้านในกรณีที่อาการเจ็บป่วยไม่รุนแรง ผู้อาวุโสในชุมชนยังคงถ่ายทอดองค์ความรู้ด้านสมุนไพรจากรุ่นสู่รุ่น โดยเฉพาะในกลุ่มของผู้หญิง (จุฑารัตน์ โชติชัยชุติมา, 2562: สัมภาษณ์) เช่น การต้มน้ำใส่ตะไคร้เพื่อให้ญาติผู้ใหญ่ได้แช่เท้าบรรเทาอาการปวดเมื่อยหรือปวดตามข้อกระดูก นอกจากนี้ ในช่วงคืนวันที่ 31 ธันวาคมของทุกปี ชาวอิ้วเมี่ยนยังมีธรรมเนียมในการต้มน้ำสมุนไพรหลากหลายชนิดเป็นพิเศษโดยผู้อาวุโสฝ่ายหญิงในครอบครัวที่มีความรู้ด้านสมุนไพรเป็นอย่างดีจะต้มน้ำสมุนไพรในปริมาณที่มาก เพื่อให้เพียงพอสำหรับสมาชิกในบ้านและญาติพี่น้องที่กลับมาเยี่ยมบ้าน เนื่องด้วยความเชื่อที่ว่า น้ำสมุนไพรเหล่านี้สามารถอาบชำระล้างร่างกายให้บริสุทธิ์ทั้งกายและใจ สำหรับเตรียมตัวเองให้พร้อมรับกับสิ่งใหม่ในวันขึ้นปีใหม่ (เหยนเกี๋ยว แซ่เติ๋น, 2561:สัมภาษณ์)
เสื้อผ้าและการแต่งกาย :
เสื้อผ้าและการแต่งกาย
จากตำนานที่บันทึกไว้ในหนังสือเดินทางข้ามเขตภูเขา (เจี่ยเซียนป๊อง) ที่ชาวอิวเมี่ยนในประเทศไทยได้คัดลอกต่อกันมาจนถึงปัจจุบัน ระบุไว้ว่า ให้ลูกหลานชาวอิ้วเมี่ยนปกปิดร่างกายโดยใช้เสื้อลายห้าสีคลุมร่างกาย เข็มขัดรัดเอว ผ้าเช็ดหน้าลายดอกไม้ผูกที่หน้าผาก กางเกงลายปิดก้น ผ้าลายสองผืนปิดที่ขา เชื่อกันว่า จากตำนานนี้ทำให้อิ้วเมี่ยนใช้เสื้อผ้าคาดเอว ผ้าโพกศีรษะ และกางเกงที่ปักด้วยห้าสี (อภิชาต ภัทรธรรม, 2552, หน้า 136) ชาวอิ้วเมี่ยนในประเทศไทยยังคงสืบสานการแต่งกายตามประเพณี
การแต่งกายของผู้หญิงจะมีผ้าโพกศีรษะ ผ้าคาดเอวซึ่งมีลายปักที่ชายแต่ละข้าง เสื้อคลุมยาวซึ่งสาบเสื้อด้านในรอบคอลงมาจนถึงเอว ติดไหมพรมสีแดง และกางเกงขาก๊วยซึ่งเป็นผ้าสีดำและปักลวดลายด้านหน้า ส่วนใหญ่ผู้หญิงอิ้วเมี่ยนเป็นผู้แต่งกายหรูหราด้วยเสื้อผ้าที่มีการปักลวดลายอย่างประณีต งดงาม อีกทั้งยังสวมใส่เครื่องประดับเงินนานาชนิด โดยเฉพาะในช่วงงานพิธีกรรมหรือประเพณีสำคัญ ผู้หญิงอิ้วเมี่ยนมักจะนิยมสวมเครื่องประดับเงินต่าง ๆ ทั้งแหวน กำไลมือ สร้อยคอ จี้ และยังมีเครื่องประดับเงินที่ติดกับสร้อยคอ รวมทั้งกระดุมเงินที่ประดับบนเสื้อปักลายและผ้าที่ประดับด้วยผ้าตัดปะ
ส่วนการแต่งกายของผู้ชาย จะสวมเสื้อตัวสั้นหลวม คอกลม ชิ้นหน้าห่ออกอ้อมไปติดกระดุมลูกตุ้มเงินแปดถึงสิบเม็ดเป็นแถวทางด้านขวา กางเกงจะเป็นกางเกงขาก๊วยไม่มีการปักลาย ทั้งเสื้อและกางเกงจะตัดเย็บด้วยผ้าทอมือย้อมครามสีน้ำเงินหรือสีดำ ส่วนเด็กมีเพียงหมวก ซึ่งหมวกเด็กชายจะเย็บด้วยผ้าดำสลับผ้าแดงเป็นแฉก ประดับด้วยผ้าตัดเป็นลวดลายขลิบริมด้วยแถบไหมขาวติด หมวกปุยไหมสีแดงบนกลางหัว ถ้าเป็นเด็กผู้หญิง หมวกจะทำด้วยผ้าดำหรือน้ำเงินเข้มปักลวดลาย ประดับไหมพรมสีแดงสดบนกลางกระหม่อมและข้างหู (เครือข่ายวัฒนธรรมอิ้วเมี่ยน, 2545, หน้า 104; พูเรต์, 2545, หน้า 4)
เมื่อชาวอิ้วเมี่ยนแยกย้ายกันไปตั้งถิ่นฐานกระจายยังพื้นที่ต่าง ๆ ได้รับอิทธิพลของวัฒนธรรมท้องถิ่นที่อาศัยอยู่ไปผสมผสานกับวัฒนธรรมของตน ส่งผลทำให้การแต่งกายและการใช้สีสันของชาวอิ้วเมี่ยนในประเทศไทยมีลักษณะแตกต่างกันไปเพียงเล็กน้อย ซึ่งอัตลักษณ์การแต่งกายของแต่ละท้องถิ่นได้แสดงให้เห็นว่ามีถิ่นฐานอยู่ที่ใด หรือมาจากกลุ่มตระกูลใด นอกจากนี้ บางกลุ่มที่อาศัยอยู่ในบริเวณใกล้เคียงกันจะมีการลอกเลียนแบบซึ่งกันและกัน (อภิชาต ภัทรธรรม, 2552, หน้า 136) อย่างไรก็ตาม ความแตกต่างของอัตลักษณ์การแต่งกายอิ้วเมี่ยนในท้องถิ่นต่าง ๆ จะมีอัตลักษณ์ที่โดดเด่นแตกต่างกัน ดังที่ปรากฎให้เห็นได้อย่างชัดเจนที่สุด คือ การโพกศีรษะของผู้หญิง โดยผู้หญิงอิ้วเมี่ยนกลุ่มเชียงราย – น่าน จะโพกศีรษะแบบหัวโต (ก้อง เป้ว ผาน) และนิยมใช้ลายปักสีแดงเป็นหลัก ส่วนผู้หญิงอิ้วเมี่ยนกลุ่มอื่นจะโพกศีรษะแบบแหลม (ก้อง เป้ว พิง) และนิยมใช้ลายปักสีเขียวมากกว่าสีอื่น (มงคล จันทร์บำรุง, 2535)
สำหรับกรรมวิธีการประดิษฐ์เครื่องแต่งกายนั้น ชาวอิ้วเมี่ยนในพื้นที่บ้านห้วยเฟือง อ.ปง จ.พะเยา กล่าวว่า ในอดีตชาวอิ้วเมี่ยนทอผ้าด้วยใยกัญชา ต่อมาเมื่อกัญชากลายเป็นพืชที่ผิดกฎหมาย จึงเลิกทอผ้าและนิยมซื้อผ้าทอซึ่งเป็นผ้าดิบจากชาวไทลื้อมาย้อมสีและปักลาย เพราะผ้าทอของชาวไทลื้อเหมาะสมแก่การนำมาปักผ้าแบบอิ้วเมี่ยน อีกทั้งเป็นการประหยัดเวลาและแรงงานในการทำกิจกรรมอื่นที่ให้ผลประโยชน์มากกว่า ทั้งนี้ การซื้อผ้าทอจากไทลื้อเป็นสิ่งที่ปฏิบัติกันมาตั้งแต่สมัยรุ่นแม ส่วนใหญ่ชาวอิ้วเมี่ยนบนดอยจะนำฝิ่นไปแลกซื้อผ้าทอ ด้าย และอุปกรณ์ตัดเย็บอื่น ๆ จากกองคาราวานพ่อค้าชาวจีนฮ่อที่เดินทางมาเร่ขายสินค้าในหมู่บ้าน หรือการลงจากดอยไปหาซื้อผ้าทอที่ตลาดในอำเภอเชียงคำซึ่งจะเกิดขึ้นนานๆ ครั้ง (จุฑารัตน์ โชติชัยชุติมา, 2562: สัมภาษณ์)
ทั้งนี้ กรรมวิธีการทอผ้าแบบดั้งเดิมว่า ชาวอิ้วเมี่ยนนิยมย้อมผ้าด้วยสีเดียวเป็นสีดำปนกับสีแดง เริ่มจากการซื้อผ้าดิบสีขาวจากเมืองเชียงคำ บางครั้งซื้อผ้าดิบสีดำมาย้อมสีแดง นำมาผสมกับน้ำปูนขาว แช่ผ้าทิ้งไว้ตอนกลางคืน ตอนเช้านำผ้าไปต้มและกรองด้วยน้ำขี้เถ้า จากนั้นนำผ้าไปตากให้แห้ง เมื่อย้อมสีดำเสร็จแล้วจะย้อมด้วยสีแดงต่อไป โดยใช้ไม้ไผ่และเปลือกไม้มะดู่ที่ให้สีแดง โดยนำเปลือกไม้เหล่านี้มาต้มกับแป้งข้าวเหนียว เพื่อให้สีแดงที่สกัดจากต้นมะดู่สามารถย้อมติดผ้า และแช่ผ้าทิ้งไว้ จากนั้นจึงนำผ้าที่ย้อมมาต้มและกรองด้วยน้ำขี้เถ้าและน้ำปูนใส โดยย้อมสีไป จนครบ 5 ครั้งเพื่อให้ได้สีที่สวย ติดทนนาน ผ้าที่ย้อมจะ เปลี่ยนจากสีดำสนิทกลายเป็นสีดำปนสีแดง จากนั้นให้ล้างด้วยน้ำสะอาดและตากให้แห้ง ม้วนผ้าและห่อด้วยกระดาษหนังสือพิมพ์เพื่อนำไปปักผ้าต่อไป (เหยนเกี๋ยว แซ่เติ๋น, 2561: สัมภาษณ์)
หลังจากย้อมผ้าเสร็จสิ้นแล้ว กรรมวิธีการประดิษฐ์เครื่องแต่งกายที่สำคัญที่สุดของชาวอิ้วเมี่ยน คือ การปักผ้า หญิงชาวอิ้วเมี่ยนเป็นกลุ่มคนผู้มีความสามารถในการปักผ้าซึ่งเป็นองค์ความรุที่ได้รับการถ่ายทอดจากแม่ ญาติผู้ใหญ่และผู้อาวุโสในชุมชนตั้งแต่ช่วงวัยเด็กโดยเริ่มจากการปักลายพื้นฐานที่ง่าย ทั้งนี้ การอบรมสั่งสอนให้ผู้หญิงชาวอิ้วเมี่ยนมีความเชี่ยวชาญในการปักผ้าเป็นเรื่องที่สำคัญที่สะท้อนคุณสมบัติของกุลสตรีที่ดี หญิงสาวชาวอิ้วเมี่ยนจะต้องปักชุดแต่งงานของตนเองและแม่เมื่อเข้าสู่พิธีแต่งงาน (เหมยย่าน วารีวิโรจน์, 2561: สัมภาษณ์) ปัจจุบัน ผู้หญิงอิ้วเมี่ยนสมัยใหม่จะนิยมซื้อชุดแต่งงานแบบสำเร็จรูปมากกว่าปักผ้าด้วยตนเอง (สิริวรรณ โชติชัยชุติมา, 2561: สัมภาษณ์)
ทั้งนี้ ชาวอิ้วเมี่ยนจะจับผ้าและเข็มแตกต่างจากกลุ่มชาติพันธุ์อื่นโดยการเริ่มปักผ้าจากด้านหลังผ้าขึ้นมายังด้านหน้าของผ้า ดังนั้น จึงต้องจับผ้าให้ด้านหน้าคว่ำลง เมื่อปักเสร็จแต่ละแถวจะม้วนและใช้ผ้าห่อไว้อีกชั้นหนึ่งเพื่อป้องกันสิ่งสกปรก สำหรับการปักลายเสื้อผ้าเพื่อใช้ทำเป็นเครื่องแต่งกายและของใช้ตามจารีตประเพณีนั้น ชาวอิ้วเมี่ยนมีวิธีการปักลายผ้า 4 แบบ ได้แก่ 1) การปักลายเส้น (กิ่ว กิ่ว) 2) การปักลายขัด (โฉ่งเกียม) 3) การปักลายแบบกากบาท (โฉ่งทิว) และ 4) การปักไขว้ (โฉ่ง ดับ ยับ) ในช่วงเวลาของการปักลายจะต้องจดจำชื่อและวิธีการปักลายไปพร้อมกัน (อภิชาต ภัทรธรรม, 2552, หน้า 136) หากเป็นเสื้อผ้าของผู้หญิงจะนิยมปักลายดอกไม้และลายเลื่อยที่เป็นซี่ แต่เสื้อผ้าของผู้ชายจะไม่นิยมมีลายปักหรืออาจมีลวดลายเพียงเล็กน้อย ส่วนใหญ่เป็นลายนกหรือต้นไม้ (เหยนเกี๋ยว แซ่เติ๋น, 2561: สัมภาษณ์) ในอดีต ที่การคมนาคมและการค้าขายยังกระจายไม่ทั่วถึงในพื้นที่บนดอย ชาวอิ้วเมี่ยนส่วนใหญ่นิยมใช้สีปักลายเพียง 5 สีเท่านั้น คือ สีแดง เหลือง น้ำเงิน เขียว และสีขาว ทว่านับตั้งแต่ช่วง 2 ทศวรรษที่ผ่านมา ชาวอิ้วเมี่ยนนิยมปักลายผ้าเพิ่มมากขึ้น และใช้สีต่าง ๆ เพิ่มขึ้น (อภิชาต ภัทรธรรม, 2552, หน้า 136 )
ชาวอิ้วเมี่ยนมีความภาคภูมิใจในความงดงามวิจิตรบรรจงของลายผ้าปักเป็นอย่างมาก ลายผ้าปักของชาวอิ้วเมี่ยนมีความละเอียดประณีตานปักผ้าของอิ้วเมี่ยนส่วนใหญ่มักจะปรากฏอย่างเด่นชัดบนเสื้อคลุม เสื้อผู้ชายหรือเด็ก กางเกง ผ้าโพกศีรษะ ผ้าคาดเอว ผ้าปิดหน้าอก ผ้ารัดหน้าอก ผ้าสะพาย รองเท้า ผ้าปิดท้องน้อย หมวกเด็กและผ้าห่อเด็ก ย่าม กระเป๋า เครื่องใช้กับม้า ผ้าพันแข้ง และเสื้อผ้าที่ใช้ในพิธีกรรม สัญลักษณ์ลายปักของอิ้วเมี่ยนเกี่ยวข้องกับมนุษย์ สัตว์ นก สาระทางศาสนา ความเชื่อ ดอกไม้เงิน พืชผลทางการเกษตร อาหาร ต้นไม้ ตลอดจนความหมายของโคลงกลอน และสาระเรื่องราวต่าง ๆ ในชีวิตประจำวัน
แม้ว่าชาวอิ้วเมี่ยนหลายกลุ่มได้อพยพแยกออกจากกลุ่มหลักไปตั้งถิ่นฐานในประเทศต่าง ๆ แต่ยังคงเลือกใช้สัญลักษณ์ลายปักของอิ้วเมี่ยนกลุ่มหลักในงานปักของกลุ่มตน โดยอิ้วเมี่ยนทุกกลุ่มยังคงใช้สัญลักษณ์ที่เกี่ยวข้องกับลัทธิเต๋าในรูปแบบของ “องค์ผู้บริสุทธิ์ทั้งสาม” หรือที่เรียกว่า ซันซิง 3 หรือ “สามบริสุทธิ์” เป็นปรมาจารย์สูงสุดของลัทธิเต๋าและเป็นผู้ปกครองสูงสุดแห่งจักรวาลทั้งหมด (พูเรต์, 2547, หน้า 38) การปักลายผ้าของอิ้วเมี่ยนถูกกำหนดกรอบไว้โดยจารีตประเพณีที่เคร่งครัด ในขณะเดียวกันยังเปิดโอกาสให้หญิงชาวอิ้วเมี่ยนสามารถสร้างสรรค์จินตนาการประดิษฐ์ลายปักใหม่บางโดยการนำลักษณะเด่นของแต่ละลายปักเดิมมาปรับปรุง หรือปักเพิ่มเติมให้ลายปักใหม่มีสีสันสวยงาม หรืออาจตั้งชื่อใหม่ เช่น ลายปักหมวกขององค์ผู้บริสุทธิ์ทั้งสาม (ฟามกุน) เป็นลายที่ปรับปรุงมาจากลายฟามซิง แม้ว่าชาวอิ้วเมี่ยนจะปักลายผ้าตามความเชื่อแต่ก็มิได้ถือว่าลายปักเป็นเครื่องรางของขลังหรือเป็นของศักดิ์สิทธิ์การปักลายจึงเน้นที่ความสวยงามมากกว่าจะเป็นเครื่องรางของขลัง (มูลนิธิกระจกเงา, 2552) นอกจากศิลปะด้านการปักผ้าแล้ว ชาวอิ้วเมี่ยนยังมีภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมที่โดดเด่นในการใช้เครื่องประดับเงิน ซึ่งนับเป็นวัฒนธรรมร่วมของกลุ่มชาติพันธุ์ในภาคใต้ของประเทศจีนหรือในเอเชียอาคเนย์ ที่ไม่ใช้ทองคำเป็นเครื่องประดับ แต่ตีค่าเงินเป็นสินค้าและทรัพย์สิน รวมทั้งนิยมใช้เงินเป็นพื้นฐานในการทำเครื่องประดับ ซึ่งแตกต่างจากวัฒนธรรมจีนเป็นอย่างมาก เนื่องจากชาวจีนถือว่า เงินเป็นโลหะที่ไม่มีความสำคัญ และให้คุณค่าเฉพาะทองคำเป็นโลหะที่มีค่า ความแตกต่างดังกล่าวส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะชาวอิ้วเมี่ยนและกลุ่มชาติพันธุ์อื่นๆ ที่อาศัยอยู่ในสภาพแวดล้อมที่สามารถหาโลหะเงินได้ง่ายมากกว่าทองคำประกอบกับในช่วงศตวรรษที่ผ่านมา มณฑลภาคใต้ของประเทศจีนได้มีการทำเหรียญกษาปณ์ด้วยเงินซึ่งใช้เป็นระบบเงินตราก่อให้เกิดการผลิตเหรียญเงินปลอมที่ทำจากเงินคุณภาพต่ำ เพื่อใช้ซื้อขายตามแนวชายแดนตอนใต้ของจีน ชาวอิ้วเมี่ยนจึงสามารถนำเหรียญเงินมาหลอมทำเครื่องประดับได้(พูเรต์, 2547, หน้า 63 -64)
สำหรับชาวอิ้วเมี่ยนนั้น เครื่องประดับเงินนับเป็นสินทรัพย์ที่มีความสำคัญต่อการดำรงชีวิตเป็นอย่างมากเครื่องประดับเงินของอิ้วเมี่ยนแบ่งออกเป็นหลายประเภท แต่เครื่องประดับเงินทั้งหมดจะใช้เป็นเครื่องประดับของผู้หญิง ส่วนผู้ชายจะไม่ใช้เครื่องประดับเงิน นอกจากกระดุมเงินที่นำมาติดบนเสื้อเท่านั้นทั้งนี้ นอกจากจะสวมใส่เครื่องประดับเงินเพื่อความสวยงามแล้ว เครื่องประดับเงินยังมีความเชื่อมโยงกับการดำเนินชีวิตของชาวอิ้วเมี่ยนตั้งแต่เกิดจนตาย (พูเรต์, 2547, หน้า 61 - 62; รฐษร ศรีสมบัติ,2559, หน้า 193 - 195) ดังต่อไปนี้ ได้อธิบายถึงความเชื่อมโยงของ
ประการแรก เครื่องประดับเงินนับเป็นมรดกตกทอดและสินทรัพย์ที่แสดงถึงสถานะทางเศรษฐกิจของครอบครัว พ่อแม่จะมอบเครื่องเงินเป็นมรดกตกทอดให้แก่ลูกชายที่ทำหน้าที่ดูแลพ่อแม่และสืบทอดระบบความเชื่อประจำตระกูลของแต่ละครอบครัวเครื่องเงินยังเป็นสินทรัพย์ที่แสดงถึงฐานะทางเศรษฐกิจครอบครัว แซ่สกุลและแซ่สกุลย่อย ทุกครอบครัวจึงสะสมเครื่องประดับเงินแทนสินทรัพย์อื่น ๆ เพราะสามารถซื้อและขายได้ง่าย รวมถึงความสะดวกในการนำติดตัวเมื่อต้องอพยพโยกย้าย หากชาวอิ้วเมี่ยนย้ายไปอยู่ในพื้นที่ที่โดดเดี่ยวและไม่มีความมั่นคง หัวหน้าครอบครัวจะซ่อนเครื่องเงินส่วนใหญ่ไว้นอกบ้าน โดยทั่วไปแล้วมักฝังไว้ที่ใดที่หนึ่งบริเวณเนินเขาใกล้บ้านมีเพียงหัวหน้าครอบครัวเท่านั้นที่รู้ซ่อน หากมีการตายเกิดขึ้นอย่างฉับพลันก็อาจนำปัญหาความเดือนร้อนมาสู่ครอบครัวได้ นอกจากนี้เครื่องเงินยังเป็นหลักทรัพย์พื้นฐานของการออมทรัพย์ เพราะวิถีชีวิตแบบอิ้วเมี่ยนไม่อำนวยให้ถือครองที่ดินได้อย่างถาวรจากบันทึกสายสกุลของบรรพบุรุษชาวอิ้วเมี่ยนทำให้ทราบว่า เครื่องเงินมีสถานะเป็นมรดกของครอบครัวที่จะมีการเปลี่ยนมือจากแม่สู่ลูกเป็นเวลาหลายชั่วอายุคน โดยเฉพาะช่วงปลายคริสต์ทศวรรษ 1950 ชาวอิ้วเมี่ยนบางส่วนที่มีฐานะทางเศรษฐกิจที่ดีขึ้นจากการปลูกฝิ่น จึงได้เก็บออมส่วนหนึ่งด้วยการลงทุนเกี่ยวกับเงินและเครื่องเงิน ซึ่งสามารถนำออกมาใช้ในยามจำเป็นได้
ประการที่สอง การใช้เครื่องประดับเงินเพื่อแสดงถึงฐานะทางเศรษฐกิจของผู้ชายในครอบครัว กล่าวคือ แม้ว่าผู้หญิงชาวอิ้วเมี่ยนเป็นผู้ครอบครองเครื่องประดับเงิน แต่การครอบครองเครื่องประดับเงินของผู้หญิงกลับมีนัยะที่แสดงถึงฐานะทางเศรษฐกิจของผู้ชายอิ้วเมี่ยนที่เป็นสามีและพ่อสามี เพราะชาวอิ้วเมี่ยนมีค่านิยมในการยกย่องผู้ที่มีเครื่องประดับเงินในการครอบครองว่าเป็นผู้ที่มีฐานะดีผู้ชายอิ้วเมี่ยนจึงนิยมสะสมเครื่องประดับเงินให้ภรรยาและลูกสาวสวมใส่ เพื่อแสดงถึงฐานะทางเศรษฐกิจของตน (รฐษร ศรีสมบัติ, 2559, หน้า 193)ดังจะเห็นได้จากกรณีของพญาคีรี ศรีสมบัติ ผู้นำอิ้วเมี่ยนคนแรกที่อพยพเข้ามาในประเทศไทยและปกครองชาวอิ้วเมี่ยนในบริเวณจังหวัดน่าน พะเยา เชียงราย ในฐานะที่เป็นผู้นำคนสำคัญและเป็นตระกูลที่มีฐานะจึงสามารถมีเครื่องประดับเงินให้กับสมาชิกผู้หญิงในครอบครัวใส่ประดับได้แต่สำหรับชาวบ้านอิ้วเมี่ยนทั่วไปในยุคนั้น แม้ว่าจะยังไม่มีเครื่องประดับเงินไว้ในครอบครอง หรือแม้กระทั่งไม่มีรองเท้าสวมใส่ เพราะบุคคลที่มีรองเท้าใส่จะเป็นเพียงผู้ชายอิ้วเมี่ยนที่เป็นผู้นำเท่านั้นแต่กระนั้น ชาวอิ้วเมี่ยนกลับให้ความสำคัญกับการครอบครองเครื่องประดับเงินมากกว่าการซื้อรองเท้ามาใส่เพื่อเดินทางไปทำไร่ ทำสวน (รฐษร ศรีสมบัติ, 2559, หน้า 194)
สัญลักษณ์ที่ใช้ประดับตกแต่งในเครื่องประดับเงินมีรูปแบบที่หลากหลายไม่ยึดติดกับรูปแบบดั้งเดิม หากแต่ยังคงสัญลักษณ์หลักที่สำคัญ ได้แก่ น้ำเต้าและน้ำเต้าคู่ ดาวหลายแฉก “ร่มฟามชิง” ปลา นก ผีเสื้อ มังกร และต่างหูรูปคล้ายลูกศรซึ่งเป็นสัญลักษณ์ที่เก่าแก่และนิยมใช้ในกลุ่มของชาวอิ้วเมี่ยนทว่าความหมายที่แท้จริงของสัญลักษณ์ดังกล่าวได้สูญหายไปแต่มีข้อสันนิษฐานว่า สัญลักษณ์นี้อาจดูเหมือนกับอาวุธ ลูกศร หรือหอก ที่ก้านศรตีม้วนให้เป็นรูปวงกลมเพื่อจะได้ห้อยไว้ที่รูของติ่งหู หรืออาจเป็นดาบซึ่งมีความสัมพันธ์กับความเชื่อในลัทธิเต๋า (พูเรต์, 2547, หน้า 68)การที่เครื่องประดับเงินของชาวอิ้วเมี่ยนมีลวดลายเฉพาะตัวที่บ่งบอกถึงอัตลักษณ์ของกลุ่มชาติพันธุ์ได้อย่างเด่นชัด ชาวอิ้วเมี่ยนจึงนิยมใส่เฉฑาะเครื่องประดับเงินที่เป็นของกลุ่มตนเองไม่นิยมซื้อเครื่องประดับเงินที่ผลิตโดยคนกลุ่มอื่น(จุฑารัตน์ โชติชัยชุติมา, 2562, สัมภาษณ์) แต่กระนั้น แม้ว่าชาวอิ้วเมี่ยนจะมีความเชี่ยวชาญในการทำเครื่องเงินเป็นอย่างสูง แต่ก็มิได้ทำเป็นอาชีพหลัก จนกระทั่งในปี 2528 ชาวอิ้วเมี่ยนหันมาทำงานหัตถกรรมเครื่องเงินเป็นอาชีพหลักมากขึ้น ช่างเงินเริ่มทำเครื่องเงินแบบประยุกต์ให้มีความทันสมัย จึงได้รับความนิยมทั้งในกลุ่มชาวอิ้วเมี่ยน ขยายไปถึงคนเมือง ชาวไทย และกลุ่มชาติพันธุ์บนพื้นที่สูงอื่น ๆ เช่น ชาวม้ง (Natdanai Thammanuwat, 2013)
ปัจจุบัน ด้วยการสนับสนุนจากทั้งภาครัฐและภาคเอเชนเครื่องเงินของชาวอิ้วเมี่ยนจึงได้ถูกนำมาพัฒนาลวดลายและเทคนิคขั้นตอนการผลิตที่ทันสมัยขึ้น จนกลายเป็นสินค้าทางวัฒนธรรมที่มีชื่อเสียงของชาวอิ้วเมี่ยนเป็นสินค้าส่งออกต่างประเทศส่งผลทำให้ช่างเงินชาวอิ้วเมี่ยนหลายรายสามารถยกระดับตนเองกลายเป็นผู้ประกอบการธุรกิจ SME ที่ประสบความสำเร็จหนึ่งในธุรกิจ SME เครื่องประดับเงินของชาวอิ้วเมี่ยนที่มีชื่อเสียงในวงกว้าง คือ บริษัทดอย ซิลเวอร์ จำกัด (Doi Siver) อำเภอปัว จังหวัดน่านธุรกิจของตระกูลรุ่งรชตะวานิชซึ่งเป็นตระกูลช่างเงินชาวอิ้วเมี่ยนตั้งแต่สมัยที่บรรพบุรุษยังอาศัยอยู่ในสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวเมื่ออพยพมาอาศัยอยู่ในประเทศไทยจึงยังคงยึดอาชีพการเป็นช่างเงินชาวเมี่ยน แต่เน้นผลิต เครื่องประดับเงินเพื่อนำไปจำหน่ายให้กับชาวอิ้วเมี่ยน ทั้งในประเทศไทย และสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวจนกระทั่งทายาทรุ่นที่ 3 คือ นายจั้นต้อง รุ่งรชตะวานิช ได้มีโอกาสไปทำเครื่องเงินร่วมกับช่างที่ศูนย์ศิลปาชีพจิตรลดา พร้อมทั้งเคยร่วมถวายงานที่พระตำหนักภูพิงคราชนิเวศน์ จังหวัดเชียงใหม่ จึงนำประสบการณ์และความรู้ที่ได้กลับมาพัฒนางานเครื่องงานให้แพร่หลายและเป็นที่ยอมรับในกลุ่มคนมากขึ้นจนกระทั่งปัจจุบันมีพนักงานเพิ่มขึ้นกว่า 100 คนซึ่งเป็นคนในชุมชน และในจำนวนนั้นมีช่างฝีมือประมาณ 40 – 50 คนที่พร้อมถ่ายทอดความรู้ให้แก่คนรุ่นใหม่ปัจจุบันตลาดหลักของเครื่องเงินดอยซิลเวอร์อยู่ในต่างประเทศ ประมาณร้อยละ 80 โดยเฉพาะประเทศสหรัฐอเมริกา แคนาดา และจีน เป็นการผลิตตามคำสั่งซื้อ (OEM) ซึ่งมีการส่งช่างฝีมือต่างชาติมาร่วมพัฒนาผลิตภัณฑ์ ทำให้เครื่องเงินของดอยซิลเวอร์เป็นที่ยอมรับในเวลาอันรวดเร็วขณะที่การผลิตเพื่อจำหน่ายในประเทศประมาณร้อยละ 20ใน อำเภอปัว จังหวัดน่าน และร้านจำหน่ายที่ศูนย์โอทอป อำเภอเมืองน่าน(ผู้จัดการออนไลน์, 2560)
การเติบโตของธุรกิจเครื่องประดับเงินอิ้วเมี่ยนในบริบทสังคมทุนนิยมยังได้เปิดพื้นที่ให้ผู้หญิงชาวอิ้วเมี่ยนสามารถเข้าสู่การเป็นช่างเงินหญิง แม้ว่าอาชีพช่างเงินเป็นอาชีพที่ไม่ได้มีข้อห้ามเกี่ยวกับเรื่องเพศ แต่ในอดีต ก่อน พ.ศ.2527 ในสังคมอิ้วเมี่ยนไม่พบว่ามีผู้หญิงอิ้วเมี่ยนประกอบอาชีพช่างเงิน โดยงานศึกษาของ รฐษร ศรสมบัติ (2559, หน้า 215218) ได้อธิบายเกี่ยวกับการเข้าสู่อาชีพช่างเงินของผู้หญิงอิ้วเมี่ยน ผ่ากรณีศึกษาที่น่าสนใจ 2 กรณี ดังนี้ 1) นางพิมพร รุ่งรชตะวาณิช ช่างเงินหญิงคนแรก นางพิมพรเป็นสะใภ้ตระกูลรุ่งรชตะวาณิช ซึ่งเป็นตระกูลช่างเงินเก่าแก่ เขาก้าวเข้าสู่ตำแหน่งช่างเงินหญิงคนแรกของอิ้วเมี่ยนใน พ.ศ. 2527 ด้วยการสนับสนุนจากสามีและพ่อสามีที่ต้องการให้เรียนรู้กระบวนการผลิตเครื่องประดับเงินและเป็นช่างเงินหญิง เพื่อเป็นกำลังหลักในการผลิตเครื่องประดับเงินให้กับครอบครัวที่ไม่สามารถผลิตเครื่องประดับเงินได้อย่างเพียงพอกับความต้องการของตลาดที่เติบโตอย่างรวดเร็วจากตำแหน่งช่างเงินหญิงคนแรกของอิ้วเมี่ยน นางพิมพรได้ก้าวสู่การเป็นผู้หญิงอิ้วเมี่ยนคนแรก ๆ ที่ประสบความสำเร็จในการประกอบธุรกิจเครื่องประดับเงินปัจจุบัน นางพิมพรมีตำแหน่งเป็นเจ้าของบริษัทดอยซิลเวอร์ แฟคเตอรี จำกัด
2) กลุ่มช่างเงินหญิงชาวอิ้วเมี่ยน หมู่บ้านห้วยสะนาว ผู้หญิงอิ้วเมี่ยนในหมู่บ้านห้วยสะนาว (ป่ากลาง) อําเภอปัว จังหวัดน่าน ก้าวเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจชุมชน ในฐานะช่างเงินหญิงชาวอิ้วเมี่ยนอย่างเป็นทางการตั้งแต่ปี พ.ศ. 2531 โดยการสนับสนุนของนายกมล แซ่เติ๋น ช่างเงินหลวงชาวอิ้วเมี่ยนที่เล็งเห็นถึงความละเอียดในการทำงานฝีมือปักผ้าของผู้หญิงอิ้วเมี่ยนซึ่งสอดคล้องกับการทำเครื่องประดับเงินที่ต้องอาศัยทักษะการทำงานด้วยความละเอียดเช่นกันประกอบกับในช่วงเวลานั้น ผู้ชายอิ้วเมี่ยนก็เริ่มไปประกอบอาชีพอื่น ๆ เช่น การ กรีดยางพารา การทําสวนผลไม้มากกว่าการเป็นช่างเงินนับตั้งแต่นั้น ช่างเงินหญิงชาวอิ้วเมี่ยนจึงกลายเป็นกำลังผลิตสำคัญที่อยู่เบื้องหลังเครื่องประดับเงินของเมืองน่าน ซึ่งกลายเป็นสินค้า้ OTOP ในระดับจังหวัดโดยสัดส่วนของช่างเงินในชุมชนเป็นผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย
จากที่กล่าวมาข้างต้น จะเห็นว่า ชาวอิ้วเมี่ยนเป็นกลุ่มชนที่มีพลวัตการแต่งกายที่เปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัย โดยเฉพาะการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นภายหลังจากล้มเลิกการทำเกษตรบนพื้นที่สูง และอพยพเข้ามาหาอาชีพทางเลือกในเมือง ชาวอิ้วเมี่ยนจึงเริ่มปรับตัวให้เข้ากับวิถีชีวิตของคนพื้นราบ รวมถึงการปรับตัวด้านวัฒนธรรมการแต่งกาย กลุ่มที่อพยพมาทำงานและอาศัยอยู่ในเมืองบริเวณภาคเหนือเริ่มใส่เสื้อแบบพื้นเมือง แต่เปลี่ยนไปใส่กางเกงยีนส์แบบคนพื้นราบ จนกระทั่ง เปลี่ยนมาแต่งกายแบบสมัยใหม่เช่นเดียวกับคนในเมืองตามที่ปรากฏในปัจจุบัน มีเพียงผู้อาวุโสส่วนน้อยในหมู่บ้านที่ยังคงแต่งกายด้วยเสื้อผ้าแบบดั้งเดิม อย่างไรก็ตาม ชาวอิ้วเมี่ยนยังคงมีชุดพื้นเมืองของตนเอง ซึ่งเก็บไว้สวมใส่ในงานพิธีกรรมหรือประเพณีที่สำคัญเท่านั้น (จุฑารัตน์ โชติชัยชุติมา, 2562: สัมภาษณ์)ผู้ นอกจากนี้ ข้อมูลข้างต้นยังสะท้อนให้เห็นว่า ชาวอิ้วเมี่ยนยังเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ที่มีอัตลักษณ์ภูมิปัญญาวัฒนธรรมที่โดดเด่นด้านการปักลายผ้าและการทำเครื่องประดับเงินที่เป็นองค์ความรู้ที่มีส่วนสำคัญในการพัฒนาคุณภาพชีวิตของชาวอิ้วเมี่ยน
ปัจจุบัน กระแสสังคมไทยได้ยอมรับความหลากหลายทางวัฒนธรรมของกลุ่มชาติพันธุ์ ในประเทศไทยมากขึ้นชาวอิ้วเมี่ยนจึงมีความภาคภูมิใจและตื่นตัวที่จะแสดงอัตลักษณ์ทางชาติพันธุ์ของตนด้วยการสวมใส่ชุดพื้นเมืองมากขึ้นซึ่งนับเป็นการช่วยสนับสนุนให้อาชีพที่เกี่ยวข้องกับทุนวัฒนธรรมดั้งเดิมยังสามารถดำรงอยู่ต่อไปได้ชาวอิ้วเมี่ยนจึง ยังคงใช้เวลาว่างจากการทำสวนมารับจ้างย้อมผ้าแบบดั้งเดิม โดยใช้เวลาย้อมผ้าได้ครั้งละ 12 ผืน ต่อ 2 อาทิตย์ราคาขายผ้าย้อมผืนละ 700 บาท ลูกค้าประจำที่สั่งผ้าย้อม ส่วนใหญ่เป็นคนในหมู่บ้านและชาวอิ้วเมี่ยนจากต่างจังหวัด โดยเฉพาะจังหวัดน่าน โดยมีการสัง่สินค้าอย่างต่อเนื่อง (เหยนเกี๋ยวแซ่เติ๋น, 2561: สัมภาษณ์)
-
โครงสร้างทางสังคม
-
โครงสร้างทางสังคม :
โครงสร้างทางสังคม
โครงสร้างทางสังคมของชาวอิ้วเมี่ยน ประกอบด้วย ระบบครอบครัว ระบบเครือญาติ ระบบชุมชน และระบบการเมือง โดยมีรายละเอียดดังนี้
ระบบครอบครัว
ในอดีต ครอบครัวของชาวอิ้วเมี่ยนเป็นครอบครัวแบบขยายที่มีความสัมพันธ์กับวิถีการผลิตแบบเกษตรกึ่งยังชีพบนพื้นที่สูงChob Kacha Ananda (1997) ได้ระบุถึงโครงสร้างของครอบครัวอิ้วเมี่ยนตามจารีตว่า ในบ้านหนึ่งหลังหรือหนึ่งครัวเรือนจะประกอบด้วยครอบครัวหลายครอบครัว ที่เป็นสมาชิกในตระกูลเดียวกันโครงสร้างของครอบครัวเริ่มต้นจากการที่ชายหนึ่งหญิงหนึ่งมาแต่งงานกัน เป็นครอบครัวเดี่ยวอยู่ในบ้าน หรือครัวเรือนหนึ่ง ก่อนจากนั้นจึงมีการขยายตัวของจำนวนประชากร เมื่อพอ ลูกสาวที่แต่งงานจะย้ายไปอยู่กับสามีส่วนลูกชายเมื่อแต่งงานแล้วยังคงอาศัยกับพ่อแม่ของตนในบ้านหลังเดิมสักระยะหนึ่งเพื่อตอบแทน หรือดูแลบริการพ่อแม่ จากนั้นฝ่ายลูกชายจะให้เหตุผลในเรื่องบ้านคับแคบเกินไปหรือจำเป็นต้องย้ายไปทำงานที่อื่นเมื่อได้รับอนุญาตจากพ่อแม่จึงจะทยอยออกไปสร้างบ้านอยู่เป็นของตัวเองในละแวกใกล้เคียงกัน
ทั้งนี้ ตามจารีตประเพณีดั้งเดิมนั้น ลูกชายคนโตมักจะได้ครอบครองบ้านและทรัพย์สินส่วนใหญ่ เพราะต้องเป็นหลักในการดูแลพ่อแม่ รวมทั้งทำหน้าที่เป็นหัวหน้าครัวเรือนในการดูแลพี่สาว/น้องสาวที่ยังไม่แต่งงานที่อยู่ร่วมในบ้านหลังเดิมอย่างไรก็ตาม หากลูกชายคนโตไม่มีความสามารถในการดูแลพ่อแม่ เช่น มีฐานะยากจน หรือปัญหาสุขภาพ ลูกชายคนอื่นจะทำหน้าที่ดูแลพ่อแม่แทนอย่างไรก็ตาม กรณีของลูกชายคนอื่น ที่แต่งงานแยกครอบครัวไปต้องนำเงินส่วนใหญ่มาตอบแทนบุญคุณของพ่อแม่ หรือกรณีที่เสียชีวิต ทรัพย์สินของลูกชายก็จะต้องตกเป็นของพ่อแม่ที่ยังมีชีวิตอยู่ โดยภรรยาของลูกชายไม่มีสิทธิ์ในทรัพย์สินของสามีตนเอง(จุฑารัตน์ โชติชัยชุติมา, 2562: สัมภาษณ์)
ชาวอิ้วเมี่ยนให้ความนับถือและสืบเชื้อสายจากทางฝ่ายชาย โดยลูกจะใช้แซ่ตามพ่อ และถือวิญญาณบรรพบุรุษตามพ่อ หากครอบครัวใดไม่มีบุตรชายที่จะสืบผีของตระกูลก็มักจะนิยมรับบุตรบุญธรรม หรือที่เรียกว่า “ลูกอุ้ม” เป็นการนำลูกคนอื่นมาเลี้ยงดูเสมือนลูกที่ถือกำเนิดจากตนเอง โดยจ่ายเงินให้กับพ่อแม่เดิมของเด็กเป็นค่าตอบแทนที่ให้กำเนิดและเลี้ยงเด็กคนนั้นมาส่วนใหญ่นิยมเลือกเด็กแรกเกิดหรือยังเล็กจากคนรู้จัก เช่น ลูกที่เกิดจากเครือญาติ หรือเด็กที่พ่อแม่ยากจน แต่เป็นคนดี เด็กที่ถูกซื้อมาเลี้ยง ส่วนใหญ่จะเลือกเด็กผู้ชายเชื้อสายอิ้วเมี่ยนมาเป็นผู้สืบตระกูลและดูแลพ่อแม่ยามชรา ในขณะที่บางครอบครัวได้รับเด็กชาติพันธุ์อื่นมาเลี้ยงหรือรับเด็กหญิงมาเลี้ยงเพราะถูกชะตามากกว่า
การสืบตระกูล โดย “ลูกอุ้ม” ถือว่ามีศักดิ์และสิทธิ์ตามประเพณีเหมือนกับเด็กอิ้วเมี่ยนทุกประการ (วิสุทธ์ เหล็กสมบูรณ์, 2545, หน้า 69)สำหรับเด็กที่เกิดมาโดยไร้ผู้ที่เป็นบิดา เป็นเรื่องที่จารีตประเพณีอิ้วเมี่ยนยอมรับได้ โดยบุตรจะต้องนับถือผีทางฝ่ายมารดาและใช้แซ่ตระกูลเดียวกับมารดา พิชญ์พิเชฐ พันธุ์พิสุทธิชน, 2550, หน้า 108)ส่วนการให้กำเนิดลูกแฝดชาย – หญิง ชาวอิ้วเมี่ยนมีความเชื่อว่า ทั้งสองคนเป็นเนื้อคู่กันมาต้องแบ่งลูกสาวให้คนอื่นไปรับเลี้ยงดู เมื่อเติบโตเป็นผู้ใหญ่จะต้องให้ทั้งสองคนได้แต่งงานกัน หากมิเป็นเช่นนั้น จะทำให้เกิดเรื่องไม่ดีขึ้นกับพี่น้องทั้งสองคนนี้คนใดคนหนึ่ง (เครือข่ายวัฒนธรรมอิ้วเมี่ยน, 2545, หน้า 22, 26)
สำหรับหลักเกณฑ์ในการรับมรดก ซึ่งเป็นที่ดินตามจารีตประเพณีนั้น สิทธิ์ในมรดกส่วนใหญ่จะตกเป็นของลูกที่เลี้ยงดูพ่อแม่จะได้รับมากกว่าคนอื่น ส่วนลูกสาว ตามจารีตประเพณีดั้งเดิมจะไม่มีสิทธิ์ได้รับมรดกเพราะต้องไปนับถือผีตระกูลสามีและรับสมบัติกับทางฝ่ายสามีแทน ลูกชายทำหน้าที่เลี้ยงดูพ่อแม่ตามประเพณี เมื่อพ่อแม่เสียชีวิตก็ต้องทำพิธีศพ ออกเงิน และทำหน้าที่สืบผีส่วนลูกสาวจะช่วยเตรียมงาน ดูแลเรื่องอาหารและต้อนรับแขก (วิสุทธ์ เหล็กสมบูรณ์, 2545, หน้า 78)
ระบบครอบครัวของชาวอิ้วเมี่ยนมีการแบ่งงานกันทำตามเพศสภาพอย่างชัดเจนเพศชายมีหน้าที่เป็นผู้นำทางสังคม ประเพณี และพิธีกรรมรวมทั้งเป็นผู้ชี้ขาดตัดสินปัญหาทุกอย่างภายในบ้านส่วนเพศหญิงมีสถานภาพทางสังคมต่ำกว่าชาย มีหน้าที่เลี้ยงลูก ทำงานบ้าน ปรนนิบัติผู้สูงอายุ รวมถึงงานในไร่นา อำนาจในการตัดสินใจเรื่องราวต่าง ๆ ของครอบครัว ทั้งการผลิต การใช้เงินและจัดสรรทรัพยากรส่วนใหญ่ จะเป็นของผู้ชายที่เป็นหัวหน้าครอบครัวผู้หญิงต้องเคารพและเชื่อฟังสามี ไม่มีสิทธิ์ตอบโต้
อย่างไรก็ตาม การใช้อำนาจของหัวหน้าครอบครัวจะถูกกำกับด้วยจริยธรรมของชาวอิ้วเมี่ยน เช่น ไม่แสดงความก้าวร้าวรุนแรงต่อสตรี เด็กหรือ ผู้ที่มีร่างกายอ่อนแอกว่า ต้องมีความเห็นอกเห็นใจกันในครอบครัวหลักจารีตนี้มีไว้เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการเอาเปรียบกันมากเกินไปอย่างไรก็ตาม อำนาจต่อรองของผู้หญิงในบ้าน โดยเฉพาะผู้หญิงที่มีอาวุโสที่มีสิทธิจะได้รับการเอาอกเอาใจ เคารพนับถือและปรนนิบัติจากลูกหลานส่วนเด็กผู้หญิงและหญิงสาวมีอำนาจต่อรองน้อย (วิสุทธ์ เหล็กสมบูรณ์, 2545, หน้า 140)นอกจากนี้ ความเชื่อเรื่องผีบรรพบุรุษยังมีอิทธิพลต่อการกำหนดพื้นที่ทางสังคมวัฒนธรรมและพื้นที่ทางกายภาพของผู้หญิงโดยพื้นที่ในบ้านที่จัดไว้เป็นสัดส่วนสำหรับผู้หญิง คือ ห้องครัวและห้องน้ำผู้หญิงไม่มีสิทธิ์ย่างกรายเข้าไปในห้องรับแขกและหิ้งบูชาผีบรรพบุรุษโดยไม่จำเป็น เพราะถือเป็นพื้นที่ของผู้ชายนอกจากนี้ ผู้หญิงยังไม่สามารถเดินทางออกนอกหมู่บ้านตามลำพัง หรือไปค้างคืนที่อื่น หากละเมิดจะถือเป็นการกระทำที่ผิดจารีต ต้องทำพิธีขอขมาต่อบรรพบุรุษ และถูกสังคมมองว่าเป็น “ผู้หญิงไม่ดี”ด้วยเหตุนี้ ผู้หญิงอิ้วเมี่ยนจึงเป็นเพศที่สังคมจารีตคาดหมายให้อยู่ในการคุ้มครอง ดูแล และควบคุมของผู้ชายอิ้วเมี่ยน (วิสุทธ์ เหล็กสมบูรณ์, 2545, หน้า 140)
ปัจจุบันระบบครอบครัวของชาวอิ้วเมี่ยน ได้รับอิทธิพลจากนโยบายการพัฒนาแบบทันสมัยและกระแสโลกาภิวัฒน์ ได้ผลักดันให้ชาวอิ้วเมี่ยนต้องยุติวิถีการผลิตแบบการเกษตรกึ่งยังชีพบนพื้นที่สูง และหันมาทำการเกษตรแบบเชิงพาณิชย์ นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงทางโครงสร้างของระบบครอบครัวและระบบสังคมตามจารีตประเพณี โครงสร้างระบบครอบครัวแบบขยายที่ให้อำนาจผู้ชายในการควบคุมจัดการระบบการผลิตและพื้นที่ทางสังคมมากกว่าผู้หญิง ได้ถูกแทนที่ด้วยระบบครอบครัวเดี่ยวที่เริ่มขยายตัวมากขึ้น ในขณะที่ครอบครัวแบบขยายมีจำนวนลดลง เนื่องจากในช่วงแรกที่ชาวอิ้วเมี่ยนมีรายได้จากการเกษตรเชิงพาณิชย์ จึงแยกตัวจากครอบครัวเดิม มาสร้างครอบครัวใหม่ในละแวกใกล้เคียงกัน ส่งผลทำให้หมู่บ้านขยายตัวขึ้นเมื่อชาวอิ้วเมี่ยนประสบความล้มเหลวในการทำเกษตรบนพื้นที่สูงในเวลาต่อมาคนหนุ่มสาวจึงได้ย้ายเข้าไปหาประกอบอาชีพทางเลือกและเลือกที่จะตั้งถิ่นฐานในเมืองเป็นจำนวนมากในขณะที่ครอบครัวเดิมในหมู่บ้านมักเหลือเฉพาะผู้สูงอายุและเด็กที่ไม่สะดวกในการเคลื่อนย้าย
ด้วยเหตุนี้ หลักการแบ่งงานกันทำตามเพศ ที่มองว่าผู้หญิงมีสถานะเป็นแรงงานผู้ผลิตในระบบการผลิตแบบดั้งเดิมจึงเริ่มหมดความสำคัญลงอย่างไรก็ตาม สภาพการณ์ส่วนใหญ่มักจะเกิดกับชุมชนอิ้วเมี่ยนที่จะปรับตัวเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจแบบตลาดหรือย้ายมาอาศัยอยู่ในพื้นราบใกล้กับเขตเมือง ที่ไม่มีการแบ่งงานกันทำระหว่างเพศที่ชัดเจนส่วนชุมชนอิ้วเมี่ยนที่ห่างไกลจากสังคมเมือง ที่ดำรงชีพด้วยการเกษตรแบบยังชีพยังคงยึดถือการแบ่งงานกันทำระหว่างเพศตามจารีตประเพณี นอกจากนี้ การศึกษาสมัยใหม่ภายใต้ระบอบทุนนิยมยังหล่อหลอมให้ผู้หญิงชาวอิ้วเมี่ยนมีสถานะเป็นแรงงานที่ขับเคลื่อนระบบทุนนิยมทัดเทียมกับผู้ชายผู้หญิงอิ้วเมี่ยนรุ่นใหม่จึงต้องมีทักษะการประกอบอาชีพสมัยใหม่และมีการศึกษาในระดับสูง ตลอดจนมีสินทรัพย์เป็นของตนเอง จึงจะสามารถมีบทบาทและอำนาจต่อรองทางเศรษฐกิจทั้งในครอบครัวและสังคมได้มากขึ้น (วิสุทธิ์ เหล็กสมบูรณ์, 2545)
ระบบเครือญาติ
ชาวอิ้วเมี่ยนถือว่า เครือญาติมีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากความเป็นเครือญาติเป็นระบบสวัสดิการขั้นพื้นฐานของทุกคนในชุมชน ทุกชีวิตต้องเชื่อมโยงพึ่งพาอาศัยกันตั้งแต่เกิดจนตายโดยให้ความสำคัญกับญาติตามลำดับต่าง (สมเกียรติ จำลอง, 2545) ดังนี้ 1) ญาติใกล้ (เชี่ยนฟัด) หรือญาติร่วมสายเลือดที่ต้องรับผิดชอบผีบรรพบุรุษร่วมกัน ชาวอิ้วเมี่ยนจะถือเป็นที่พึ่งแรก2) ญาติห่าง ๆ (เชี่ยนไง) หมายถึง ผู้ที่มีบรรพบุรุษร่วมสายเลือดเดียวกันมาช่วงหนึ่ง ต่อมาได้แยกสาแหรกไป แม้จะถือแซ่เดียวกัน แต่มีผีบรรพบุรุษ (จ่าฟินเจี๊ยว) ต่างกัน ถือเป็นที่พึ่งถัดมา 3) ญาติทางการแต่งงาน (ชิ่งจาหมั่วต่อย) ถือเป็นที่พึ่งถัดมา4.) ญาติร่วมหมู่บ้าน (โต้งอั๋งจ่วงหลางเมี่ยนหมั่วต่อย) ถือเป็นที่พึ่งถัดมา5) ญาติร่วมเผ่า (เมี่ยมั่วต่อย) เป็นต้น
สำหรับแซ่ตระกูลอิ้วเมี่ยนที่พบในประเทศไทย มีทั้งหมด 12 แซ่ ได้แก่ 1) แซ่พ่าน2)แซ่ลี3) แซ่จ๋าว4) แซ่ตั้ง เติ้น เต็น หรือเติน5) แซ่ล่อ6) แซ่ว่าง7) แซ่ฟุ้ง8) แซ่เฉิน หรือฉิ่น9) แซ่เลี้ยว10) แซ่ล่วย11) แซ่ตั๊วะ12) แซ่ท้าวแต่ละแซ่ตระกูลจะมีรุ่นของตระกูลบางตระกูลมี 4 รุ่น หรือ 5 รุ่นการนับรุ่นจะนับตั้งแต่รุ่นแรกไป จนครบ 4 หรือ 5 รุ่น ขึ้นอยู่กับแต่ละตระกูล จากนั้นจะวนเวียนกลับมานับที่รุ่นแรกใหม่เวียนไปเรื่อย ๆหากต้องการทราบว่า บุคคลนั้นเป็นญาติหรือไม่ต้องทราบตระกูล เมื่อทราบว่ามาจากตระกูลเดียวกันหมายความว่าเป็นญาติกัน มักจะถามต่อเพื่อให้ทราบว่าเป็นลูกของใครการถามเช่นนี้จะทำให้ทราบว่า เป็นรุ่นใดและเป็นญาติกันอย่างไร จะเรียกกันแบบใด เช่น เป็นปู่ ลุง ป้า น้า อา หลาน หรือเป็นรุ่นเดียวกัน(เครือข่ายวัฒนธรรมอิ้วเมี่ยน,2545, หน้า 26 - 27)
สำหรับคนรุ่นใหม่ในปัจจุบัน โดยเฉพาะคนในกลุ่มที่ได้รับการศึกษาอและทำงานในเมืองนั้น ระบบแซ่ตระกูลและการนับเครือญาติเริ่มเปลี่ยนแปลงไปเนื่องจากชาวอิ้วเมี่ยนได้เปลี่ยนแปลงมาใช้นามสกุลไทยแทนระบบแซ่เดิม รวมทั้ง การหยิบยืมคำศัพท์เรียกเครือญาติที่เป็นภาษาไทยมาใช้แทนคำในภาษาอิ้วเมี่ยน ซึ่งไม่มีนัยยะของการแสดงความสัมพันธ์ทางเครือญาติแบบอิ้วเมี่ยนหลงเหลืออยู่ (ประสิทธิ์ ลีปรีชา และคณะ, 2547, หน้า 10) อย่างไรก็ตาม แม้ว่าชาวอิ้วเมี่ยนส่วนใหญ่จะเปลี่ยนไปใช้ชื่อและนามสกุลแบบไทย แต่ยังคงมีการพบปะสังสรรค์ภายในกลุ่มที่รักษาธรรมเนียมการซักถามคู่สนทนาเกี่ยวกับแซ่ตระกูลหากมาจากแช่ตระกูลเดียวกันจะทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองฝ่ายมีความใกล้ชิดสนิทสนมมากขึ้น ธรรมเนียมดังกล่าวยังถือปฏิบัติกันทั้งในกลุ่มชาวอิ้วเมี่ยนที่นับถือผีและไม่ได้นับถือผี(สิริวรรณ โชติชัยชุติมา, 2562: สัมภาษณ์)
ระบบชุมชน
เนื่องจากชาวอิ้วเมี่ยนตั้งชุมชนอยู่บนเทือกเขาสูงในเขตทุรกันดารห่างไกลจากชุมชนอื่น จึงมีความอิสระอย่างสูงในการดำรงชีวิตและจัดการความสัมพันธ์ของผู้คนในชุมชนตามจารีตประเพณีของตน ระบบโครงสร้างชุมชนของชาวอิ้วเมี่ยน (ประสิทธิ์ ลีปรีชา และคณะ, 2547, หน้า 13 - 15) มีดังนี้
1) ผู้ปกครองหรือหัวหน้าหมู่บ้าน (ต้าวเมี่ยน, ล่างโก๋ หรือล่างเจี้ยว) อาจเป็นบุคคลที่ได้รับหรือไม่ได้รับการแต่งตั้งจากหน่วยงานของรัฐก็เป็นได้ โดยทั่วไปหัวหน้าหมู่บ้านจะเป็นผู้ที่มาจากกลุ่มแซ่สกุลที่ใหญ่ที่สุดในหมู่บ้าน หรืออาจเป็นผู้นำในการอพยพมาตั้งหมู่บ้านแห่งใหม่ หัวหน้าหมู่บ้านมีหน้าที่ดูแลทุกข์สุขของชาวบ้านและเป็นผู้ไกล่เกลี่ยคดีหรือข้อพิพาทต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น ทั้งภายในชุมชนและระหว่างชุมชน
2) กลุ่มผู้อาวุโส เป็นกลุ่มที่มีความสำคัญในหมู่บ้าน โดยเฉพาะด้านการปกครองและดูแลหมู่บ้าน เมื่อชาวบ้านประสบปัญหาหรือมีคดีความ กลุ่มผู้อาวุโสจะทำงานร่วมกับหัวหน้าหมู่บ้านในการตัดสินหรือไกล่เกลี่ย ชาวอิ้วเมี่ยนถือว่าผู้อาวุโสเป็นผู้ที่มีความรู้ประสบการณ์มากกว่าจึงถือเป็นบุคคลที่มีความสามารถและน่านับถือ
3) ผู้ประกอบพิธีกรรม (ซิบเมี้ยนเมี่ยน) เป็นอีกบุคคลหนึ่งที่มีบทบาทและได้รับความนับถือในสังคมอิ้วเมี่ยน เพราะเป็นคนกลางในการติดต่อกับเมี้ยนหรือวิญญาณดีให้ช่วยปกป้องคุ้มครองตนเอง
และควบคุมวิญญาณร้ายไม่ให้ทำอันตรายหรือก่อให้เกิดสิ่งไม่ดีแก่มนุษย์ผู้ประกอบพิธีกรรมได้นั้น นอกจากจะต้องรู้ตัวหนังสือภาษาจีน ซึ่งอ่านออกเสียงเป็นภาษาเมี่ยน จะต้องผ่านพิธีบวช (กว๋าตัง) มาแล้ว
4) ช่างตีเหล็ก เนื่องจากสังคมอิ้วเมี่ยนเป็นสังคมเกษตรกรรม และอุปกรณ์การเกษตรบางอย่างมีลักษณะเฉพาะแตกต่างจากอุปกรณ์ของคนพื้นราบช่างตีเหล็กจึงมีความสำคัญในการทำอุปกรณ์การเกษตร เช่น จอบ เสียม มีด ขวาน
5) ช่างเงิน ในสังคมอิ้วเมี่ยน เงินเป็นทรัพย์สินที่มีค่านอกจากจะใช้เป็นตัวแลกเปลี่ยนสิ่งของ และการปรับไหม ยังนำมาเป็นเครื่องประดับต่าง ๆ โดยเฉพาะเครื่องประดับของผู้หญิง ซึ่งมีกรรมวิธีการทำที่ละเอียด ประณีต และสลักลวดลายที่งดงาม ช่างเงินจึงเป็นตำแหน่งที่มีความสำคัญอีกตำแหน่งหนึ่งในด้านศิลปหัตถกรรมในสังคมอิ้วเมี่ยน
6) หมอยาสมุนไพร (เดียไซ) เป็นผู้ที่เชี่ยวชาญทางด้านพฤกษาศาสตร์และการใช้สมุนไพรในการรักษาผู้ป่วยเป็นพิเศษ หมอยาสมุนไพรมีทั้งผู้หญิงและผู้ชาย
7) หมอตำแย หมอตำแยกับหมอยาสมุนไพรอาจเป็นบุคคลเดียวกัน บุคคลที่เป็นหมอตำยาได้ ต้องเป็นผู้ที่มีความรู้ในด้านสมุนไพรและสามารถดูแลหญิงหลังคลอดและเด็กได้อย่างปลอดภัย
ระบบชุมชนของชาวอิ้วเมี่ยนมีการแบ่งหน้าที่สังคมระหว่างหญิงกับชายอย่างชัดเจน โดยชายทำหน้าที่เป็นผู้นำทางสังคม ประเพณี พิธีกรรม รวมทั้งเป็นผู้ตัดสินชี้ขาดปัญหาสำคัญทุกอย่างในบ้านส่วนหญิงมีสถานภาพทางสังคมต่ำกว่าชาย มีหน้าที่เลี้ยงลูก ทำงานบ้าน ปรนนิบัติผู้สูงอายุ (สมเกียรติ, 2545, หน้า 66) ทั้งนี้ รวมถึงงานในไร่นาอีกด้วย ปัจจุบัน โครงสร้างทางสังคมและความสัมพันธ์ระหว่างสมาชิกในครอบครัวดังกล่าวได้เปลี่ยนแปลงไปตามบริบทและสภาพแวดล้อมของแต่ละชุมชน บางชุมชนที่อยู่ห่างไกลเมือง และยังมีวิถีการผลิตแบบพึ่งพาการเกษตรเป็นหลักยังคงมีการแบ่งงานกันทำระหว่างเพศที่ชัดเจน ในขณะที่บางชุมชนที่ปรับตัวเข้าสู่ระบบการตลาดและอาชีพนอกภาคการเกษตรไม่ปรากฎการแบ่งงานกันทำระหว่างเพศที่มีความชัดเจน (ประสิทธิ์ ลีปรีชา และคณะ, 2547, หน้า 15)
ระบบการเมือง
ในอดีต ระบบการเมืองชาวอิ้วเมี่ยนก่อนการอพยพเข้ามาในประเทศไทยมีความเป็นอิสระของประกอบกับการตั้งหมู่บ้านที่มีการกระจัดกระจายเป็นผลให้ระเบียบการปกครองแบบเดิมมีความยืดหยุ่น ก่อนที่จะมีการใช้ระบบการปกครองจากรัฐส่วนกลาง (เครือข่ายวัฒนธรรมอิ้วเมี่ยน, 2545, หน้า 24)ในช่วงเวลานั้นหมู่บ้าน หมู่บ้านเป็นหน่วยการปกครองที่ใหญ่ที่สุดของชาวอิ้วเมี่ยนในประเทศไทย ไม่มีผู้นำชาติพันธุ์ที่มีอำนาจสูงสุด ชุมชนอิ้วเมี่ยนจึงมีความเป็นอิสระ ไม่ขึ้นตรงต่อกัน แต่ละชุมชนจะมีหัวหน้าหมู่บ้าน ผู้ประกอบพิธีกรรมและคณะผู้อาวุโส เป็นผู้นำที่มีอำนาจทางการเมืองการปกครอง โดยผู้ใหญ่บ้านทำหน้าที่ปกครองดูแลความสงบเรียบร้อย ตัดสินคดีความ และเป็นตัวแทนของชุมชนในการติดต่อกับสังคมภายนอก ผู้ประกอบพิธีกรรมทำหน้าที่ตามคติความเชื่อและเป็นผู้ชี้ขาดด้านวัฒนธรรมประเพณีและพิธีกรรม ส่วนคณะผู้อาวุโส เป็นผู้อาวุโสที่หัวหน้าหมู่บ้านมักจะเชิญมาปรึกษาหารือเกี่ยวกับกิจกรรมต่าง ๆ ในชุมชน ส่วนกลุ่มผู้อาวุโสจะไม่จำกัดจำนวนและหัวหน้าครอบครัวแม้จะมีอายุไม่มากแต่หากมีความคิดที่ดีก็อาจเป็นที่ปรึกษาร่วมกับกลุ่มผู้อาวุโสได้ (สมเกียรติ จำลอง, 2545, หน้า 66)
อย่างไรก็ตาม ในสมัยแรกที่ชาวอิ้วเมี่ยนได้อพยพเข้ามาในประเทศไทย ชุมชนอิ้วเมี่ยนอยู่บนพื้นที่สูงที่แยกต่างหากจากกลุ่มอื่นจึงมีอิสระจากการปกครองของกฎหมายเจ้าเมืองล้านนา ชาวอิ้วเมี่ยนจึงใช้กฎหมายข้อบังคับตามจารีตประเพณีของตนในการแก้ไขข้อพิพาทภายในกลุ่ม นอกจากกรณีที่เกิดข้อพิพาทกับคนนอกกลุ่ม ชาวอิ้วเมี่ยนจึงจะพึ่งพากฎหมายและเจ้าหน้าที่รัฐของไทย สำหรับการจัดการปัญหาและไกล่เกลี่ยข้อพิพาทของชาวอิ้วเมี่ยนเป็นกระบวนการตัดสินใจร่วมกันของบุคคลภายในครอบครัว จากระดับครอบครัวก็ไปสู่ระดับวงศ์ตระกูล จากนั้นก็ไปสู่ระดับกลุ่มแซ่ (เผ่าย่อย) เมื่อไม่สามารถแก้ไขแล้วก็นำไปสู่ระดับผู้นำชุมชน ที่มีความเป็นกลางในการ พิจารณาร่วมกัน (พิชญ์พิเชฐ พันธุ์พิสุทธิชน, 2550, หน้า 110) โดยสามารถพิจารณาการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทในแต่ละขั้นตอน ดังต่อไปนี้
ขั้นตอนแรก ระดับครอบครัว ผู้เสียหายได้แจ้งความผิดแก่ผู้ก่อความเสียหายและครอบครัวหากเป็นกรณีของความผิดโดยสุจริตมักจะสามารถยุติข้อพิพาทในขั้นตอนนี้ได้ ตามปกติแล้ว ผู้ก่อความเสียหายหรือครอบครัวมักจะน้อมรับผิด และเสนอจำนวนเงินเพื่อชำระชดใช้กับผู้เสียหายทันทีหากเป็นการทำร้ายร่างกาย มักจะมีหลักในการพิจารณาว่า ผู้ที่ใช้อาวุธก่อนย่อมมีความผิด และผู้ที่ใช้พรรคพวกมากกว่ารุมทำร้ายจะปฏิเสธความผิดไม่ได้สำหรับความผิดที่เกี่ยวข้องกับการล่วงละเมิดทางเพศเป็นความผิดที่เกิดขึ้นได้น้อยราย เนื่องจากวัฒนธรรมอิ้วเมี่ยนให้อิสระแก่หนุ่มสาวในการเลือกคู่และการมีเพศสัมพันธ์ก่อนแต่งงานอยู่แล้วกรณีของการตั้งครรภ์โดยไม่ได้แต่งงานจึงเป็นเรื่องที่จารีตประเพณีอิ้วเมี่ยนยอมรับได้ มารดาสามารถประกาศความจริงว่า ชายใดเป็นบิดาของเด็ก ชายผู้นั้นจะต้องนำหมูไปยังบ้านของผู้นำชุมชนหนึ่งตัว พร้อมกับเหล้าและเงินค่าปรับที่กำหนดไว้เป็นจำนวนเงินแน่นอนตามมาตรฐานที่ชุมชนได้กำหนดไว้แล้วทั้งนี้ การยอมรับเป็นบิดาของเด็กในชั้นนี้เป็นเพียงการแสดงออกทางจริยธรรม ไม่ได้เพิ่มภาระหน้าที่การเลี้ยงดูบุตรคนนี้ มารดาย่อมมีสิทธิ์ในตัวของบุตรอย่างเต็มที่โดยบุตรจะต้องนับถือผีทางฝ่ายมารดาและใช้แซ่ตระกูลเดียวกับมารดา (พิชญ์พิเชฐ พันธุ์พิสุทธิชน, 2550, หน้า 108)สำหรับกรณีการล่วงละเมิดทางเพศ ผู้นำชุมชนจะเป็นผู้ตัดสินหากผู้หญิงคนนั้นมีคุณสมบัติที่ดีจะต้องมีการปรับเงินจากฝ่ายชายซึ่งอาจปรับเป็นหลักหมื่น และเจรจากันต่อว่าจะรับกันเป็นสามีภรรยาหรือไม่โดยเป็นการตกลงกันระหว่างฝ่ายหญิงและฝ่ายชาย รวมทั้งพ่อแม่ของทั้งคู่หากตกลงปลงใจได้ก็จะให้ผู้หญิงไปอยู่กับผู้ชายฉันท์สามีภรรยาได้ และทำการแต่งงานในภายหลังหากผู้หญิงคนนั้นเป็นคนไม่ดีมาก่อนก็ไม่ถือเป็นเรื่องใหญ่โต(วิสุทธ์ เหล็กสมบูรณ์, 2545,หน้า 81)
ขั้นตอนที่สอง ระดับวงศ์ตระกูล ภายหลังจากผู้เสียหายได้แจ้งความเอาผิดแก่ผู้ก่อความเสียหายแล้ว หากทั้งสองฝ่ายไม่สามารถยุติข้อพิพาทร่วมกันได้ ฝ่ายผู้เสียหายจะไปบอกกล่าวให้ผู้นำตระกูล (หัวหน้าครอบครัวแบบขยาย) ของตน ผู้นำตระกูลจะร่วมหาทางออกในการเรียกให้ชำระความเสียหายนั้นตามวิถีทาง เช่น การแจ้งผู้นำตระกูลของฝ่ายที่ก่อความเสียหาย ซึ่งผู้นำตระกูลฝ่ายนี้จะเรียกผู้ก่อความเสียหายมาซักถาม ทั้งสองฝ่ายจะร่วมกันไกล่เกลี่ยทำความตกลงรวมทั้งความสามารถในการชำระค่าเสียหายตามที่มีการเรียกร้อง หากสามารถตกลงกันได้ ประเด็นข้อพิพาทก็ยุติลง (พิชญ์พิเชฐ พันธุ์พิสุทธิชน, 2550, หน้า 109)
ขั้นตอนที่สาม ระดับผู้นำชุมชน หากผู้เสียหายเห็นว่า ไม่ได้รับความเป็นธรรมจากคู่กรณีจะนำเรื่องราวไปสู่การพิจารณาของผู้นำชุมชนหากผู้นำชุมชนเห็นว่า ข้อพิพาทดังกล่าวเป็นเรื่องที่สามารถพิจารณาได้โดยลำพังจะดำเนินการไปอย่างเงียบ ๆ แต่หากเป็นเรื่องที่ไม่สามารถจัดการได้จะเชิญผู้นำพิธีกรรมและกลุ่มผู้อาวุโส มาพิจารณาร่วมกัน เพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับคำตัดสิน เพื่อให้ครอบครัวของทั้งสองฝ่ายได้ให้การเคารพและยอมรับในคำตัดสิน (พิชญ์พิเชฐ พันธุ์พิสุทธิชน, 2550, หน้า 109)โดยผู้นำพิธีกรรมและกลุ่มผู้อาวุโสมักจะใช้หลักคำสอนของลัทธิเต๋าและแบบอย่างในการดำรงชีวิตของผู้อาวุโสในการเจรจาไกล่เกลี่ยให้คู่พิพาทยุติความขัดแย้ง เพราะถือว่า ทุกคนในชุมชนล้วนมีความสัมพันธ์ทางเครือญาติ จึงไม่ควรทะเลาะเบาะแว้งกัน หากเป็นกรณีคู่สามีภรรยาที่ทะเลาะและต้องการหย่าร้างกัน ญาติผู้ใหญ่ของทั้งสองครอบครัวจะมาร่วมหารือโดยผู้นำชุมชนและคณะผู้ไกล่เกลี่ยมาเป็นพยานรับรู้ด้วย ส่วนใหญ่กลุ่มผู้อาวุโสจะไม่แนะนำให้หย่าร้างกันและสอนหลักการครองเรือนให้แก่คู่สามีภรรยาให้สามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างสงบสุข (เลาเถา คิริพานกุล, 2561: สัมภาษณ์)
ขั้นตอนที่สี่ ระดับผู้นำชุมชนอื่น หากชุมชนที่เป็นมูลแห่งความผิดไม่สามารถช่วยไกล่เกลี่ยได้ ผู้เสียหายหรือคู่กรณีที่ถูกร้องเรียนก็จะนำเรื่องราวไปร้องเรียนผู้นำชุมชนอื่นหรือในระดับที่สูงขึ้นไปให้ช่วยตัดสินเพื่อให้เกิดความเป็นธรรมซึ่งการกระทำดังกล่าวจะทำให้ผู้นำชุมชนและผู้ที่ร่วมไกล่เกลี่ยอาจถูกเพ่งเล็งว่า ไม่มีความสามารถหรือความเป็นธรรมในการไกล่เกลี่ยปัญหาให้แก่สมาชิกในชุมชนของตนโดยเฉพาะการไกล่เกลี่ยโดยคนจากชุมชนอื่นเป็นที่ถูกต้องกว่าหรือคู่กรณีพึงพอใจ ผู้นำชุมชนและคณะผู้ไกล่เกลี่ยก็อาจถูกหมิ่นประมาทดูแคลนได้ ซึ่งเป็นสิ่งที่ผู้นำชุมชนมีความกังวลว่าจะต้องเสียชื่อเสียง การถูกมองว่า เป็นผู้มีความลำเอียงไม่อยู่ในหลักธรรมอันดีส่วนตระกูลที่ไม่ได้รับความเป็นธรรมอาจกลายเป็นศัตรูทางการเมืองกับผู้นำชุมชนนั้น หรืออาจโยกย้ายไปอาศัยอยู่หมู่บ้านอื่น ทำให้ชาวบ้านคนอื่นอาจไม่ให้ความนับถือ และไม่เชื่อฟังคำสั่งหรือให้ความร่วมมือต่อผู้นำชุมชน
ในกรณีของผู้กระทำความผิดที่แข็งขืนไม่ยอมรับการไกล่เกลี่ยของชุมชนและชดใช้ค่าไถ่โทษส่วนมากผู้นำชุมชนจะเสนอให้ผู้เสียหายถอนตัวยุติข้อพิพาท (พิชญ์พิเชฐ พันธุ์พิสุทธิชน, 2550, หน้า 109 – 110) แต่บุคคลผู้นั้นจะถูกลงโทษจากสังคม โดยผู้คนในชุมชนจะไม่ข้องเกี่ยวและตัดขาดความช่วยเหลือทุกวิถีทาง เช่น การไม่เข้าร่วมงานพิธีกรรมหรืองานประเพณีต่าง ๆ ที่จัดขึ้นโดยครอบครัวของผู้กระทำผิดนั้น การไม่ไปช่วยเป็นแรงงานให้กับครอบครัวผู้นั้นโดยเด็ดขาด อย่างไรก็ตามกรณีการลงโทษต่อสังคมในลักษณะเช่นนี้เกิดขึ้นน้อยครั้งมาก เพราะชาวอิ้วเมี่ยนส่วนใหญ่มีนิสัยรักสงบ และมักจะหลีกเลี่ยงความขัดแย้งด้วยการเจรจาไกล่เกลี่ยกันมากกว่าทะเลาะวิวาทกันอย่างรุนแรง (เลาเถา คิริพานกุล, 2561: สัมภาษณ์)
จากกระบวนการเจรจาไกล่เกลี่ยข้อพิพาทของชาวอิ้วเมี่ยนได้สะท้อนให้เห็นถึงวัฒนธรรมที่ให้อำนาจผู้ชายเป็นใหญ่ โดยการกำหนดความเสียหายและการชดใช้เยียวยาเป็นหน้าที่ของผู้ชายเป็นหลัก ส่วนผู้หญิงมักจะเป็นพยานและนำเสนอหลักฐานให้ผู้ใหญ่พิจารณาเท่านั้น หรืออาจเสนอจำนวนเงินชดใช้ความเสียหายผ่านผู้ชายในบ้านต่อที่ประชุมได้ส่วนมากผู้หญิงจะไม่นิยมแสดงความคิดเห็นที่ขัดแย้งต่อสามี ผู้อาวุโส หรือหมอผี (พิชญ์พิเชฐ พันธุ์พิสุทธิชน, 2550, หน้า 109)ปัจจุบัน ชุมชนอิ้วเมี่ยนยังคงรักษากระบวนการเจรจาไกล่เกลี่ยข้อพิพาทตามจารีตประเพณีดั้งเดิมนี้ ใน กรณีพิพาทที่ส่วนใหญ่เป็นการทะเลาะที่ไม่รุนแรงระหว่างสามีภรรยาและเพื่อนบ้านหากเป็นการทะเลาะวิวาทระหว่างเพื่อนบ้าน คณะผู้ไกล่เกลี่ยมักจะตัดสินปรับค่าเสียหายจากทั้งสองฝ่ายที่พิพาทกัน คนละ 1,000 – 2,000 บาท และนำเงินค่าปรับเข้ากองกลางเพื่อพัฒนาหมู่บ้านแต่หากเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมายจะเป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจในการดำเนินการตามกฎหมายต่อไป (เลาเถา คิริพานกุล, 2561: สัมภาษณ์)
-
ระบบความเชื่อ ประเพณี และพิธีกรรม
-
ศาสนาและความเชื่อ :
พุทธ, คริสต์, วิญญาณนิยม
ระบบความเชื่อ ประเพณี และพิธีกรรม
ความเชื่อของชาวอิ้วเมี่ยนเป็นการผสมผสานระหว่างความเชื่อเรื่องเทพเจ้า สิ่งศักดิ์สิทธิ์ในธรรมชาติกับบรรพบุรุษ และความเชื่อที่ได้รับอิทธิพลมาจากลัทธิเต๋า เมื่อครั้งมีการอพยพทางเรือในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 13ชาวอิ้วเมี่ยนมีความเชื่อว่า ความมั่นคงและความปลอดภัยของมนุษย์ ทั้งขณะที่มีชีวิตอยู่และเมื่อตายไปแล้วล้วนขึ้นอยู่กับเทพเจ้า มนุษย์อยู่ในความคุ้มครองของเทพเจ้า และต้องไม่กระทำการใด ๆ ที่ขัดแย้งกับอำนาจของเทพเจ้าหากกระทำการใดที่ขัดแย้งสามารถประกอบพิธีกรรมเพื่อแก้ไขได้ การติดต่อกับเทพเจ้าผ่านการประกอบพิธีกรรม เป็นความเชื่อที่ได้รับอิทธิพลมาจากลัทธิเต๋านอกจากนี้ ชาวอิ้วเมี่ยนยังมีความเชื่อว่า ทุกสรรพสิ่งรอบตัวมีวิญญาณสิงสถิตอารักขาอยู่ เช่น ต้นไม้ แม่น้ำลำธาร วิญญาณเหล่านี้มีทั้งวิญญาณที่ดีและไม่ดี สามารถบันดาลทั้งคุณและโทษต่อชีวิตของมนุษย์ได้จึงต้องทำพิธีกรรมบูชาหรือขอขมาต่อวิญญาณเหล่านี้เช่นเดียวกัน (เครือข่ายวัฒนธรรมอิ้วเมี่ยน, 2545, หน้า 52; พอล และอีแลน ลวิส, 2528, หน้า 155; เลาเถา คิริพานกุล, 2561, สัมภาษณ์) วิญญาณที่ชาวอิ้วเมี่ยนนับถือสามารถแบ่งได้เป็น 3 กลุ่ม ได้แก่
1) วิญญาณบรรพบุรุษ และวิญญาณพระเจ้าผินหวาง (เปี้ยนฮู่ง) ชาวอิ้วเมี่ยนนับถือวิญญาณของบรรพบุรุษที่ตายไปแล้วเพียง 4 รุ่นเท่านั้น โดยเชื่อว่า วิญญาณบรรพบุรุษจะสิงสถิตบนสวรรค์และคอยปกป้องลูกหลานของตน รวมทั้งเป็นตัวแทนผู้ติดต่อระหว่างคนที่มีชีวิตอยู่กับเทพเจ้านอกจากนี้ยังนับถือเปี้ยนฮู่งซึ่งชาวอิ้วเมี่ยนถือว่า เป็นผู้ให้กำเนิดชนเผ่าของตนการเซ่นไหว้วิญญาณบรรพบุรุษมีวัตถุประสงค์เพื่อขอให้ท่านช่วยคุ้มครองดูแลลูกหลาน และช่วยดูแลเรื่องการทำมาหากินหากพื้นที่ฝังศพหรือกระดูกของบรรพบุรุษถูกรบกวนหรือขาดการเซ่นไหว้จะทำให้ลูกหลานเจ็บป่วยด้วยเช่นกันดังนั้น บ้านของชาวอิ้วเมี่ยนทุกบ้านจึงมีการตั้งหิ้งบูชา (เมี้ยนป้าย) ซึ่งเป็นที่สิงสถิตของวิญญาณบรรพบุรุษ เมื่อปู่และพ่อตายไป ลูกหลานจะต้องทำบุญเพื่อให้วิญญาณบริสุทธิ์ ปีละครั้งเป็นเวลา 3 ปี จากนั้นจึงเชิญวิญญาณบรรพบุรุษมาสิงสถิตในแต่ละปีชาวอิ้วเมี่ยนจะต้องเซ่นไหว้บรรพบุรุษ (ซิบ อง ไถ เมี้ยน) ตามเทศกาลต่าง ๆ อย่างน้อยปีละ 4 ครั้งและแต่ละครอบครัวจะเซ่นไหว้วิญญาณบรรพบุรุษตนเองเพื่อเรียกขวัญ (โจ่ว เวิ่น) อย่างน้อยปีละครั้งเมื่อมีการประกอบพิธีกรรมที่สำคัญ เช่น งานศพและงานแต่งงาน จะเชิญวิญญาณบรรพบุรุษและเปี้ยนฮู่งมาสิงสถิตที่บ้าน จนกระทั่งเสร็จพิธีจึงจะเชิญกลับนอกจากนี้ เมื่อประสบกับความทุกข์ยากหรือเจ็บป่วย ชาวอิ้วเมี่ยนก็จะประกอบพิธีเซ่นไหว้ให้บรรพบุรุษมาช่วยเหลือ (เครือข่ายวัฒนธรรมอิ้วเมี่ยน, 2545, หน้า 52 - 53)
2) เทพยดา ชาวอิ้วเมี่ยนเชื่อว่า เทพที่มีระดับสูงและมีอำนาจมาก มีจำนวนประมาณ 80 กว่าองค์เทพองค์ที่ชาวอิ้วเมี่ยนนับถือมากที่สุด คือ “หยุด ต๋าย ฮู่ง” เป็นประมุขของเทพเจ้าที่สถิตอยู่บนสวรรค์ชั้นสูงสุด และทำหน้าที่คอยดูแลมนุษย์โลกที่ทำพิธีร้องเรียนและขอความเป็นธรรมจากเทพดาในกรณีที่วิญญาณบรรพบุรุษไม่สามารถช่วยเหลือลูกหลานได้นอกจากนี้ยังนับถือเทพเจ้า (ต้ม ต้อง เมี้ยน) ซึ่งปรากฏอยู่ใน
เทวภาพทั้ง 18 เป็นเทพที่มีอิทธิฤทธิ์มาก เทพที่ชาวอิ้วเมี่ยนให้ความนับถือสูงสุด คือ “เล่งสี่ เล่งปู๊ โต้ต๊ะ” ซึ่งรวมเรียกว่า “ฟ่ามชิง”โดยชาวอิ้วเมี่ยนจะเชิญเทพเจ้ามาเลี้ยงเฉพาะในพิธีที่เกี่ยวข้องกับการสร้างบุญบารมีให้แก่ตนเองทั้งในชาตินี้และชาติหน้าเทพเจ้าที่อิ้วเมี่ยนจำลองมากราบไหว้นั้น มีทั้งแกะสลักจากไม้ หรือหิน และเป็นรูปภาพที่วาดโดยช่างจีนแต่ในปัจจุบันส่วนใหญ่พบเพียงรูปเทวภาพ ประมาณ 24 รูป ใน 1 ชุด ที่ถูกจัดเก็บไว้อย่างดีในห่อผ้าหรือกรุ ซึ่งเรียกว่า เมี้ยนคับ (เครือข่ายวัฒนธรรมอิ้วเมี่ยน, 2545, หน้า 53)
3) เทพทั่วไป ชาวอิ้วเมี่ยน เชื่อว่า ทุกหนทุกแห่งเป็นที่สิงสถิตของเทพหรือเจ้าป่า เจ้าเขา เจ้าที่ ฯลฯ ทั้งดีและร้ายเทพที่ดีจะสิงสถิตอยู่บนสวรรค์ส่วนวิญญาณที่ชั่วร้ายมักจะอยู่ตามต้นไม้และมักจะทำอันตรายผู้อื่นจึงมีการประกอบพิธีกรรมที่เกี่ยวกับเทพและวิญญาณเหล่านี้โดยเฉพาะการทำพิธีเลี้ยงเทพเจ้าป่าเจ้าเขา เพื่อขอบคุณที่ได้ดูแลรักษาพืชไร่ สัตว์เลี้ยง ตลอดจนการดูแลผู้คนในชุมชน จึงมีการจัดพิธีเลี้ยงวิญญาณที่ทำพร้อมกันทั้งหมู่บ้านอีกทั้งยังมีการประกอบพิธีกรรมไล่วิญญาณชั่วร้าย (จุ้น ฮ๋าว) อีกด้วย (เครือข่ายวัฒนธรรมอิ้วเมี่ยน, 2545, หน้า 53)
นอกจากชาวอิ้วเมี่ยนจะมีความเชื่อเกี่ยวกับวิญญาณที่สิงสถิตในสถานที่ต่าง ๆ เช่น ป่า ภูเขา หนองน้ำ แม่น้ำ จอมปลวก นรก สวรรค์ ฯลฯพวกเขายังมีความเชื่อเรื่องโชคลางและการทำนาย ความเชื่อเรื่องฤกษ์ยาม รวมทั้งความเชื่อเรื่องขวัญ (เครือข่ายวัฒนธรรมอิ้วเมี่ยน, 2545, หน้า 61) โดยมีรายละเอียด ดังนี้
ขวัญ ชาวอิ้วเมี่ยนเชื่อว่าในร่างกายของมนุย์มีขวัญ (ว่น) อยู่ตามอวัยวะส่วนต่าง ๆ ของร่างกายทั้งหมด 12 แห่ง ได้แก่ ตา หู ปาก คอ แขน หน้าอก ท้อง ขา ข้างหัวด้านซ้าย ข้างหัวด้านขวา เท้า และมือแต่ขวัญของเด็กอายุต่ำกว่า 12 ขวบ นั้นยังไม่แน่นอนว่าจะอยู่กับตัวเด็กตลอดไปหรือไม่ จึงเรียกว่า “เปี้ยง” เมื่อขวัญแห่งใดแห่งหนึ่งตกใจหรือออกจากร่างไป จะทำให้เจ้าของร่างกายเจ็บป่วยดังนั้น การเรียกขวัญของอิ้วเมี่ยนจึงเป็นวิธีหนึ่งที่สามารถรักษาอาการเจ็บป่วยได้
ความเชื่อในเรื่องโชคลางและการทำนาย ชาวอิ้วเมี่ยนเชื่อว่า ถ้าเจอสิ่งที่ไม่ดีต่าง ๆ ตามที่ตนเชื่อและนับถือ จะเป็นลางไม่ดี หรือลางบอกเหตุล่วงหน้า หรือที่เรียกว่า “เป๋นไกว๋” ซึ่งอาจจะเป็นการกระทำของวิญญาณที่ไม่ดี หากเจอเหตุการณ์ต่าง ๆ เช่น มีงูเข้าบ้าน เก้งพลัดหลงเข้ามาในหมู่บ้าน กระรอกกระโดดผ่านหน้า และต้นไม้ล้มขวางทาง นกถ่ายอุจจาระใส่ ฯลฯ จะต้องมีการทำพิธีสะเดาะเคราะห์เพื่อให้สิ่งที่ไม่ดีต่าง ๆ ผ่านพ้นไป และต้องอยู่กรรม หรือ “เก่” เป็นเวลา 3 วันนอกจากนี้ ชาวอิ้วเมี่ยนยังมีความเชื่อในเรื่องการทำนาย โดยใช้กระดูกไก่ในการทำนายเพื่อดำเนินกิจกรรมต่าง ๆ หากผลการทำนายออกมาไม่ดีจะงดการทำกิจกรรมนั้น ๆ
ความเชื่อในเรื่องของวันดี และการหาฤกษ์ยาม วิถีชีวิตของชาวอิ้วเมี่ยน การดำเนิน กิจกรรมทุกอย่างล้วนเกี่ยวข้องกับฤกษ์ยามดังนั้น จึงต้องมีการเลือกวันดีวันมงคลจึงจะสามารถทำกิจกรรมที่สำคัญต่าง ๆ ได้หากไม่เชื่อจะทำให้เกิดผลเสียตามมาภายหลัง
อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันความเชื่อเกี่ยวกับธรรมชาติและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ดังกล่าวได้ลดน้อยลง เนื่องจากหลายชุมชนได้อพยพลงมาอยู่ในพื้นที่ราบหรือในเมือง ทำให้วิถีชีวิตเปลี่ยนแปลงไป (ประสิทธิ์ ลีปรีชา และคณะ, 2547, หน้า 10) นอกจากนี้ยังมีชาวอิ้วเมี่ยนที่หันไปนับถือศาสนาอื่น ๆ เช่น ศาสนาคริสต์ ศาสนาอิสลาม ทั้งสองกลุ่มนี้เป็นกลุ่มที่เลิกนับถือผี รวมทั้งยุติความเชื่อที่เกี่ยวข้องจากการสืบเชื้อสายมาจากเปี้ยนฮู่งส่วนกลุ่มที่นับถือศาสนาพุทธ ยังคงมีการผสมผสานความเชื่อเรื่องผีกับศาสนาพุทธได้อย่างลงตัวหากแต่ไม่ได้ยึดถือความเชื่อเรื่องผีหรือเปี้ยนฮู่งที่เข้มข้นเทียบเท่ากับกลุ่มที่นับถือผี (จุฑารัตน์ โชติชัยชุติมา, 2562: สัมภาษณ์)
หลักปฏิบัติทางวัฒนธรรม :
หลักปฏิบัติทางวัฒนธรรม
ชาวอิ้วเมี่ยนที่ยังคงนับถือบรรพบุรุษ มีหลักปฏิบัติทางวัฒนธรรมหลายประการ ที่สอดแทรกอยู่ในพิธีกรรมต่างๆ โดยผู้เขียนได้แทรกหลักปฏิบัติเหล่านั้นไว้ในหัวข้อที่เกี่ยวข้องกับพิธีกรรมไว้แล้ว สังคมที่นับถือผีบรรพบุรุษนั้นมีหลักปฏิบัติที่บุคคลภายนอกไม่สงครล่วงละเมิดคือพื้นที่ศักดิ์สิทธิประจำบ้านหรือชุมชน
ธรรมเนียมการเชิญแขกไปร่วมงาน เจ้าภาพจะเดินทางไปที่บ้านของแขก หากต้องการเชิญไปช่วยงาน เช่น ช่วยตระเตรียมอาหารสำหรับจัดเลี้ยงแขกในงานก็จะเชิญด้วยบุหรี่ 1 มวนต่อบ้าน เพราะผู้ชายอิ้วเมี่ยนนิยมสูบบุหรี่ สมัยก่อนจะใช้ใบยาเส้นพันด้วยกระดาษและสูบ แต่ปัจจุบันใช้มวนบุหรี่สำเร็จรูปแต่ถ้าเป็นแขกพิเศษที่เชิญไปเป็นเกียรติในงานจะเชิญด้วยเกลือห่อใบตองมัดด้วยการ์ดเชิญ เพราะเกลือนับเป็นสิ่งที่สำคัญและหายากมากในชุมชนอิ้วเมี่ยน โดยชาวอิ้วเมี่ยนในปัจจุบันยังคงยึดถือธรรมเนียมปฏิบัตินี้ (เลาเถา คิริพานกุล, 2561: สัมภาษณ์)
ประเพณี เทศกาล และพิธีกรรม :
ประเพณี เทศกาล และพิธีกรรม
ประเพณี เทศกาล และพิธีกรรมที่สำคัญในรอบปี
ชาวอิ้วเมี่ยนมีประเพณี เทศกาล และพิธีกรรมสำคัญในรอบปี ได้แก่ 1) ประเพณีวันขึ้นปีใหม่ (เจี๋ย เซียง เหฮียง) 2) ประเพณีเจี๋ยเจียบเฝย หรือ เชียดหาเจียบเฝย (วันสาร์ทจีน) 3) พิธีกรรมการเปลี่ยนสถานภาพ 4) ประเพณีการแต่งงาน 5) พิธีกรรมการหย่าร้าง 6) พิธีกรรมเกี่ยวกับความตายและการทำศพ 7) พิธีกรรมเกี่ยวกับการรักษาโรคภัยไข้เจ็บ 8) พิธีเรียกขวัญ และ 9) พิธีซิบตะปูงเมี่ยน โดยมีรายละเอียด ดังนี้
ประเพณีวันขึ้นปีใหม่ (เจี๋ย เซียง เหฮียง) เนื่องจากชาวอิ้วเมี่ยนใช้วิธีนับวัน เดือน ปี แบบจีน ทำให้วันฉลองปีใหม่จึงเริ่มพร้อมกับชาวจีน วันตรุษจีน ในภาษาเมี่ยนเรียกว่า “เจี๋ยฮยั๋ง” พิธีฉลองปีใหม่ของเมี่ยนจะจัดเป็นประจำทุกปี เช่นเดียวกับกลุ่มชาติพันธุ์อื่น ทั้งนี้ ก่อนที่จะถึงพิธีเจี๋ยงฮยั๋ง ชาวบ้านแต่ละครัวเรือน จะต้องเตรียมสิ่งของเครื่องใช้ที่จำเป็นทั้งของใช้ส่วนตัวและของใช้ในครัวเรือนให้เรียบร้อยเมื่อถึงวันขึ้นปีใหม่จะมีกฎข้อห้ามหลายอย่างที่ชาวอิ้วเมี่ยนยึดถือและปฏิบัติกันสืบต่อกันมา โดยมีข้อพึงปฏิบัติและข้อห้ามปฏิบัติในช่วงวันขึ้นปีใหม่ (มูลนิธิกระจกเงา, 2552) ดังต่อไปนี้
สิ่งที่ต้องเตรียมก่อนวันปีใหม่
1) อาหารสัตว์ เช่น หยวกกล้วย หญ้าสำหรับเลี้ยงหมูเลี้ยงวัวและอื่น ๆ เพราะอิ้วเมี่ยนเชื่อว่า หากหาอาหารสัตว์ในวันขึ้นปีใหม่นี้ เมื่อถึงช่วงเวลาทำไร่ จะมีวัชพืชขึ้นจำนวนมาก ทำให้ผลผลิตไม่ดีหรือไม่เพียงพอต่อการบริโภค
2) ฟืน สำหรับหุงต้ม ชาวอิ้วเมี่ยนเชื่อว่า หากตัดฟืนในวันขึ้นปีใหม่ จะทำให้ในตัวบ้านมีแมลงบุ้งจำนวนมาก
3) ขนม (ฌั้ว) ใช้สำหรับไหว้พรรพบุรุษ และใช้รับประทานกินในวันขึ้นปีใหม่ เช่น ข้าวปุก (ฌั้ว จซง) และข้าวต้มมัดดำ (ฌั้วเจี๊ยะ, ฌั้วจฉิว)
4) เนื้อสัตว์ ส่วนใหญ่จะฆ่าในวันที่ 30 ซึ่งเป็นวันสุดท้ายของปีเก่า สัตว์ที่ถูกฆ่ามีทั้งหมู และไก่ เมื่อถึงวันขึ้นปีใหม่ ชาวอิ้วเมี่ยนจะไม่ฆ่าสัตว์ เพราะเชื่อว่า จะทำให้การเลี้ยงสัตว์ไม่ดีและทำให้เกิดโรคต่าง ๆ แก่สัตว์ได้
5) ไข่ เป็นวัตถุสำหรับนำมาย้อมเป็นสีแดงให้เด็ก และญาติพี่น้องที่มาเที่ยวในวันขึ้นปีใหม่ ถือว่าเป็นสิริมงคล และเป็นสิ่งที่ดีงาม
6) ของใช้ส่วนตัว เช่น เสื้อผ้าเครื่องประดับ ฯลฯ จะต้องเตรียมให้พร้อมก่อนวันขึ้นปีใหม่ ในวันขึ้นปีใหม่จะห้ามใช้เงิน หากใช้เงินในวันนี้เชื่อว่า เมื่อมีเงินจะไม่สามารถเก็บออมได้ ต้องจับจ่ายออกไป จะมีความยากจน
7) ประทัด ใช้จุดเพื่อเป็นสิริมงคลแก่ตนเอง และครอบครัว เป็นการแสดงความยินดีที่ปีเก่าได้ผ่านไปด้วยดี และต้อนรับปีใหม่ที่กำลังจะมาถึง
ในวันขึ้นปีใหม่นี้ญาติพี่น้องของแต่ละครอบครัว ซึ่งแต่งงานแยกครอบครัวออกไปอยู่พื้นที่อื่น จะกลับมาเยี่ยมพ่อแม่ และญาติพี่น้องเป็นการพบปะสังสรรค์ และทำพิธีบวงสรวงบรรพบุรุษร่วมกัน (เสียงเมี้ยน) พิธีนี้จะเริ่มวันที่ 30 ซึ่งถือว่าเป็นวันส่งท้ายปีเก่า และต้อนรับปีใหม่ อีกทั้งเป็นการแสดงความขอบคุณแก่วิญญาณบรรพบุรุษที่ได้คุ้มครองดูแล ในรอบปีที่ผ่านมาด้วยดี หรือบางครอบครัวที่มีการบนบานเอาไว้จะมาทำพิธีแก้บนและเซ่นไหว้กันในวันนี้วันที่ 1 (แซ่ง เอี๊ยด ดอม) เป็นวันขึ้นปีใหม่ แต่ละครอบครัวจะตื่นแต่เช้ามืด แล้วเดินไปหลังบ้านเพื่อเก็บก้อนหินเข้าบ้าน เสมือนเป็นการเรียกขวัญเงินขวัญทองเข้าบ้าน เชื่อว่า เงินจะไหลมาเทมาให้กับครอบครัว ให้ครอบครัวมีความสุข หลังจากเก็บก้อนหินเข้ามาในบ้านแล้ว ผู้ใหญ่จะต้มไข่เพื่อย้อมไข่แดง ส่วนเด็กจะตื่นขึ้นมาจุดประทัด หรือยิงปืนเพื่อเป็นสิริมงคล และเฉลิมฉลองปีใหม่ และทำพิธี "ป๋าย ฮหยัง" เป็นพิธีไหว้บรรพบุรุษ หรือศาลเจ้า เพื่อความเป็นสิริมงคลแก่ครอบครัวการประกอบพิธีนี้ขึ้นอยุ๋กับความสะดวกของแต่ละครอบครัว จะปฏิบัติหรือไม่ปฏิบัติก็ได้ บางครั้งจะมีการประกอบพิธีอย่างพร้อมเพรียงกันทั้งหมู่บ้าน มีการเวียนไหว้จนครบทุกบ้าน หรือบางครั้งอาจมีการไหว้เป็นสายตระกูลหรือเครือญาติเท่านั้นโดยจะไปไหว้หรือทำพิธีที่บ้านเดียว ที่บ้านของเครือญาติอาวุโสที่เป็นเครือญาติเดียวกัน หรือบ้านของบุคคลที่เป็นผู้นำด้านพิธีกรรมของแต่ละตระกูล ซึ่งจะมีหิ้งผีบูชาบรรพบุรุษแตกต่างออกไปจากบุคคลอื่น หิ้งบูชาจะมีลักษณะเป็นศาลเจ้า ภาษาเมี่ยนเรียกว่า “เมี้ยน เตี้ย หลง” ส่วนบุคคลทั่วไปจะมีหิ้งบูชาธรรมดาที่เรียกกันว่า "เมี้ยน ป้าย” เมื่อทำพิธีไหว้บรรพบุรุษ "ป๋าย ฮหยัง" แล้วเสร็จ พ่อแม่จะนำไข่แดงมาแจกจ่ายให้กับเด็ก และญาติพี่น้องที่มาร่วมงานแล้วผูกเชือกให้สวยงาม หลังจากนั้นจะทำอาหารรับประทาน มีการสังสรรค์กันภายในเครือญาติและเพื่อนร่วมงาน ในวันขึ้นปีใหม่นี้ ผู้ใหญ่อิ้วเมี่ยนมักจะบอกกับเด็กว่า ถ้าเป็นผู้หญิงให้ตั้งใจปักผ้าแล้วจะเก่งในฝีไม้ลายมือ ส่วนผู้ชายจะให้ไปเรียนหนังสือจะได้เก่ง และฉลาดในการเล่าเรียน งานปีใหม่เมี่ยนจัดขึ้นเป็นระยะเวลา 3 วัน โดยวันที่สำคัญที่สุด คือ วันแรก ซึ่งเป็นวันไหว้วิญญาณบรรพบุรุษ ส่วนวันที่ 2 และ 3 จะเป็นการสังสรรค์กับเครือญาติและเพื่อนฝูงและอยู่อย่างสงบตามวิถีชีวิตของชาวอิ้วเมี่ยน
ชาวอิ้วเมี่ยนจะมีข้อห้ามปฏิบัติในช่วงวันขึ้นปีใหม่ 5 ประการ คือ 1) ห้ามไม่ใช้เงิน เพราะเชื่อว่า ถ้าใช้เงินจะไม่สามารถเก็บเงินอยู่ได้ 2) ห้ามไม่ให้ฆ่าสัตว์ เพราะเชื่อว่า จะทำให้เลี้ยงสัตว์ไม่เจริญ 3) ห้ามไม่ทำไร่ เพราะเชื่อว่า จะทำให้ปลูกพืชไม่งอกงาม 4) ห้ามไม่เก็บฟืนและหาอาหารสัตว์ เพราะเชื่อว่า เป็นวันพักผ่อนหากทำงาน จะทำให้สิ่งนั้นไม่เจริญงอกงาม เมื่อเลือกใช้ฟืนจะเลือกที่มีลักษณะสวยงาม เพราะเชื่อว่า ลูกหลานจะได้สวยงามตามไปด้วย 5) ห้ามกินอาหารประเภทผัก เพราะเชื่อว่า ถ้าทำไร่ หญ้าจะขึ้นรก
ประเพณีเจี๋ยเจียบเฝย หรือ เชียดหาเจียบเฝย (วันสาร์ทจีน) ตรงกับวันที่ 14 -15 เดือน 7 ของจีน วัน “เชียดหาเจียบเฝย” ของอิ้วเมี่ยนจะกำหนดระยะเวลา 2 วัน คือ วันที่ 14 หรือเรียกว่า "เจียบเฝย" และวันที่ 15 เรียกว่า "เจียบหือ" ก่อนถึงเชียดหาเจียบเฝย 1 วัน ซึ่งเป็นวันที่ 13 หรือที่เรียกกันว่า "เจียบฟาม" ชาวบ้านจะเตรียมของใช้สำหรับทำพิธี เช่น กระดาษเงิน กระดาษทอง และหาฟืนมาเก็บไว้จำนวนมากเนื่องจากในวันทำพิธีนี้จะห้ามทำไร่และเก็บฟืน ส่วนคนที่ไปนอนค้างคืนไนไร่จะทยอยเดินทางกลับบ้านในวันนี้ นอกจากนี้ยังทำขนมที่เรียกกันว่า "เจียบเฝยยั้ว"
ในวันที่ 14 หรือ เจียบเฝย เป็นวันของคน ชาวบ้านจะไม่ไปไร่ เข้าป่าล่าสัตว์ และไม่ทำงานแต่จะมีการเซ่นไหว้บรรพบุรุษตามความเชื่อที่มีมาแต่โบราณ เพื่อเฉลิมฉลองครั้งยิ่งใหญ่ มีการทำบุญกันทุกหลังคาเรือน มีการขออภัยโทษแก่ดวงวิญญาณต่างๆ ให้เป็นอิสระ ลูกหลานจะต้องมีการทำพิธีบวงสรวง เผากระดาษเงิน กระดาษทองส่งไปให้วิญญาณบรรพบุรุษได้ใช้จ่าย (มูลนิธิกระจกเงา, 2552)
วันที่ 15 หรือ "เชียดหาเจียบหือ" หรือเรียกอีกอย่างว่า "เมี้ยน ป้าย เหย" เชื่อกันว่าเป็นที่ผีทุกตนจะได้รับการปลดปล่อย เพื่อให้สามารถรับประทานอาหารที่ผู้คนทำพิธีให้ ในวันดังกล่าวชาวบ้านจะอยู่กับบ้านไม่ให้ออกไปนอกบ้านห้ามคนเข้าออกหมู่บ้าน ห้ามเด็ดใบไม้ใบตอง เพราะเชื่อว่า วิญญาณจะใช้ใบไม้ใบตองเหล่านี้ห่อของกลับไปเมืองวิญญาณ จะมีการพูดว่าใบไม้ 1 ใบ เป็นที่อยู่อาศัยของวิญญาณ 1 ตัว เมี่ยนจึงไม่เก็บใบไม้ต่างๆ ในวันนี้ รวมทั้งไม่ไปทำไร่นา เพราะเชื่อว่าดวงวิญญาณต่างๆ จะออกเดินทางกลับบ้านเมืองของตน หากออกไปข้างนอกอาจจะชนและเหยียบถูกดวงวิญญาณที่อาจนำมาซึ่งอาการเจ็บป่วยหลังจากนั้นในวันที่ 16 จึงจะเริ่มปฏิบัติงานตามปกติ เพราะเชื่อว่า วิญญาณที่ถูกปล่อยมานั้นถูกเรียกกลับไปทั้งหมดไม่สามารถมารบกวนผู้คนได้ ชาวอิ้วเมี่ยนจะทำพิธีนี้เป็นประจำทุกปี เพื่อให้ดวงวิญญาณได้มารับอาหารไปกินใช้ในแต่ละปี และให้ดวงวิญญาณมาช่วยคุ้มครองครอบครัวและผู้คนในชุมชน (มูลนิธิกระจกเงา, 2552)
ประเพณี เทศกาล และพิธีกรรมที่สำคัญในชีวิต
การเปลี่ยนสถานภาพ
การบวช
ชาวอิ้วเมี่ยนจะมีพิธีกรรมการเปลี่ยนสถานภาพ ด้วยการบวช (กว๋าตัง) คำว่า "กว๋า ตัง" ในภาษาเมี่ยน มีความหมายว่า แขวนตะเกียง ซึ่งเป็นการทำบุญเพื่อให้เกิดความสว่างขึ้นพิธีดังกล่าวมีความสำคัญ เพราะถือว่าเป็นการสืบทอดตระกูล และเป็นการทำบุญให้บรรพบุรุษด้วย ชาวอิ้วเมี่ยนถือว่าผู้ที่ผ่านพิธีนี้แล้ว จะมีตะเกียง 3 ดวง พิธีนี้ได้รับอิทธิพลมาจากลัทธิเต๋า เป็นพิธีที่ทำเฉพาะผู้ชายเท่านั้น ถือเป็นการสร้างบุญบารมีให้กับตนเอง ทำบุญอุทิศให้บรรพบุรุษ และเป็นผู้สืบสกุล ไม่มีหลักฐานปรากฏแน่ชัดเกี่ยวกับประวัติความเป็นมาของพิธีกรรมนี้ มีเพียงแต่คำบอกเล่าจากการสันนิษฐานของผู้อาวุโสว่า พิธีกว๋าตัง มีมาอย่างยาวนานเมื่อประมาณ 2361 ปีมาแล้ว โดยมี "ฟ่ามชิงฮู่ง" เป็นผู้สร้างโลกวิญญาณและโลกของคน ได้เป็นผู้บัญญัติให้ชาวเมี่ยนทำพิธีนี้ เพื่อช่วยเหลือคนดีที่ตายไปให้ได้ขึ้นสวรรค์ หรือไปอยู่กับบรรพบุรุษของตนเอง ไม่ตกลงไปในนรกที่ยากลำบาก พิธีนี้เป็นพิธีบวชพิธีแรกซึ่งจะทำให้กับผู้ชายอิ้วเมี่ยน โดยไม่จำกัดอายุ ในประเพณีของอิ้วเมี่ยน หากจะเป็นผู้ชายที่สมบูรณ์จะต้องผ่านพิธีบวชนี้ (มูลนิธิกระจกเงา, 2552)
ในการประกอบพิธีกว๋าตังนี้ จะต้องนำภาพเทพพระเจ้าทั้งหมดมาแขวน เพื่อเป็นสักขีพยานว่าบุคคลเหล่านี้ว่าได้ทำบุญและจะได้ขึ้นสวรรค์เมื่อเสียชีวิตไป จุดสำคัญของพิธีนี้คือ การถ่ายทอดอำนาจบุญบารมีของอาจารย์ผู้ประกอบพิธีกรรม ในขณะทำพิธีนี้จะมีฐานะเป็นอาจารย์ (ไซเตี๋ย) ของผู้เข้าร่วมพิธีอีกฐานะหนึ่ง และผู้ผ่านพิธีนี้จะต้องเรียกผู้ที่ถ่ายทอดบุญบารมีนี้ว่า อาจารย์ตลอดไป ผู้เป็นอาจารย์ไม่จำเป็นต้องเป็นผู้ประกอบพิธีกรรมเสมอไป แต่ต้องผ่านการทำพิธีกว๋าตัง หรือพิธีบวชขั้นสูงสุด"โต่ว ไซ" ก่อน (มูลนิธิกระจกเงา, 2552)
เมื่อผ่านพิธีนี้แล้ว จะทำให้ชายชาวอิ้วเมี่ยนกลายเป็นผู้ชายที่สมบูรณ์ และได้รับชื่อใหม่ ที่ปรากฏรวมอยู่รวมกับทำเนียบวิญาณของบรรพบุรุษ ซึ่งเป็นการสืบต่อตระกูลมิให้หมดไป เมื่อเสียชีวิตจะสามารถไปอยู่กับบรรพบุรุษที่ (ย่าง เจียว ต่ง) อาจจะหลงไปอยู่ในที่ต่ำซึ่งเป็นที่ที่ไม่ดีหรือนรกก็ได้ สำหรับชายที่แต่งงานแล้ว ในการทำพิธีบวช ภรรยาจะเข้าร่วมพิธีด้วย โดยจะอยู่ด้านหลังของสามี การทำพิธีนี้สามารถทำได้พร้อม กันหลายคน แต่คนที่ทำนั้นจะต้องเป็นญาติพี่น้องกัน หรือนับถือบรรพบุรุษเดียวกัน ชาวอิ้วเมี่ยนจะเรียกว่า จ่วง เมี้ยน หลังจากผ่านพิธีนี้แล้ว ผู้ทำพิธีจะได้รับชื่อผู้ใหญ่ และชื่อที่ใช้เวลาทำพิธีด้วยเรียกว่า ฝะ บั๋วในการเข้าพิธีบวชนี้ในหมู่บ้านเครือญาติ จะมีการตรวจสอบหลักฐานของแต่ละคนจาก "นิ่นแซงเป้น" ซึ่งเป็นบันทึกวันเดือนปีเกิดหรือสูติบัตร (เอ้โต้ว) ซึ่งเป็นการปฏิบัติสืบต่อกันมา และ "จาฟินตาน" ซึ่งเป็นการบันทึกรายชื่อของบรรพบุรุษที่แต่ละคนถือครองอยู่ (มูลนิธิกระจกเงา, 2552)
การแต่งงาน และการหย่าร้าง
ประเพณีการเต่งงานของชาวอิ้วเมี่ยน เกี่ยวข้องกับการเลือกคู่ครอง (หล่อเอ๊าโกว่) การสู่ขอ (โท้นิ่นแซง) พิธีแต่งงานใหญ่ (ต่ม ชิ่ง จา) และพิธีแต่งงานเล็ก (ชิ่งจาตอน) ดังนี้
การเลือกคู่ครอง (หล่อเอ๊าโกว่) ชาวอิ้วเมี่ยนนิยมที่จะแต่งงานกับคนในกลุ่ม (Endogamy) ที่ใช้แซ่เดียวกัน แต่อยู่คนละกลุ่มเครือญาติย่อย (เครือข่ายวัฒนธรรมอิ้วเมี่ยน, 2545, หน้า 26)ทั้งนี้ เหตุผลที่ไม่อนุญาตให้แต่งงานในเครือญาติตระกูลย่อยเดียวกัน เพราะเป็นกลุ่มที่นับถือผีบรรพบุรุษเดียวกัน แต่สามารถแต่งงานภายในกลุ่มแซ่ตระกูลเดียวกันได้เนื่องจากชาวอิ้วเมี่ยนในแซ่ตระกูลต่าง ๆ ได้อพยพแยกย้ายไปตั้งถิ่นฐานในประเทศต่าง ๆ เป็นระยะเวลานานจนทำให้ความสัมพันธ์ทางสายเลือดเจือจางลง และไม่ได้นับถือผีบรรพบุรุษเดียวกัน (เลาเถา คิริพานกุล, 2561: สัมภาษณ์)ส่วนใหญ่ประเพณีดั้งเดิมจะให้เสรีภาพกับหนุ่มสาวในการเลือกคู่ครองแต่ก็มีส่วนน้อยที่แต่งงานด้วยวิธีการคลุมถุงชน นอกจากนี้ประเพณีของชาวอิ้วเมี่ยนยังให้อิสระหนุ่มสาวได้ทดลงใช้ชีวิตคู่ก่อนแต่งงานสังคมอิ้วเมี่ยนไม่ได้ยึดถือค่านิยมพรหมจรรย์ กรณีของผู้หญิงที่เสียพรหมจรรย์ก่อนแต่งงาน ถ้าเป็นผู้หญิงที่ดีหรือดีปานกลาง และผู้ใหญ่เห็นว่า ผู้ชายและผู้หญิงรักกันจริงจะไม่ถือโทษ แต่จะให้มาขอแต่งงานให้ถูกต้อง หากเกิดการตั้งครรภ์ก่อนแต่งงานเป็นเรื่องที่จารีตประเพณีอิ้วเมี่ยนยอมรับได้หลักเกณฑ์ในการเลือกคู่ชีวิตของชาวอิ้วเมี่ยน ผู้ชายจะคัดเลือกภรรยาที่มีความขยัน มีจิตใจโอบอ้อมอารี สามารถบริการและดูแลครอบครัวฝ่ายชายได้ผู้ใหญ่ในครอบครัวฝ่ายชายจะดูความประพฤติ
ของว่าที่ลูกสะใภ้เป็นหลัก รวมถึงพิจารราความประพฤติของแม่ฝ่ายหญิงด้วย โดยไม่ได้ยึดติดกับฐานะทางสังคมมากนัก ส่วนผู้หญิงอิ้วเมี่ยนมักจะเลือกผู้ชายที่โอบอ้อมอารีเป็นหลัก เพื่อเป็นหลักประกันว่าชีวิตหลังแต่งงานจะไม่ถูกใช้ความรุนแรงจากฝ่ายชาย เนื่องจากตามจารีตประเพณีอิ้วเมี่ยนแล้ว ภรรยาจะไม่สามารถตอบโต้หรือต่อสู้กับสามีได้ (วิสุทธ์ เหล็กสมบูรณ์, 2545 หน้า 166) เมื่อชาวอิ้วเมี่ยนเริ่มเข้าสู่วัยหนุ่มสาว อายุประมาณ 15 ปีขึ้นไป ในการเลือกคู่ครองฝ่ายชายจะเป็นฝ่ายเข้าหาฝ่ายหญิง หนุ่มสาวอิ้วเมี่ยนมีอิสระในการเลือกคู่ครองและมีเพศสัมพันธ์ก่อนแต่งงานโดยชายหนุ่มอาจจะเข้าถึงห้องนอนหญิงสาวเพียงคืนเดียว หรือไปมาหาสู่อย่างสม่ำเสมอหากฝ่ายหญิงสาวไม่ขัดข้องก็ย่อมกระทำได้อย่างเสรี (มูลนิธิกระจกเงา, 2552)
การสู่ขอ (โท้นิ่นแซง) เมื่อชายหนุ่มตกลงปลงใจจะแต่งงานกับหญิงสาวใดแล้ว ฝ่ายชายจะต้องหาบุคคลเพื่อไปสืบถามเพื่อขอทราบวัน เดือน ปีเกิดของฝ่ายหญิง ถ้าพ่อแม่ฝ่ายหญิงยินยอมแสดงว่า พวกเขายอมยกลูกสาวให้หลังจากนั้นผู้ใหญ่ฝ่ายชายจะนำเอาวัน เดือน ปี เกิด ของหนุ่มสาวคู่นั้นไปให้หมอผีผู้อาวุโสตรวจดูความสมพงศ์ของดวง ถ้าดวงไม่สมพงศ์กัน ฝ่ายชายจะไม่มาสู่ขอ พร้อมแจ้งหมายเหตุให้ฝ่ายหญิงทราบ แต่ถ้าทั้งคู่ยืนยันที่จะอยู่ร่วมกันก็อาจทำการสู่ขอและหมั้นหมายได้ แต่ไม่ให้ผู้หญิงเข้ามานับถือผีเดียวกับฝ่ายชาย ในพิธีแต่งงานจะต้องบอกผีบรรพบุรุษว่า ฝ่ายชายจะรับฝ่ายหญิงเป็นน้องสาว และไม่อาจทำพิธีดื่มเหล้าร่วมกัน
อย่างไรก็ตาม มีหนุ่มสาวอิ้วเมี่ยนจำนวนมากที่ไม่สนใจเรื่องดวงสมพงศ์และคำแนะนำของพ่อแม่ในเรื่องการเลือกคู่ครอง (มงคล จันทร์บำรุง, 2529, หน้า 6)แต่ถ้าหากหนุ่มสาวมีดวงสมพงศ์กัน พ่อแม่จึงจัดการให้ลูกได้สมปรารถนา เริ่มด้วยการส่งสื่อไปนัดพ่อแม่ฝ่ายสาวว่า ค่ำพรุ่งนี้จะส่งเถ้าแก่มาสู่ขอลูกสาวแล้วพ่อแม่ฝ่ายหญิงจะต้องจัดข้าวปลาอาหารไว้รับรอง ระหว่างที่ดื่มกินกันนั้น เถ้าแก่จะนำกำไลเงินหนึ่งคู่มาวางไว้บนสำรับ เมื่อดื่มกินกันเสร็จ สาวเจ้าเข้ามาเก็บถ้วยชาม หากสาวเจ้าตกลงปลงใจกับหนุ่มก็จะเก็บกำไลไว้ หากไม่ชอบก็จะคืนกำไลให้เถ้าแก่ ภายใน 2 วัน เถ้าแก่จะรออยู่ดูให้แน่ใจแล้วว่าสาวเจ้าไม่คืนกำไลแล้วเถ้าแก่จึงนัดวันเจรจาเมื่อถึงวันเดินทางไปสู่ขอ ถือเป็นวันที่มีความสำคัญเป็นอย่างมากเพราะมีข้อห้าม และความเชื่อในการเดินทางหลายประการ ทั้งความเชื่อระหว่างการเดินทาง หากพบคนกำลังปลดฟืนลงพื้น สัตว์วิ่งตัดหน้า ไม้กำลังล้ม คนล้ม ฯลฯ สิ่งเหล่านี้จะมีนัยยะไปในทางที่ไม่ดี จะไม่มีโชคตามความเชื่อ แต่ถ้าไม่พบสิ่งเหล่านี้ระหว่างทาง สามารถเดินทางไปบ้านฝ่ายหญิงได้ เมื่อเดินทางไปถึงบ้านฝ่ายหญิง แล้วพบสาวเจ้ากำลังกวาดบ้าน หรือพบคนกำลังเจาะรางไม้ หรือเตรียมตัวอาบน้ำ พ่อแม่ของฝ่ายชายก็จะเลิกความคิดที่จะไปสู่ขอ เพราะเชื่อว่าเป็นสิ่งไม่ดีจะทำให้คู่บ่าวสาวต้องลำบาก เมื่อพ่อแม่ฝ่ายชายเดินทางไปถึงบ้านฝ่ายหญิง โดยไม่ได้พบอุปสรรคใดๆ แล้วครอบครัวของฝ่ายชายจะต้องนำไก่ 3 ตัว ประกอบด้วย ไก่ตัวผู้ 2 ตัว และไก่ตัวเมีย 1 ตัว แล้วนำไก่ตัวผู้ 1 ตัวมาปรุงอาหาร เพื่อเป็นการสู่ขอ แล้วร่วมกันรับประทาน พ่อแม่ฝ่ายหญิงจะเชิญญาติอย่างน้อย 2-3 คน มาร่วมเป็นพยาน ระหว่างที่รับประทานอาหารจะเริ่มเจรจาค่าสินสอดตามประเพณี ส่วนใหญ่ค่าสินสอดจะกำหนดเป็นเงินแท่งมากกว่า หรือบางครั้งอาจจะใช้เงินก็ได้ตามฐานะ สำหรับไก่อีก 2 ตัว หลังจากฆ่าแล้วจะนำมาเซ่นไหว้บรรพบุรุษของตระกูลทั้งสองฝ่าย เพื่อเป็นการแจ้งให้บรรพบุรุษทั้งสองฝ่ายให้รับรู้ในการหมั้น พร้อมทั้งฝ่ายชายจะมอบด้ายและผ้าทอหรืออุปกรณ์ในการปักชุดแต่งานไว้ใช้สำหรับงานพิธีแต่งให้กับฝ่ายหญิง เพื่อใช้ปักชุดแต่งงาน เจ้าสาวจะต้องปักชุดแต่งงานให้เสร็จจากอุปกรณ์ที่ฝ่ายชายเตรียมไว้ในตอนหมั้นและเจ้าสาวจะไม่ทำงานไร่ จะอยู่บ้านทำงานบ้านและปักผ้าประมาณ 1 ปี ส่วนเจ้าบ่าวต้องเตรียมอาหารที่จะใช้เลี้ยงแขกและทำพิธีกรรมเช่น หมู ไก่ และจัดเตรียมเครื่องดนตรี จัดบุคคลที่จะเข้าทำพิธีกรรมทางศาสนา และอุปกรณ์การจัดงานทั่วไป หลังจากหมั้นแล้วบ่าวสาวจะอยู่ด้วยกันที่บ้านฝ่ายใดก็ได้แล้วแต่จะตกลงกัน (มูลนิธิกระจกเงา, 2552)
ในการแต่งงานของชาวอิ้วเมี่ยน จะมีพิธีการแต่งงาน 2 รูปแบบ ดังนี้
รูปแบบที่หนึ่ง พิธีแต่งงานใหญ่ (ต่ม ชิ่ง จา) พิธีนี้เป็นพิธีใหญ่ซึ่งจะต้องใช้ค่าใช้จ่ายสูง คนที่จัดพิธีใหญ่นี้ส่วนใหญ่เป็นผู้ที่มีฐานะดี จะใช้เวลาในการทำพิธี 3 คืน 3 วัน ซึ่งจะต้องใช้เวลาเตรียมงานกันเป็นปี ที่ต้องเลี้ยงหมู เลี้ยงไก่ไว้ให้เพียงพอกับการเลี้ยงแขก (มูลนิธิกระจกเงา, 2552)
รูปแบบที่สอง พิธีแต่งงานเล็ก (ชิ่งจาตอน) พิธีนี้เป็นการเลี้ยงฉลอง โดยไม่มีพิธีกรรม จะใช้เวลาทำพิธีเพียงวันเดียว เจ้าสาวไม่ต้องสวมผ้าคลุมศรีษะที่มีน้ำหนักมาก พิธีแต่งงานเล็กนี้ไม่ต้องสิ้นเปลืองค่าใช้จ่ายมาก ความสำคัญของการแต่งงานของเมี่ยน จะขึ้นอยู่กับการที่เจ้าบ่าวตกลงสัญญาจ่ายค่าตัวเจ้าสาวกับพ่อแม่ของเจ้าสาวไว้ เพื่อเป็นการทดแทนที่ได้เลี้ยงดูเจ้าสาวมา และฝ่ายเจ้าบ่าวจะต้องบอกวิญญาณบรรพบุรุษของตนเองยอมรับ และช่วยคุ้มครองเจ้าสาว ประการสุดท้ายเจ้าบ่าวและเจ้าสาวจะต้องดื่มเหล้าที่ทำพิธีและร่วมแก้วเดียวกัน การแต่งงานของเมี่ยนจะต้องทำตามประเพณีทุกขั้นตอนอย่างพิถีพิถัน และเป็นไปในลักษณะที่ให้เกียรติซึ่งกันและกันทั้งสองฝ่าย (มูลนิธิกระจกเงา, 2552)
ในอดีตชาวอิ้วเมี่ยนจะนิยมแต่งงานภายในกลุ่ม ต่อมาในช่วงต้นทศวรรษ 2500 เมื่อหนุ่มสาวชาวอิ้วเมี่ยนอพยพเข้าทำงานในเมือง ทำให้เกิดการแต่งงานกับคนเมืองพื้นราบมากขึ้นโดยที่ผู้ใหญ่ในครอบครัวไม่สามารถห้ามการแต่งงานในลักษณะนี้ได้ทั้งนี้ พิธีกรรมการแต่งงานกับคนนอกกลุ่มจะปฏิบัติเช่นเดียวกันกับพิธีกรรมปกติส่วนการแต่งงานกับชาวอิ้วเมี่ยนที่นับถือผี คู่แต่งงานทั้งหญิงและชายจะต้องเปลี่ยนมานับถือผีเหมือนกันหากแต่งงานกับชาวอิ้วเมี่ยนที่ไม่ได้นับถือผีไม่ต้องเปลี่ยนมานับถือผี และไม่ต้องจัดพิธีกรรมไหว้ผีในงานแต่งงาน (เลาเถา คิริพานกุล, 2561: สัมภาษณ์) ปัจจุบัน ชาวอิ้วเมี่ยนที่นับถือผียังคงยึดถือประเพณีการแต่งงานแบบดั้งเดิม ส่วนชาวอิ้วเมี่ยนกลุ่มที่เปลี่ยนไปนับถือศาสนาอื่น บางส่วนยังมีการจัดพิธีการแต่งงานตามศาสนาตน ในขณะที่บางส่วนจัดทั้งพิธีการแต่งงานตามศาสนาของตนและแบบอิ้วเมี่ยน แต่จะไม่มีพิธีกรรมที่เกี่ยวกับการไหว้ผี (สิริวรรณ โชติชัยชุติมา, 2562: สัมภาษณ์)
การหย่าร้าง
การหย่าร้างแบบดั้งเดิมของกลุ่มชาวอิ้วเมี่ยนที่นับถือผี ในกรณีเป็นผู้หญิงอิ้วเมี่ยนที่มีลูกและต้องการจะหย่ากับสามีนั้น ตามจารีตประเพณีจะอนุญาตให้แยกกันอยู่กับสามีได้ แต่ไม่สามารถหย่ากับผีทางฝ่ายสามีได้เมื่อผู้หญิงเสียชีวิต ญาติฝ่ายสามีเดิมต้องนำศพกลับไปทำพิธี เมื่อเสียชีวิตไปแล้วก็ต้องกลายไปเป็นผีฝ่ายสามีส่วนลูกก็ต้องนับถือผีฝั่งสามี แม้ว่าพ่อกับแม่จะแยกกันอยู่หรือไม่ก็ตามทั้งนี้ หากสามีเป็นฝ่ายไม่พอใจภรรยาก็สามารถขอแยกกันอยู่ได้ แต่หย่าร้างกันไม่ได้ สำหรับกรณีที่ไม่มีลูกด้วยกัน ผู้หญิงสามารถหย่ากับผีฝ่ายสามี แต่ไม่สามารถกลับไปอยู่ในบ้านเดิมกับพ่อแม่ของตนเอง โดยพ่อกับแม่สามารถทำได้เพียงปลูกบ้านให้ลูกสาวอยู่ข้างบ้านเดิมเท่านั้น เพราะชาวอิ้วเมี่ยนเชื่อว่า หากผู้หญิงที่หย่าร้างกลับไปอยู่กับพ่อแม่ก็จะนำพาโชคร้ายมาให้ และจะมีสถานะเป็นคนที่ไม่ได้นับถือผีซึ่งจะดำรงชีวิตได้อย่างยากลำบากมากในสังคมจารีตแบบดั้งเดิม แต่ในกรณีที่ผู้หญิงอิ้วเมี่ยนไม่ได้แต่งงานกับคนเผ่าเดียวกัน เมื่อหย่าแล้วก็สามารถกลับมาอยู่กับพ่อแม่ได้ (เลาเถา คิริพานกุล, 2561: สัมภาษณ์) ทั้งนี้ นอกจากภรรยาอิ้วเมี่ยนที่หย่าขาดกับสามีจะไม่สามารถกลับมานับถือผีของครอบครัวเดิมได้แล้ว หญิงสาวจะต้องคืนเงินค่าสินสอดและค่าจัดแต่งงานให้ฝ่ายสามี อีกทั้งจะไม่ได้รับทรัพย์สินใดติดตัว แม้ว่าจะหย่าขาดด้วยสาเหตุใดก็ตาม จารีตประเพณีดังกล่าวทำให้ชาวอิ้วเมี่ยนในอดีตไม่นิยมหย่าร้าง (สิริวรรณ โชติชัยชุติมา, 2562: สัมภาษณ์)
ปัจจุบัน อัตราการหย่าร้างของชาวอิ้วเมี่ยนมีมากขึ้น หากทั้งสองฝ่ายพึงพอใจที่จะหย่าร้างกันฝ่ายหญิงก็อาจได้ลูกชายเป็นส่วนแบ่งแต่หากฝ่ายหญิงมีชู้ สามีอาจขอหย่าและเรียกค่าปรับจากชู้ และฝ่ายหญิงจะไม่ได้รับส่วนแบ่ง (มงคล จันทร์บำรุง, 2529, หน้า 33)
ความตาย และการทำศพ
พิธีศพของชาวอิ้วเมี่ยนจะใช้ทั้งวิธีการฝังหรือเผา ขึ้นอยู่กับความประสงค์ของญาติผู้ตายและสภาพพื้นที่ของแต่ละหมู่บ้านในพิธีศพจะต้องคำนึงถึงทั้งความสะดวกในการฝังหรือเผาศพรวมทั้งการคำนึงถึงพื้นที่สำหรับฝังกระดูกของผู้อาวุโสจะต้องไม่ถูกรบกวนจากผู้อื่นปัจจุบัน ชาวอิวเมี่ยนนิยมใช้การเผาศพเป็นหลักหลังจากนั้นจึงจะนำกระดูกไปฝังไว้ในที่ที่ปลอดภัยซึ่งปราศจากการรบกวน ศพที่ตายดีจะต้องนำศพหรือกระดูกไปฝัง ส่วนศพเด็กที่มีอายุต่ำกว่า 12 ปี และศพที่ตายจากเหตุไม่ปกติ รวมถึงศพของผู้ชายที่ไม่เคยผ่านพิธีกว่าตั้งมาก่อน จะไม่นิยมเลือกที่ฝังมากนักอาจฝังที่หนึ่งที่ใดหรือสามารถเผาได้สำหรับศพของผู้ที่เคยผ่านพิธีโตไซ ภรรยา จะทำพิธีส่งวิญญาณให้ขึ้นสวรรค์และต้องมีการเลี้ยงผีใหญ่นอกจากนี้ ในพิธีศพจะต้องนำภาพผีใหญ่มาแขวนไว้ (อภิชาต ภัทรธรรม, 2552, หน้า 144)
การรักษาโรคภัยไข้เจ็บ
พิธีส่งผีป่าหรือ พิธีฝูงเยี่ยนฟิวเมี้ยน หมายถึง การส่งผีป่า เป็นพิธีกรรมของชาวอิ้วเมี่ยนที่มีมาแต่ดั้งเดิมและได้รับการสืบทอดจนถึงปัจจุบันชาวอิ้วเมี่ยน เชื่อว่า พิธีกรรมนี้เป็นพิธีเพื่อขอขมาของบุคคลที่ทำผิดต่อผีป่าหรือลบหลู่โดยไม่ได้ตั้งใจ แล้วเมื่อผีป่าเกิดความโกรธจึงทำให้เกิดการเจ็บป่วยขึ้นมา และจะไม่สามารถรักษาได้ (มูลนิธิกระจกเงา, 2552)
การทำพิธีนี้จะเริ่มมาตั้งแต่การทำพิธีกรรมย่อย เมื่อมีผู้คนเกิดอาการเจ็บป่วยและ ไม่สามารถรักษาให้หายได้โดยการกินยา คนในครอบครัวต้องไปทำพิธีถามหมอผี โดยการไปทำพิธีโบ้วจุ๋ยซากว๋าซึ่งเป็นพิธีถามวิญญาณบรรพบุรุษเกี่ยวกับสาเหตุของอาการเจ็บป่วยเมื่อทำการถามเสร็จแล้ว หมอผีจะบอกคนป่วยว่าคนป่วยนั้นได้ทำผิดต่อผีป่า คนป่วยจะได้รับรู้ว่าตนได้ทำผิดอย่างไรต่อผีป่า จากนั้นหมอผีก็จะบอกให้กับคนป่วยและครอบครัวให้ไปทำพิธีส่งผีป่า โดยหมอผีจะแจ้งให้นำของเซ่นไหว้เพื่อขอขมา หลังจากนั้นคนในครอบครัวก็จะกำหนดวันเพื่อทำพิธีส่งผีป่าต่อไป (มูลนิธิกระจกเงา, 2552)
การส่งผีป่าจะต้องเตรียมอุปกรณ์ตั้งแต่อยู่บ้าน อุปกรณ์เซ่นไหว้ประกอบด้วย สัตว์ที่ใช้เช่นไหว้ กระดาษเงินกระดาษทอง (เจ่ยก๋อง) เอาไปเพื่อเป็นเงินทองที่จะเอาไปเผาส่งให้กับผีป่า และยังมี (จ๋าว) เป็นอุปกรณ์ที่ใช้ถามผีป่าเกี่ยวกับจำนวนกระดาษเงินกระดาษทองที่เพียงพอต่อความต้องการ จ๋าวเป็นอุปกรณ์ที่ทำมาจากไม้ไผ่ ถ้าไม้ไผ่หงายทั้ง 2 อัน แสดงว่าผีป่าพึงพอใจกับเงินทองที่คนป่วยส่งไปให้หากไม้ไผ่ไม่หงายอย่างที่ต้องการทั้ง 2 อัน จะต้องทำการถามต่อไปจนกว่าผีป่าพอใจ การส่งวิญญาณผีป่าจะเริ่มทำตั้งแต่อยู่บ้านจนกระทั่งก่อนออกไปในป่าเพื่อที่จะทำพิธีส่งผีป่าหมอผีจะสวดยันต์ป้องกันผีร้ายไว้ให้คนละอัน คนที่จะไปนั้นจะต้องได้รับยันต์ป้องกันผีป่าจากหมอผีคนละอัน หมอผีจะทำการสวดคาถาก่อน เพื่อให้คุ้มครองคนที่จะไปด้วยในขณะเดินทาง ต้องเอาติดไว้กับเสื้อที่สวมใส่ เพื่อเป็นการป้องกันสิ่งชั่วร้ายต่างๆ เมื่อไปถึงป่าซึ่งเป็นพื้นที่สำหรับทำพิธีผู้ช่วยหมอผีจะทำการเตรียมพื้นที่เพื่อจัดเครื่องเซ่นไหว้ และฆ่าไก่ทั้งหมด 3 ตัว เพื่อที่ทำพิธีต่อไป ไก่ที่ฆ่าจะนำไปเซ่นไหว้ให้กับ (ใส เตี๋ย) ซึ่งเป็นวิญญาณบรรพบุรุษของคนป่วย เพื่อให้วิญญาณบรรพบุรุษช่วยคุ้มครองคนป่วยและครอบครัวของคนป่วย ส่วนไก่อีก 2 ตัว เป็นไก่ที่ฆ่าเพื่อเซ่นไหว้ให้กับผีป่า เพื่อขอขมาผีป่าที่ทำให้โกรธและไปลบหลู่ผีป่าโดยไม่รู้ตัว จึงเป็นเหตุทำให้ไม่สบายและเจ็บป่วยเกิดขึ้น จึงต้องทำการขอขมาให้ผีป่าไม่มาทำร้ายและให้คนป่วยกลับมาเป็นอิสระเหมือนเดิม
ในระหว่างการทำพิธีกรรมอยู่นั้นจะมีด้ายเส้นหนึ่งที่ใช้ผูกไว้กับ (สิเจียน) และผีป่าที่ทำเป็นรูปจำลองขึ้นมา แล้วทำการสวดขอขมาผีป่าเพื่อให้คนป่วยนั้นเป็นอิสระ เมื่อทำการสวดเสร็จจะตัดด้ายเส้นนั้นให้ขาด เพื่อไม่ให้ผีป่ามารบกวนคนป่วย เมื่อตัดเสร็จแล้วจะทำการเผากระดาษเงิน กระดาษทองให้กับผีป่าที่ต้องการจนหมด จากนั้นจะนำร่างจำลองของผีป่าไปทิ้งในป่า ผู้ช่วยหมอผีจะนำไก่มาต้มยำทำแกง แล้วร่วมรับประทานกันกับทุกคนที่มาร่วมพอธี การส่งผีป่านี้จะใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมงกว่าจึงเป็นอันเสร็จพิธี หลังรับประทานอาหารเสร็จเมื่อต้องเดินทางกลับบ้านจะห้ามนำอาหารที่เหลือกลับบ้าน และจะไม่แวะเข้าบ้านของชาวบ้าน เพราะถือว่าไม่เป็นมงคล เมื่อกลับถึงบ้านจะต้องล้างมือก่อนเข้าบ้าน คนที่ไปร่วมงานต้องทำตามพิธีอย่างพิถีพิถัน (มูลนิธิกระจกเงา, 2552)
พิธีเรียกขวัญ
การเรียกขวัญเป็นอีกหนึ่งพิธีกรรมที่ชาวอิ้วเมี่ยนให้ความเคารพนับถือมาโดยตลอด ในระยะ 1 ปีของเมี่ยนแต่ละคนต้องทำการเรียกขวัญอย่างน้อย 1 ครั้ง บางคนนั้นอาจจะเรียกขวัญปีละ 2-3 ครั้ง เนื่องจากบุคคลนั้นเกิดอาการป่วย หรือบุคคลนั้นมีอาการตกใจจากการพบเห็นสิ่งที่ไม่ดี จะต้องเดินทางไกล หรือเดินทางจากบ้านไปเป็นระยะเวลานาน ชาวอิ้วเมี่ยนจึงทำการเรียกขวัญ เพื่อให้ขวัญกลับบมาอยู่กับตัว ชาวอิ้วเมี่ยน เชื่อว่า การเรียกขวัญจะช่วยขจัดความทุกข์ทรมานได้ เมื่อทำแล้ววิญญาณบรรพบุรุษจะมาคุ้มครองและดูแลผู้เรียกขวัญ เมื่อเรียกขวัญเสร็จจะทำให้คนที่สู่ขวัญนั้นสบายใจขึ้น (มูลนิธิกระจกเงา, 2552)
การเรียกขวัญจะเกิดขึ้นในช่วงเทศกาลปีใหม่ของชาวอิ้วเมี่ยน เนื่องจากเป้นช่วงเวลาที่เครือญาติเดินทางกลับภูมิลำเนาอย่างพร้อมหน้าพร้อมตากัน พ่อแม่จึงจะหาหมอผีมาช่วยเรียกขวัญ การเรียกขวัญจะใช้เวลาไม่มากนัก และไม่ใช้เครื่องเซ่นไหว้จำนวนมาก
ในการเรียกขวัญเด็กอายุ 1 - 12 ขวบ จะใช้ไก่ตัวและไข่ไก่ฟอง กระดาษเงินและเหล้า เป็นเครื่องเซ่นไหว้ โดยจัดไว้บนโต๊ะหน้าหิ้งบูชา (ซิบเมี้ยนเมี่ยน) จะทำพิธีท่องคาถา เผากระดาษเงินให้วิญญาณบรรพบุรุษคุ้มครองขวัญให้อยู่กับตัวตลอดอีกทั้งขอให้ช่วยดูแลรักษา ทั้งยามเจ็บป่วยหรือเดินทางไกล ส่วนการเรียกขวัญของผู้ใหญ่จะทำคล้ายกันกับเด็ก แต่จะเตกต่างกันในเรื่องเครื่องเซ่นไหว้ที่ใช้หมูแทนไก่กับไข่ การเรียกขวัญจะใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง เมื่อทำพิธีเสร็จจะทำอาหารร่วมรับประทานกับอาจารย์ผู้ประกอบพิธี ซึ่งจะเป็นผู้แจ้งว่าขวัญกลับมาหรือยัง หากขวัญยังไม่กลับมาอาจารย์ผู้ประกอบพิธีจะบอกกล่าวคนในครอบครัวเพื่อหาหมอผีมาช่วยเรียกขวัญให้กับบุคคลนั้น (มูลนิธิกระจกเงา, 2552)
ในการเรียกขวัญ จะต้องมีการสร้างสะพานให้วิญญาณข้ามกลับมาหาร่าง เป็นพ
การแสดง มหรสพ และการละเล่น :
การแสดง มหรสพ และการละเล่น
ชาวอิ้วเมี่ยนมีการแสดง มหรสพ และการละเล่น ได้แก่ 1) เพลง2) การร่ายรำ 3) เครื่องดนตรี 4) เกม การละเล่น และ 5) การแข่งขันกีฬาอิ้วเมี่ยนสัมพันธ์ โดยมีรายละเอียดดังนี้
เพลง
ลักษณะเพลงที่ชาวอิ้วเมี่ยนนิยมขับร้องเมื่อประมาณ 50 กว่าปีที่แล้ว เป็นเพลงอิ้วเมี่ยนสมัยใหม่ที่นำทำนองเพลงดังของไทยมาใส่ภาษาเมี่ยนเป็นเนื้อร้อง โดยทำนองเพลงมีทั้งเพลงลูกทุ่งและลูกกรุงต่อมาศิลปินชาวอิ้วเมี่ยนจึงนิยมนำไปเล่นดนตรีตามงานประเพณีต่าง และทำเพลงเป็นอัลบั้มวางขายให้แก่ชาวอิ้วเมี่ยนที่สนใจ ปัจจุบัน เยาวชนอิ้วเมี่ยนยังได้จัดตั้งวงดนตรีอิ้วเมี่ยนที่มีการแสดงตามงานประเพณี โดยนำทำนองเพลงดังของไทยมาใส่เนื้อร้องเป็นภาษาเมี่ยน แต่มีรูปแบบดนตรีที่หลากหลายทั้งเพลงร็อคและเพลงป๊อบตามสมัยนิยม (จุฑารัตน์ โชติชัยชุติมา, 2562: สัมภาษณ์)
การร่ายรำ
การแสดงรำถาดมักจะจัดแสดงขึ้นเพื่อเป็นต้อนรับและอวยพรแขกในงานโดยการเลือกใช้ถาดเป็นอุปกรณ์ประกอบการแสดงเพื่อสื่อถึงธรรมเนียมการต้อนรับแขกของชาวอิ้วเมี่ยนที่มักจะนำถ้วยน้ำชาวางบนถาดและยกไปต้อนรับแขก (จุฑารัตน์ โชติชัยชุติมา, 2562: สัมภาษณ์)
เครื่องดนตรี
เครื่องดนตรีของอิ้วเมี่ยนมีลักษณะเป็นการเล่นดนตรีแบบง่ายไม่ซับซ้อน โอกาสในการเล่นดนตรีของอิ้วเมี่ยนค่อนข้างจำกัด โดยจะนำมาเล่นเฉพาะ พิธีกรรมใหญ่หรือพิธีกรรมที่มีความสำคัญตามที่ตำราพิธีกรรมระบุไว้ว่า ต้องใช้เครื่องดนตรีประกอบเท่านั้น เช่น การแต่งงาน พิธีบวช พิธีงานศพ พิธีกรรมดึงวิญญาณคนตายจากนรก (เชวตะหยั่ว) ในบางพิธีกรรมเหล่านี้ การใช้เครื่องดนตรีร่วมประกอบพิธีกรรมยังไม่อาจใช้เครื่องดนตรีครบทุกประเภททั้งนี้ ขึ้นอยู่กับชนิดของพิธีกรรมและคุณสมบัติของบุคคลที่เป็นเจ้าของพิธีกรรม เช่น ดนตรีประกอบพิธีกรรมแก่ผู้ตายที่ไม่เคยผ่านการบวชใหญ่ จะไม่ใช้ปี่ หรือพิธีดึงวิญญาณคนตายขึ้นจากนรก จะใช้เครื่องดนตรีเพียงแค่ฉาบและกลองเท่านั้น
การเล่นดนตรีประกอบพิธีกรรม จังหวะและทำนองของดนตรีจะเปลี่ยนแปลงไปตามขั้นตอนของพิธีกรรมหรือเหตุการณ์ในพิธีกรรม เช่น การแต่งงาน ขั้นตอนพิธีกรรมที่เจ้าบ่าว เจ้าสาว ทำพิธีไหว้วิญญาณบรรพบุรุษ ไหว้ฟ้าดิน ดนตรีจะทำจังหวะที่แตกต่างกันไปผู้เข้าใจจังหวะและทำนองดนตรีจะสามารถ
รู้เหตุการณ์ หรือขั้นตอนที่กำลังดำเนินอยู่ในพิธีกรรมนั้นได้ แม้มิได้เห็นด้วยตาก็ตามเครื่องดนตรีของอิ้วเมี่ยนจะไม่สามารถนำมามาละเล่นดังเช่นเครื่องดนตรีของกลุ่มชาติพันธุ์อื่นเนื่องจากถูกระบุให้ใช้เฉพาะในพิธีกรรมเท่านั้นดังนั้น ชาวอิ้วเมี่ยนจึงไม่มีการละเล่นที่โดดเด่นเหมือนกับกลุ่มชาติพันธุ์อื่น
ประเภทของเครื่องดนตรีอิ้วเมี่ยน ได้แก่
ปี่ ภาษาเมี่ยนเรียกว่า “จยัด” โดยชาวอิ้วเมี่ยนมีปี่เพียง 1 ชนิด ทำด้วยทองแดง ทองเหลือง เจาะรูตามลักษณะของปี่ มีความยาวประมาณไม่น้อยกว่า 50 เซนติเมตร
กลอง ภาษาเมี่ยนเรียกว่า “โฌย๋, ล่อโฌย๋” เป็นกลองสองหน้าหุ้มด้วยหนังโค มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางตั้งแต่ 30 – 60 เซนติเมตร ไม้ที่ใช้ทำกลองต้องเป็นไม้ (ตะจูงกง) และจะมีไม้ที่มีขนาดเล็กเสียบอยู่รอบกลองทั้งหมด 300 อัน
ฆ้อง ภาษาเมี่ยนเรียกว่า “มัง” ทำด้วยโลหะผสมทองแดง มีรูปร่างเหมือนฆ้องไทย โดยทั่วไป มีเส้นผ่านศูนย์กลางตั้งแต่ 15 – 25 เซนติเมตร
ฉาบ ภาษาเมี่ยนเรียกว่า “เฉาเจ้ย, ฉาว” ทำจากทองเหลือง (ต่งแปะ) มีลักษณะกลมเช่นเดียวกับฉาบของชาวไทยและมีสองอันใช้ตีประกบเข้าด้วยกัน
เกม การละเล่น
ปัจจุบันในชีวิตประจำวันของชาวอิ้วเมี่ยนแทบไม่ปรากฎการละเล่นที่แสดงออกถึงความรื่นเริงตามประเพณี และเทศกาลต่างๆ โดยเฉพาะการละเล่นในวัยผู้ใหญ่หรือวัยหนุ่มสาว ส่วนการละเล่นของเด็กไม่เพียงเล็กน้อย เช่น การเล่นไล่จับกัน ซึ่งเล่นรวมกันทั้งเด็กชายและหญิง การเล่นลูกข่าง การเดินไม้โกงกาง ชาวอิ้วเมี่ยนไม่มีการละเล่นตามประเพณีประจำเทศกาลที่มีรูปแบบชัดเจน โดยเฉพาะการละเล่นของอิ้วเมี่ยน มักเป็นการละเล่นที่อาศัยเล่นในโอกาสของงานพิธีกรรม และมักจะเป็นพิธีแต่งงานกับวันปีใหม่เท่านั้นที่สามารถแสดงการละเล่นได้อย่างสนุกสนาน การละเล่นของชาวอิ้วเมี่ยน (มูลนิธิกระจกเงา,2552) มีดังนี้
หนังสติ๊ก (ถางกง) ทำมาจากไม้ ชาวอิ้วเมี่ยนจะนำไม้ประมาณเท่ากับแขนที่ปลายแยกออกจากกัน นำมาแต่งให้สวยงามและพอกับมือจับ เอาหนังยางมามัดให้สามารถดึงแล้วยิงได้วิธีการเล่น จะนำก้อนหินมาวางตรงที่เป็นยาง ดึงแล้วปล่อยใช้เล่นยิงแข่งกัน
ปืนไม้ไผ่ (พ้าง พ้าง) เป็นของเล่นที่เด็กนิยมเล่น วิธีการทำ จำนำเอาไม้ไผ่ลำใหญ่ ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 1 – 2 เซนติเมตร มาทำเป็นกระบอกปืน และเหลาไม้อีกอันมาใช้สำหรับเป็นตัวยิงจะนำผลของต้นไม้ชนิดหนึ่งมาเป็นกระสุนในการเล่น ชาวอิ้วเมี่ยนเรียกว่า พ้าง พ้าง เปี้ยว
กระบอกสูบน้ำ (เฮ้าดงแฟะ) เป็นการละเล่นอีกประเภทที่ทำมาจากไม้ไผ่ โดยใช้ไม้ไผ่ที่ค่อนข้างแก่มาทำเป็นตัวกระบอก และทำที่สูบโดยการตัดรองเท้าแตะเก่าหรือเอายางมามัดเป็นวงกลมเสียบกับที่สูบการละเล่นจะใช้กระบอกสูบน้ำขึ้นมาแล้วดันน้ำออกใส่กับเพื่อนที่เล่นด้วย โดยจะละเล่นกระบอกน้ำในช่วงฤดูร้อน
ไม้โกงกาง (ม่าเกะเฮ้า) ไม้โกงกางทำมาจากไม้ไผ่ที่มีความสูงประมาณ 2 เมตร ตรงขาเหยียบจะสูงขึ้นมาจากพื้นประมาณ 50 เซนติเมตร หรือสูงกว่านี้ก็ได้ แล้วแต่ความต้องการของแต่ละคน ซึ่งเป็นการละเล่นที่ถือว่าสนุกสนานมากในวัยเด็ก สามารถเล่นได้ทุกฤดูกาลวิธีการเล่น ผู้เล่นจะต้องขึ้นไปเหยียบแล้วก็วิ่งแข่งกัน
ขาหยั่งเชือก (ม่าเกะฮาง) เป็นขาหยั่งที่ทำมาจากเชือก การละเล่นจะนำไม้ไผ่มาตัดเหลือไว้แค่ข้อต่อที่กั้นระหว่างป้องเท่านั้น เจาะรูแล้วนำเชือกสอดทั้ง 2 ข้างการเล่นก็เหมือนกันขาหยั่งธรรมดา แตกต่างกันในส่วนของการใช้ขาหนีบที่เชือก
ลูกข่าง (ตะโหลย) การละเล่นลูกข่างเป็นการละเล่นที่ให้ความสนุกสนานเพลิดเพลิน และเป็นการละเล่นของผู้ชาย เมื่อถึงช่วงเวลาที่ว่างเว้นจากการทำไร่ทำสวน ผู้ชายจะออกจากบ้านตั้งแต่เช้า เพื่อจะไปตัดไม้เนื้อแข็งสำหรับทำเป็นลูกข่าง เมื่อกลับมาถึงบ้านจะเริ่มทำลูกข่างโดยเหลาไปปลายไม้ให้แหลม บางคนจะใส่เหล็กตรงปลาย เพื่อให้ลูกข่างหมุนได้นาน จากนั้นจะนำมาเล่นกันโดยแบ่งเป็นสองฝ่าย ฝ่ายละกี่คนก็ได้
ลูกแก้ว (ปู้สี่) ลูกแก้วถือว่าเป็นของเล่นอีกอย่างหนึ่งของเด็กอิ้วเมี่ยน เมื่อถึงช่วงฤดูกาลหนึ่งเด็กอิ้วเมี่ยนก็จะเปลี่ยนของเล่นไปตามฤดูกาลการเล่นลูกแก้วจะนำลูกแก้วมาตีแข่งกันโดยใช้มือเล่น จะมีหลุมอยู่หนึ่งหลุมเพื่อการเล่น
ก้านกล้วย (น้อมจิวแฝด) จะนำก้านกล้วยมาตัดใบทิ้ง ตัดก้านให้เป็นแฉกให้ตั้งขึ้นหลายอัน
แล้วใช้มือปัดลงเร็วก็จะมีเสียงเกิดขึ้นมาอย่างไพเราะ การเล่นชนิดนี้เป็นการละเล่นที่มีความปลอดภัยมากที่สุด เด็กชาวอิ้วเมี่ยนจะนิยมเล่น
งานแข่งขันกีฬาอิ้วเมี่ยนสัมพันธ์
งานมหกรรมวัฒนธรรมกลุ่มชาติพันธุ์และกีฬาอิ้วเมี่ยนสัมพันธ์ถูกจัดขึ้นครั้งแรกใน ค.ศ. 1982 โดยอาจารย์แคะแว่น ศรีสมบัติ ประธานเครือข่ายอิ้วเมี่ยนแห่งประเทศไทยในปัจจุบัน ได้สานสัมพันธ์ชาวอิ้วเมี่ยนที่กระจัดกระจายไปตั้งถิ่นฐานในจังหวัดต่าง ๆ ช่วงบริบทสงครามเย็นจนทำให้ขาดการติดต่อเชื่อมโยงกันภายหลังจากสงครามเย็นสิ้นสุดลง จึงได้จัดกีฬาอิ้วเมี่ยนสัมพันธ์ขึ้นที่บ้านเพื่อเป็นที่พบปะ เชื่อมความสัมพันธไมตรีกันจนถึงปัจจุบัน
ช่วงต้นเดือนของทุกปี ชาวอิ้วเมี่ยนจะมาแข่งกีฬา โดยจัดหมุนเวียนไปตามแต่ละจังหวัดที่มีความพร้อมที่จะรับเป็นเจ้าภาพในการแข่งขันกีฬามีทั้งกีฬาพื้นบ้านและกีฬาสากลปะปนกัน การแข่งขันกีฬาสากล เช่น ฟุตบอล ตะกร้อ ฯลฯ ได้กลายเป็นกีฬายอดฮิตของคนรุ่นใหม่และมีจัดขบวนพาเหรดของแต่ละชุมชนที่เข้าร่วมการแข่งขัน ผู้คนทุกเพศทุกวัยต่างนิยมแต่งกายด้วยชุดพื้นเมืองที่แสดงถึงอัตลักษณ์ท้องถิ่นมาอวดโฉมประชันกันในขบวนพาเหรดนอกจากการแข่งขันกีฬาแล้ว กิจกรรมดังกล่าวยังสร้างพื้นที่ให้กลุ่มวัยรุ่นและวัยผู้สูงอายุชาวอิ้วเมี่ยนจากชุมชนต่าง ๆ มาพูดคุยแลกเปลี่ยนกัน กิจกรรมนี้จึงช่วยประสานความสัมพันธ์ในกลุ่มชาวอิ้วเมี่ยนได้เป็นอย่างดี (มูลนิธิกระจกเงา, 2550)
มหกรรมวัฒนธรรมอิ้วเมี่ยนสัมพันธ์จัดขึ้นครั้งแรกในปี พ.ศ. 2561 โดยความร่วมมือระหว่างมูลนิธิพัฒนาอิ้วเมี่ยนไทยกัยชุมชนพี่น้องอิ้วเมี่ยนในไทยโดยจัดกิจกรรมครั้งแรกที่ท่าเรือบั๊ค อำเภอเชียงของ จังหวัดเชียงราย เมื่อวันที่ 17 – 18 เมษายน 2561การเลือกพื้นที่จัดกิจกรรมในอำเภอเชียงของเนื่องจากเป็นพื้นที่ที่เป็นจุดเชื่อมต่อเรื่องราว (Story) การเดินทางของชาวอิ้วเมี่ยนจากมณฑลยูนนานทางตอนใต้ของจีนเข้ามายังประเทศไทยเมื่อ 200 ปีก่อน มาตั้งรกรากอาศัยอยู่ในแถบอำเภอปง อำเภอเชียงคำ จังหวัดพะเยา อำเภอเชียงของ อำเภอเวียงแก่น อำเภอพญาเม็งราย และอำเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงราย จึงได้รวบรวมพี่น้องอิ้วเมี่ยนจากพื้นที่ต่างๆ มาประสานสัมพันธ์กันในงานกิจกรรมครั้งนี้ (ท้องถิ่นนิวส์, 2562)วัตถุประสงค์ของการจัดกิจกรรมนี้เพื่อสร้างพื้นที่สาธารณะในการแสดงออกเชิงวัฒนธรรมของอิ้วเมี่ยนในประเทศต่าง ๆ และใช้เป็นเวทีสาธารณะในการแสดงออกซึ่งอัตลักษณ์ของชาวอิ้วเมี่ยน รวมถึงสร้างความสามัคคีและส่งเสริมการอนุรักษณ์วัฒนธรรมของชาวอิ้วเมี่ยน โดยกิจกรรมในงานประกอบด้วยเวทีเสวนาเรื่องภาษาและวัฒนธรรมอิ้วเมี่ยนในศตวรรษที่ 21 และการขับเคลื่อนมูลนิธิพัฒนาอิ้วเมี่ยนไทยรวมถึงกิจกรรมกลางแจ้งที่น่าสนใจที่ท่าเรือบั๊คซึ่งมีทั้งการแสดงแฟชั่นเครื่องแต่งกาย เครื่องประดับเงิน กิจกรรมประกวดหนูน้อยอิ้วเมี่ยน นิทรรศการทางศิลปวัฒนธรรมประเพณี การสาธิตวิถีชีวิตอิ้วเมี่ยน งานออกร้านจำหน่ายสินค้า จัดโรงทาน รวมทั้งการแสดงวัฒนธรรมต่าง ๆ มากมาย รวมไปถึงการแสดงดนตรี และบทเพลงทั้งดั้งเดิมและสมัยใหม่ของศิลปินชาวอิ้วเมี่ยน (เพจมหกรรมวัฒนธรรมอิ้วเมี่ยนสัมพันธ์, 2561)
ต่อมาในปี 2562 เครือข่ายอิ้วเมี่ยนแห่งประเทศไทย มูลนิธิพัฒนาอิ้วเมี่ยนไทยร่วมกับอำเภอเชียงของ ได้จัดงานมหกรรมวัฒนธรรมอิ้วเมี่ยนสัมพันธ์ ครั้งที่ 2 (Iu Mien Festival) เมื่อวันที่ 8-9 กุมภาพันธ์ 2562 ที่ผ่านมา ณ สวนปลาบึก 7 สี ท่าเรือบั๊ค จังหวัดเชียงราย ภายในงานมีกิจกรรมหลากหลาย เช่น นิทรรศการประวัติความเป็นมาของชาติพันธุ์อิ้วเมี่ยน 12 ตระกูลแซ่ ตลาดถนนคนเดินจำหน่ายสินค้าอาหาร ผลิตภัณฑ์เครื่องประดับ เครื่องเงิน และเสื้อผ้าปักลายอิ้วเมี่ยนที่ยังคงความเป็นอัตลักษณ์สวยงาม การเสวนาทางวิชาการอัตลักษณ์อิ้วเมี่ยนในสังคมพหุวัฒนธรรม และแนวทางการสืบสานวัฒนธรรมความเชื่อและพิธีกรรมอิ้วเมี่ยนในยุคปัจจุบัน คอนเสิร์ตเพลงอิ้วเมี่ยนดั้งเดิม เพลงอิ้วเมี่ยน ร่วมสมัย ขบวนแห่วัฒนธรรมอิ้วเมี่ยน การแสดงวัฒนธรรมอิ้วเมี่ยนจากประเทศต่างๆ อาทิ การรำถาด การสาธิตการแสดงจำลองวัฒนธรรมประเพณีแต่งงานอิ้วเมี่ยนดั้งเดิม การเดินแบบชุดอิ้วเมี่ยนประยุกต์ร่วมสมัย และที่เป็นไฮไลต์อย่างยิ่งคือจะมีการประกวดธิดาอิ้วเมี่ยนที่สวยงามอลังการเป็นครั้งแรกด้วยทั้งนี้ ทางคณะผู้จัดงานและชาวอิ้วเมี่ยนมีความตั้งใจที่จะผลักดันให้มหกรรมอิ้วเมี่ยนสัมพันธ์ถูกยกระดับเป็นงานประจำทุกปีของอำเภอเชียงของ และเป็นอีกงานเทศกาลหนึ่งที่จะถูกผลักดันให้เข้าไปอยู่ในปฏิทินท่องเที่ยวเชียงรายรวมทั้งยกระดับสู่สากลให้เป็นงานมหกรรมวัฒนธรรมอิ้วเมี่ยนโลกต่อไป เพื่อให้พี่น้องอิ้วเมี่ยนจากทุกจังหวัดในประเทศไทย รวมทั้งชาวอิ้วเมี่ยนจากสปป.ลาว จีน เวียดนาม สหรัฐอเมริกา และประเทศต่างๆ ได้พบปะกัน อันเป็นการสืบสานประเพณีและวัฒนธรรมอันดีงาม การเชื่อมความสัมพันธ์และเกิดความสามัคคีในกลุ่มชาติพันธุ์อิ้วเมี่ยน (ท้องถิ่นนิวส์, 2562)
วรรณกรรมท้องถิ่น :
วรรณกรรมท้องถิ่น
วรรณกรรมท้องถิ่นของชาวอิ้วเมี่ยน ได้แก่ 1) ตำนาน 2) นิทาน และ 3) สุภาษิต คำสอน คำพังเพย โดยมีรายละเอียด ดังต่อไปนี้
ตำนาน
ตำนานที่สำคัญที่สุดของชาวอิ้วเมี่ยน ที่ได้มีการบอกเล่าต่อกันมาหลายชั่วอายุคนนั้น เป็นตำนานกึ่งความทรงจำเกี่ยวกับประวัติการกำเนิดของชนเผ่าอิ้วเมี่ยนในยุคเริ่มแรก บรรพบุรุษของชาวอิ้วเมี่ยนอาศัยที่เมืองหูหนาน บริเวณภูเขาหุ้ยจี้ซาน ชื่อภูเขาใหญ่แห่งหนึ่งของเมืองหูหนาน ชื่อ “หมู่บ้านเซียนจาต้ง” ซึ่งเป็นหมู่บ้านต้นกำเนิดของอิ้วเมี่ยนที่มีการตั้งถิ่นฐานในบริเวณดังกล่าวมาหลายพันปี จนกระทั่งสมัยราชวงศ์หยวนที่ถูกฮ่องเต้มองโกเลียมารบและขับไล่ชาวอิ้วเมี่ยนจนต้องอพยพข้ามทะเลสาบมายังมณฑลกวางตุ้ง (ว๊วน เซ็ง แซ่พ่าน, 2561: สัมภาษณ์)
ช่วงสมัยราชวงศ์โจวตะวันออก ประเทศจีนเกิดความวุ่นวายทางการเมือง อันเป็นผลมาจากการสู้รบเพื่อช่วงชิงความเป็นใหญ่ระหว่างอาณาจักรทั้ง 8 อาณาจักรที่ปกครองประเทศจีนในขณะนั้นประชาชนจึงต้องประสบชะตากรรมที่ทุกข์ยากและบาดเจ็บล้มตายเป็นจำนวนมากเทพเจ้าบนสวรรค์เห็นเช่นนั้น จึงทรงส่งสาสน์มายังโลกมนุษย์ว่าจะประทานเทพผู้หญิงกับเทพผู้ชายมาแต่งงานกัน เพื่อช่วยกษัตริย์ผิงหวางแห่งอาณาจักรชู (ชูกั่ว) สู้รบกับกษัตริย์เกาหวางแห่งอาณาจักรเหยียน (เหยียนกั่ว) ตามที่กษัตริย์เกาหวางได้ส่งสาสน์มาท้ารบกับกษัตริย์ผิงหวาง แต่กษัตริย์ผิงหวางไม่ได้ทรงเตรียมความพร้อมสำหรับทำศึกสงคราม จึงทรงเรียกประชุมขุนนาง เพื่อป่าวประกาศหาอาสาสมัครที่จะออกรบในครั้งนี้โดยมีพระบรมราชโองการว่า หากผู้ใดสามารถตัดพระเศียรของกษัตริย์เกาหวางมาถวายพระองค์ได้พระองค์จะทรงอนุญาตให้แต่งงานกับธิดาองค์ที่สาม พร้อมทั้งแบ่งแผ่นดินส่วนหนึ่งให้ปกครองเมื่อเวลาล่วงผ่านไปถึง 7 วันยังไม่มีผู้ใดกล้าอาสาออกรบในเวลานั้น “เปี้ยนฮู่ง” หรือ เทพสุนัขมังกร ซึ่งเคยเป็นหนึ่งในผู้ที่เข้าร่วมการประชุมในครั้งนั้น แม้ว่าเปี้ยนฮู่งไม่สามารถพูดภาษามนุษย์ได้ แต่สามารถเข้าใจถึงพระบรมราชโองการเป็นอย่างดี จึงได้หายตัวไปและเดินทางข้ามทะเลสาบที่คั่นกลางระหว่างสองอาณาจักรไปยังอาณาจักรเกาหวัง เพื่ออาสารบกับกษัตริย์เกาหวางกระนั้น การเดินทางข้ามทะเลาสาบนับเป็นภารกิจที่ยากลำบากแสนสาหัสต้องใช้เวลาเดินทางถึง 7 วัน 7 คืน หากเป็นมนุษย์จะสามารถอดทนต่อความหิวโหยได้เพียงแค่วันเดียวเท่านั้นทว่าเปี้ยนฮู่งเป็นเทพสุนัขมังกรจึงสามารถอดทนได้ถึงเจ็ดวันเมื่อเข้าสู่วันที่เจ็ด ในขณะที่เปี้ยนฮู่งกำลังเดินทางอยู่บนผิวน้ำก็รู้สึกหิวและอ่อนแรงมาก จึงสื่อกระแสจิตถึงเง็กเซียนฮ่องเต้ เง็กเซียนฮ่องเต้จึงทราบว่า เปี้ยนฮู่งกำลังประสบเคราะห์ร้ายจึงต้องติดอยู่กลางทะเลสาบถึง 7 วัน 7 คืนพระองค์จึงทรงประทานยาลงมาใส่ในปากของเปี้ยนฮู่งให้กลับมามีพละกำลังวังชาขึ้นมา จนสามารถข้ามทะเลสาบมายังอาณาจักรเกาหวางได้
ฝ่ายเกาหวางก็มีความยินดียิ่ง เพราะหลงเข้าใจผิดว่า การที่เทพสุนัขมังกรมาเยือนอาณาจักรถือเป็นความโชคดีของฝ่ายเกาหวางที่จะได้ยึดครองอาณาจักรของผิงหวางเมื่อพบว่า เทพสุนัขมังกรคอยช่วยติดตามคุ้มครองกษัตริย์เกาหวางตลอดเวลาฝ่ายเกาหวางจึงให้ความไว้วางใจให้เทพสุนัขมังกรอยู่เคียงกายกษัตริย์เกาหวางได้ตลอดเวลา โดยไม่จำเป็นต้องส่งองค์รักษ์มาคุ้มครองพระองค์ จนกระทั่งคืนหนึ่ง กษัตริย์เกาหวางทรงเสด็จไปดื่มเหล้ากับนางสนม จึงเสด็จย้ายไปมาหลายห้อง จนพระองค์ทรงเมาไม่ได้สติและล้มลง เมื่อเทพสุนัขมังกรเห็นเช่นนั้น จึงพุ่งเข้าไปกัดพระศอจนสิ้นพระชนม์ และคาบพระเศียรกลับมาถวายให้แก่กษัตริย์ผิงหวางกษัตริย์ผิงหวางจึงเป็นฝ่ายชนะ และจำใจต้องยกธิดาให้อภิเษกกับเทพสุนัขมังกร รวมถึงแบ่งดินแดนในเมืองให้ปกครองทว่าในช่วงแรก กษัตริย์ผิงหวางทรงเปลี่ยนพระทัยไม่ต้องการยกธิดาองค์ที่สาม ซึ่งเป็นธิดาองค์ที่งดงามและฉลาดที่สุดให้แต่งงานกับเปี้ยนฮู่งที่เป็นเพียงกึ่งสัตว์เดรัจฉานกึ่งเทพพระองค์จึงจะยกธิดาองค์แรกที่ไม่งดงามเท่าใดนักให้แต่งงานกับเปี้ยนฮู่งแทน แต่กระนั้นก็แสร้งตรัสให้เปี้ยนฮู่งไปเลือกได้อย่างอิสระว่าต้องการแต่งงานกับธิดาองค์ใด เมื่อเปี้ยนฮู่งเดินไปสังเกตจำได้ว่า ธิดาองค์ที่สามมีปานอยู่ที่เท้า จึงไปยืนหยุดอยู่ตรงหน้าธิดาองค์ที่สาม กษัตริย์ผิงหวางจึงจำใจยกธิดาองค์นี้ให้แต่งงานด้วยหลังจากแต่งงานกับธิดากษัตริย์ เปี้ยนฮู่งก็มีสถานะเป็นราชบุตรเขยและยังคงอาศัยอยู่ในอาณาจักรแต่ธิดากษัตริย์ทรงอับอายที่ต้องแต่งงานกับเทพสุนัขมังกร จนไม่สามารถออกไปพบปะสังสรรค์กับผู้ใด กษัตริย์ผิงหวางทรงเห็นพระทัยธิดาองค์โปรดเป็นอย่างยิ่ง จึงได้ส่งธิดากับเปี้ยนฮู่งไปตั้งเมืองใหม่ชื่อว่า “เซียนจาต้ง” ซึ่งอยู่บนภูเขาหุ้ยจิงซานพร้อมทั้งย้ายประชาชนที่เป็นชนกลุ่มน้อย 13 เผ่า ที่อาศัยอยู่ในอาณาจักรของพระองค์ไปอาศัยอยู่ที่เมืองใหม่นี้ โดยรวมชนเผ่าต่าง ๆ ให้กลายเป็นชนเผ่าอิ้วเมี่ยนชนเผ่าเดียวอีกทั้งพระราชทานขุนนางบางส่วนติดตามไปช่วยดูแลกิจการบ้านเมืองด้วย
เปี้ยนฮู่งจึงนับเป็นกษัตริย์ของชาวอิ้วเมี่ยนพระองค์แรกที่ปกครองเมืองนี้จนกระทั่ง 25 ปีต่อมาธิดากษัตริย์ได้ให้กำเนิดบุตรธิดาที่เกิดมาเป็นมนุษย์รวมทั้งสิ้น 12 คน โดยแบ่งเป็นชาย 6 คน หญิง 6 คนพวกเขาจึงถือเป็นต้นกำเนิดของชาวอิ้วเมี่ยนที่ปกครองชนกลุ่มอื่น ๆ ที่ถูกย้ายมาอยู่ในเมืองใหม่นี้ก่อนหน้านั้น กษัตริย์ผิงหวางเคยตรัสว่า หากธิดาให้กำเนิดบุตรซึ่งมีรูปร่างเป็นมนุษย์ครบสมบูรณ์ก็ขอให้อุ้มบุตรกลับมาให้พระองค์ตั้งชื่อและแซ่ให้เมื่อกษัตริย์ทรงพบว่า ธิดาให้กำเนิดบุตรเป็นมนุษย์ปกติก็ทรงดีพระทัยและทรงตั้งชื่อและแซ่ทั้ง 12 แซ่ให้กับบุตรและธิดาของเปี้ยนฮู่งทุกคน ซึ่งกลายเป็นต้นกำเนิดแซ่ของชาวอิ้วเมี่ยนทั้ง 12 แซ่ในเวลาต่อมาโดยบุตรชายคนแรกจะใช้แซ่ “พ่าน” เช่นเดียวกับเปี้ยนฮู่งพร้อมทั้งทรงแต่งตั้งให้บุตรของเปี้ยนฮู่งมีสถานะเป็นอ๋องผิงหวาง หรือหลานของกษัตริย์ผิงหวางโดยครอบครัวของเปี้ยนฮู่งมีสถานะเป็นผู้ปกครองอาณาจักรอิ้วเมี่ยน ประชาชนทำไร่และผลิตอาหารส่งให้กับครอบครัวกษัตริย์ โดยที่ลูกหลานกษัตริย์ไม่ต้องทำงาน ชาวอิ้วเมี่ยนมีภาษาพูดและภาษาเขียนของตนเองนับตั้งแต่เริ่มก่อตั้งชุมชนภาษาอิ้วเมี่ยนเป็นภาษาจีนโบราณแต่สำเนียงมีการเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลาและตามถิ่นอาศัยที่ชาวอิ้วเมี่ยนย้ายไปอาศัยอยู่)
ในสมัยที่ชาวอิ้วเมี่ยนตั้งชุมชนที่ภูเขาหุ้ยจิงซาน จักรพรรดิจีนทรงเขียนหนังสืออนุญาตออกเป็นหนังสือเดินทางที่มีชื่อในภาษาเมี่ยนว่า “เจี่ยเซียนป๊อง” ( “เจี่ยเซียน” แปลว่า “ข้ามเขา” ภาษาจีนเรียกว่า “กั้วซาน” ที่แปลว่า “ข้ามเขา” เช่นกัน) เพื่ออนุญาตให้ชาวอิ้วเมี่ยนสามารถโยกย้ายถิ่นฐานได้อย่างอิสระตามแหล่งทำกินในป่าเขาได้ เมื่อทำกินในป่าเขาหมดแล้วจึงสามารถย้ายไปหาพื้นที่อื่นได้ ชาวอิ้วเมี่ยนยังสามารถละเว้นจากการถูกเก็บภาษี และการเกณฑ์แรงงาน/ทหารเนื่องด้วยสถานะที่พิเศษของชาวอิ้วเมี่ยนที่สืบเชื้อสายมาจากหลานของกษัตริย์ผิงหวาง อีกทั้งเป็นกลุ่มที่เพิ่งตั้งตัว จึงยังคงมีจำนวนประชากรไม่มากนักเมื่อชาวอิ้วเมี่ยนเคลื่อนย้ายไปที่กวางสีก็นำหนังสือเดินทางไปแสดงกับเจ้าเมือง เพื่อเป็นหลักฐานในการขอใช้สิทธิ์ละเว้นการถูกเก็บเสียภาษีหรือเกณฑ์ทหาร/แรงงาน จนกระทั่งอพยพจากจีนตอนใต้มายังลุ่มแม่น้ำโขงก็ยังคงเก็บรักษาหนังสือเดินทางฉบับนี้และมีการจารึกเรื่องราวการอพยพของชาวอิ้วเมี่ยนในแต่ละรุ่นเพิ่มเติมด้วย
นิทาน
นิทานพื้นบ้านอิ้วเมี่ยน สามารถจำแนกตามสาระเนื้อเรื่องของนิทานได้ 5 ประเภท (เครือข่ายวัฒนธรรมอิ้วเมี่ยน, 2545, หน้า 90 - 91)ดังต่อไปนี้
1) ประเภทนิทานสุภาษิต (Fable) นิทานประเภทนี้มีเนื้อเรื่องที่มุ่งสอนถึงผลของการประพฤติดี ประพฤติชั่ว เช่น ความอดทน ความยึดมั่นในจารีตประเพณี ความกตัญญู ความฉลาด ความเพียร ฯลฯเช่น เรื่อง “เฝยเจี๊ยะวุ่ยเวิ่น” เป็นเรื่องธิดาคนที่ 4 ของหยุดต่ายฮู่ง ผู้มีอำนาจสูงสุดในจักรวาล ลงมาแต่งงานกับมนุษย์เพื่อช่วยเหลือคนที่ประพฤติดี หรือ เรื่อง “เป่อกาย” เป็นลูกสะใภ้ที่แสดงความกตัญญูต่อพ่อผัวแม่ผัวตามจารีตประเพณี จนได้รับความดีตอบแทน ฯลฯ
2) ประเภทนิทานนิเทศ (Legend) เนื้อเรื่องของนิทานประเภทนี้มุ่งตอบปัญหาหรือชี้แจงถึงสาเหตุที่มาของเรื่องราวต่าง ๆ เช่น เรื่องซานหล่อก่อ หรือเจี๋ยบยุ้งซุ้ยอิ๋ม เป็นนิทานที่แสดงกำเนิดของมนุษย์บนดอยและบนพื้นราบ
3) ประเภทนิทานนิยาย (Fairly Tales) เป็นนิทานที่มีเนื้อเรื่องเกี่ยวกับเทวดา นางฟ้าบนสวรรค์ หรือเทพมนุษย์ เช่น เรื่อง อู่กง ชี้กง เป็นเรื่องของเทวดาที่ตัดหัวให้น้ำบนโลกมนุษย์ หรือเรื่อง เสี่ย ซู่ง จุ้ย เป็นเรื่องของยักษ์เจ็ดปากกินคน ฯลฯ
4) ประเภทนิทานตำนาน หรือนิยายปรัมปรา (Myth) เป็นนิทานเหลือเชื่อที่แสดงถึงตำนานของการเกิดสิ่งต่าง ๆ เช่น ตำนานการเกิดโลกมนุษย์ หรือนิทานตำนานการเกิดเผ่าพันธุ์ของเอิ้วมี่ยน ในเรื่อง เกีย เซียน ป๊อก หรือตำนานน้ำท่วมโลก
5) ประเภทนิทานตลกขบขัน (Jest) อิ้วเมี่ยนมีนิทานตลกขบขันหลายเรื่อง ทั้งในแง่ของการแสดงไหวพริบที่หักมุมของตัวละครการมีเพศสัมพันธ์ระหว่างชายกับหญิง หรือในแง่ที่ตัวละครมีความสามารถเหนือมนุษย์ธรรมดา ดังจะเห็นได้จากนิทานตลก เรื่อง แก้ง ซ่ำ โจ้ เป็นเรื่องของผู้หญิงที่ออกลูกเป็นแก่ง ซ่ำ โจ้ แต่กลางคืนแปลงกายเป็นชายหนุ่มไปเที่ยวสาว และมีความสามารถผิดมนุษย์ธรรมดาสามัญ
ตัวอย่างนิทานพื้นบ้านของอิ้วเมี่ยน (เครือข่ายวัฒนธรรมอิ้วเมี่ยน,2545, หน้า 91 - 93)ได้แก่
นิทานท้องถิ่น เรื่อง “ยักษ์”
มีครอบครัวหนึ่งถูกยักษ์ฆ่ากินจนเกือบหมด เหลือเพียงยายคนหนึ่งที่แก่มาก ยักษ์ตนนี้ไม่กินยาย เพราะต้องการมานอนด้วย ยักษ์ตนนี้จะมาก็ต่อเมื่อตกกลางคืนเท่านั้นเป็นประจำทุกคืนพอรุ่งเช้าก็ออกไปหากินตามปกติ ยายก็ออกมาทำไร่ตามปกติด้วยน้ำตานองหน้าและพร่ำบ่นให้ดินฟ้าช่วย วันหนึ่งใบไม้ไผ่รู้สึกสงสารนาง จึงถามว่า เป็นอะไรถึงได้ร้องไห้ทุกวันและขอให้ดินฟ้าช่วยนั้นเรื่องอะไรยายคนนี้จึงเล่าถึงความอัดอั้นตันใจให้ฟังใบไม้ไผ่จึงบอกให้ยายกลับไปถึงบ้านและรีบทำงานบ้านให้เสร็จและเข้านอนแต่หัวค่ำและให้เอาบันไดออกด้วยนอกจากนั้นใบไม้ไผ่จะช่วยพอยายได้ยินเช่นนั้นจึงกลับไปบ้านและทำตามใบไม้ไผ่สั่งทุกอย่าง
พอตกกลางคืน ยักษ์ก็มาถึง และตะโกนให้เปิดประตู แต่ก็ใม่มีใครเปิด จนยักษ์โมโหจึงตะโกนว่าจะพังเข้าแล้วนะ แม้ว่าข่มขู่อย่างไรก็ไม่มีใครมาเปิด ยักษ์จึงจะพังประตูหมายเข้าไปกินแต่พอเข้าไปก็ไม่เห็นมีใครอยู่ จึงเข้าไปควานหาที่นอน จนควานเจองูกัดที่มือแต่ยักษ์ไม่รู้ว่าเป็นงูจึงคิดจะจุดไฟเพื่อเอามาส่องดูว่าตัวอะไรกัดตนกันแน่พอไปถึงเตาไฟไส้เดือนก็ดิ้นขี้เถ้าเลยเข้าตาของยักษ์ยักษ์มองไม่เห็นจึงโมโห เลยจะไปตักน้ำมาล้างตาและดับไฟให้หมด พอไปถึงโอ่งน้ำจะตักน้ำก็โดนปูหนีบมือ ยักษ์โมโหมากว่า เมื่อตนเดินไปถึงตรงไหนก็มีอันต้องเจ็บตัวทั้งนั้นจึงคิดได้ว่าประเพณีอิ้วเมี่ยนนั้นเวลาทำพิธีจะมีน้ำวางอยู่บนโต๊ะด้วย จึงเดินไปหา พอไปถึงโต๊ะก็เจอหมีตบจนเซถลาไปเหยียบถูกใบไม้ไผ่ใบไม้ไผ่จึงดึงขาของยักษ์ให้ล้มลงเมื่อยักษ์ล้มลงจึงโดนเสือกัดจนตาย แต่ก็ตะโกนถามยายว่า จะให้ทำยักษ์แหลกละเอียดหรือทำหยาบยายจึงตะโกนกลับมาว่า ให้ทำแหลกเลยเสือกับหมีจึงช่วยกันกัดกินยักษ์จนหมดยายคนนี้จึงลงจากบ้านมาเพื่อขอบคุณใบไม้ไผ่ แล้วทั้งหมดก็หายไป ตั้งแต่นั้นมายายคนนี้จึงใช้ชีวิตอย่างสงบสุข โดยไม่มีใครมารบกวนอีก
นิทานปรัมปรา เรื่อง “ฟ่ามแป๊ะแอ้งต้อย”
มีนักเรียนสองคนซึ่งเป็นเพื่อนที่รักกัน คนหนึ่งชื่อ ฟ่ามแป๊ะ และอีกคนหนึ่งขื่อ แอ้งต้อยทั้งสองคนเรียนหนังสือที่เดียวกัน คบหากันด้วยความสนิทสนมแอ้งต้อยเป็นหญิงที่ปลอมตัวเป็นชาย แต่ฟ่ามแป๊ะไม่รู้ว่าเพื่อนของตนเป็นผู้หญิง แม้ว่าเพื่อนร่วมห้องบอกก็ไม่เชื่ออยู่ดีเมื่อถูกเพื่อน ๆ รบเร้ามากเข้า จึงอยากจะพิสูจน์ว่า เพื่อนของตนเป็นผู้หญิงหรือไม่ จึงบอกให้แอ้งต้อยลองฉี่ดูว่า ใครฉี่ได้ไกลกว่ากันแอ้งต้อยยอมให้เพื่อนของตนพิสูจน์เพราะตนนั้นหลงรักฟ่ามแป๊ะจึงนำไส้ปากกาซึ่งมีรูแล้วฉี่ใส่ ปรากฏว่า แอ้งต้อยปัสสาวะได้ไกลกว่าฟ่ามแป๊ะเสียอีกแต่ฟ่ามแป๊ะยังไม่เชื่อจึงขอให้พิสูจน์อีกว่า เพื่อนตนนั้นเป็นชายแท้ตามธรรมชาติแล้วหากหญิงนอนบนใบบอน ใบบอนจะเหี่ยวเร็วกว่าดังนั้น ฟ่ามแป๊ะจึงขอให้แอ้งต้อยลงนอนบนใบบอนบ้างแต่แอ้งต้อยรู้อยู่ก่อนแล้วจึงเตรียมใบบอนไว้หลายใบ จึงเปลี่ยนบ่อย ๆ แล้วฟ่ามแป๊ะมาดูอีกครั้ง พบว่า ใบบอนยังไม่เหี่ยวเลย จึงทำให้ฟ่ามแป๊ะเชื่อสนิทใจแล้วว่า เพื่อนของตนต้องเป็นชาย
เมื่อเรียนจบแล้วต่างคนต่างก็กลับบ้านของตนฟ่ามแป๊ะไปส่งแอ้งต้อยกลับบ้านในสมัยนั้น ต้องเดินทางไกลจึงจะถึงบ้านในระหว่างทางนั้น แอ้งต้อยได้พูดคำเปรียบเทียบเมื่อพบนกคู่หนึ่งก็พูดว่า “ฟ่ามแป๊ะ เรานี้เปรียบก็คล้ายนกคู่นั้นนะ”แต่ว่าฟ่ามแป๊ะไม่เข้าใจเลย ไม่ว่าแอ้งต้อยจะพูดคำอ้อมค้อมเปรียบเทียบอย่างไรก็ตามเมื่อส่งถึงบ้านของเพื่อนแล้วก็เดินทางกลับบ้านของตนเองและทำมาหากินตามประสาคนสมัยนั้นเมื่อนานเข้าฟ่ามแป๊ะอยากจะไปเยี่ยมเพื่อนของตนเพราะคิดถึงเพื่อน ก็เดินทางไปหาเพื่อนเมื่อไปถึงบ้านเพื่อนก็ไม่พบเพื่อนเพราะพบแต่หญิงสาวสวยคนหนึ่งเท่านั้น จึงถามว่า เพื่อนคนที่ชื่อแอ้งต้อยนั้นไปไหนเสียแล้วหญิงสาวคนนั้นจึงบอกว่า ตนนี้แหละเป็นแอ้งต้อยแต่ฟ่ามแป๊ะไม่เชื่อคำพูดของหญิงสาวดังนั้น หญิงสาวจึงนำตำราเรียนที่เรียนในสมัยก่อนมาให้ดูฟ่ามแป๊ะจึงเชื่อเพราะจำลายมือของแอ้งต้อยได้ จึงเกิดหลงรักแอ้งต้อยขึ้นมาทันที จึงเอ่นปากบอกความในใจให้แอ้งต้อยรู้แต่สายไปแล้วเพราะพ่อแม่ของแอ้งต้อยนั้นได้รับหมั้นกับชายคนอื่นให้แอ้งต้อยและกำลังจะแต่งงานกันแล้ว ทำให้ฟ่ามแป๊ะเกิดความเสียใจมากจึงขอลากลับทันทีแต่ก่อนกลับนั้น แอ้งต้อยได้เขียนจดหมายบอกความจริงว่า ก่อนนั้นตนรักและได้พูดคำเปรียบเทียบแต่ฟ่ามแป๊ะไม่ยอมเข้าใจเลย
เมื่อไปถึงบ้านฟ่ามแป๊ะจึงกลืนจดหมายฉบับนั้นลงคอและสำลักตายด้วยความตรอมใจแล้ว ญาตินำศพของฟ่ามแป๊ะไปฝังไว้ทางที่ขบวนของเจ้าสาวจะผ่านเมื่อพิธีแต่งงานเสร็จสิ้นลงถึงเวลาที่จะส่งตัวเจ้าสาวไปบ้านเจ้าบ่าวนั้นแอ้งต้อยได้ขอไปเยี่ยมศพของฟ่ามแป๊ะ และแอ้งต้อยนั้นได้กล่าวต่อที่ฝังศพนั้นว่า ฟ่ามแป๊ะหากว่าเรามีบุญวาสนาต่อกันแล้ว ขอให้จงเปิดโลงศพให้เข้าไปด้วยคน เป็นจริงดังที่แอ้งต้อยกล่าว นางจึงโดดหายไปในหลุมศพนั้นพอฝ่ายเจ้าบ่าวรอนานจึงไปตามดูและไม่พบเจ้าสาวของตน จึงนำเสียมมาขุดหลุมก็ไม่พบอะไร เห็นแต่ผีเสื้อคู่เดียวที่บินขึ้นบนท้องฟ้าไป
3) สุภาษิต คำสอน คำพังเพย
เครือข่ายวัฒนธรรมอิ้วเมี่ยน (2545, หน้า 99 - 101) ได้ประมวลสุภาษิต คำสอน คำพังเพยที่สำคัญของชาวอิ้วเมี่ยน ดังต่อไปนี้
สุภาษิต
1) บทกวีต้องแต่งให้ผู้ที่ซึ้งในบทกวีฟัง
2) ตัวหนังสือหนึ่งตัว มีค่าราวกับทองคำ
3) ความเมตตาธรรมและสัจจะมีค่าหนึ่งราวทองคำ
4) ผลสำเร็จของชีวิตอยู่ที่ความขยันหมั่นเพียร
5) ในป่ามีต้นไม้ขึ้นเหยียดตรง แต่โลกนี้ไร้คนซื่อตรงจริง
6) เลี้ยงลูกชายไม่อบรมสั่งสอน สู้เลี้ยงลาดีกว่า
7)เลี้ยงลูกสาวไม่อบรมสั่งสอน สู้เลี้ยงหมูไม่ได้
8)ความดีทำยาก เพราะกำลังไม่พอ
9)ความชั่วทำง่ายแถมยังมีกำลังเหลือเฟือ
10) น้ำใสสะอาดเกินไปย่อมไม่มีปลาอยู่อาศัย
11) คนที่เคร่งครัดเกินไปกลับไร้ปัญญา
12) เมื่อโชคชะตาลิขิตอะไรไว้ก็จะเป็นอย่างนั้นแน่นอน
13) บุญคุณดุจน้ำทิพย์ที่ไหลหลั่งจากฟากฟ้า
14) เคียดแค้นคนเป็นได้ แต่อย่าเคียดแค้นคนตาย
15) ผมขาวมักงอกไปตามวัยของคนอย่างไม่รู้ตัว
16) เทพเจ้าศักดิ์สิทธิ์จึงมีคนมากราบไหว้
17.) มีลูกกตัญญูพ่อแม่หมดทุกข์ไร้กังวล
18) สายตาของสวรรค์นั้นกว้างขวาง
19.) มีลูกจนไม่นานไม่มีลูกรวยไม่นาน
20) น้ำใสเพราะดินมากั้นคุ้มเอาไว้
21) คนหนึ่งเล่าเรื่องเท็จร้อยคนเล่าเรื่องเท็จก็กลายเป็นจริง
22) พบสิ่งดีพบช้าพบสิ่งเลวร้ายราวถูกน้ำแกงลวก
คำสอน
1) เพื่อให้รู้แจ้งเห็นแจ้งมองปัจจุบันต้องมองอดีต
2) ไม่มีอดีตก็ไม่มีปัจจุบัน
3) คนโง่ยอมคนไม่เป็น
4) ชีวิตทุกคนขึ้นอยู่กับดวง ไม่ได้ขึ้นอยู่กับคนแม้แต่น้อย
5) ความรู้สึกของคนที่มีต่อกันเปราะบางดังกระดาษ
6) เมื่อกระหายน้ำ น้ำเพียงหยดเดียวก็ทำให้กระชุ่มกระชวยได้
7) มีไร่นา แต่ไม่ทำนา ยุ้งข้าวก็ว่างเปล่า
8) หากเข้าใจอดีตและปัจจุบันไม่ถ่องแท้ เหมือนม้าวัวที่ไร้กำลัง
9) อยู่บ้านเชื่อฟังบิดา แต่งงานเชื่อฟังสามี
10) คนโง่กลัวภรรยา กุลสตรีเคารพสามี
11) ถ้าให้ทำดี ทำได้ไม่เต็มที่ ก็ขออย่าทำชั่วจนเกินไป
12) แม้นยากจนยังรู้สึกเป็นอิสระ
13) บุญคุณพ่อแม่ที่มีต่อเรา ในที่สุดก็มิได้เฝ้าตอบแทน
14) ถ้ารู้จักพอก็จะเพียงพอตลอดไป
15) การยอมคนถือเป็นความหลักแหลม
16) ครอบครัวที่ร่ำรวย ลูกหลานทนลำบากไม่ได้
17) พ่อลูกรักใคร่กัน ทรัพย์สินในครอบครัวไม่หดหาย
18) ถึงเวลาอดทนต้องอดทน ถึงเวลาอดกลั้นต้องอดกลั้น
19) ผู้ชายมากมายบาดเจ็บเพราะเหล้า
คำพังเพย
1)การจะรู้เขารู้เราก็ต้องเอาใจเขามาใส่ใจเรา
2)เมื่อเจอคนรู้ใจ จึงมีการดื่มเหล้าเกิดขึ้น
3)เพื่อนมีอยู่มากมาย แต่เพื่อนที่รู้ใจมีไม่มาก
4)อยู่บ้านต้อนรับแขกไม่เป็น ออกนอกบ้านถึงรู้ว่าไร้คนอุปถัมภ์
5)ไม่มีใครไม่ถูกนินทาลับหลังและไม่มีใครไม่นินทาคนอื่น
6)มีเงินพูดอะไรก็เป็นจริง ไม่มีเงินพูดอะไรก็ไร้น้ำหนัก
7)ในป่าย่อมมีต้นไม้พันปี แต่โลกของเราน้อยนักจักพบคนอายุร้อยปี
8)ฝนมีดกลัวมีดไม่คม แต่เมื่อมีดคมแล้วกลัวบาดมือ
9)ตอนเด็กเป็นพี่น้องกัน โตเป็นผู้ใหญ่กลายเป็นคนละครอบครัว
10) เรื่องดีปิดเงียบไม่ถูกเผยแพร่ เรื่องร้ายถูกเล่าลือไปทั่วทิศ
11) วันนี้มีเหล้า วันนี้เมา พรุ่งนี้มีทุกข์ พรุ่งนี้ค่อยกลัดกลุ้ม
12) ดอกโบตั๋นงดงามมีไว้ให้คนเชยชมเท่านั้น
13) คนเราเหมือนนกร่วมป่าเดียวกัน เมื่ออันตรายมาถึงต่างคนต่างบิน
14) แม่น้ำเหลืองยังมีวันใสสะอาด ทำไมคนเราจะมีโชคดีไม่ได้
15) คนตายเพราะทรัพย์สิน นกตายเพราะอาหาร
16) เย็บปักดอกไม้ แม้นสวยงาม แต่ไร้กลิ่นหอม
17) ชาติหนึ่งผ่านไปเร็วราวกับม้ากระโดดข้ามช่องว่าง
18) คนเราซุบซิบนินทากัน สวรรค์ได้ยินราวเสียงฟ้าผ่า
19) มีแต่จับผิดจุดด้อยผู้อื่น ทำไมไม่สำรวจจุดด้อยของตัวเองบ้าง
20) มีดคมบาดแผลติดสนิทง่าย คำด่าทำคนเจ็บใจ ความแค้นไม่มีวันคลาย