มิติประวัติศาสตร์ของกลุ่มชาติพันธุ์ :
อูรักลาโวยจ เป็นหนึ่งในกลุ่มที่ถูกเรียกโดยรวมว่า “ชาวเล” ดังนั้นเอกสารหลายชุดจึงเรียกโดยรวมโดยที่ไม่ได้จำแนกกลุ่มย่อยเพื่อเข้าใจมิติของชาวอูรักลาโวยจ จึงมีความจำเป็นต้องทำความเข้าใจชาวเลโดยภาพรวมไปพร้อมกัน
ชาวเลเป็นชนพื้นเมืองดั้งเดิมกลุ่มหนึ่งของมลายูที่ยังเหลืออยู่ ชนพวกนี้อพยพเข้ามาอยู่ในแหลมมลายูสมัยดึกดำบรรพ์ ก่อนที่ชาวมลายูจะเข้ามาอาศัยอยู่ (ราชบัณฑิตสถาน, 2513, 6225-6226 ; อ้างถึงใน จรัสง๊ะสมัน, 2534, 11) ชาวมลายูเรียกว่า “โอรังละอุต” (Orang- Laut) แปลว่าคนทะเล (โอรัง-คน,ละอุต-ทะเล) เชื่อว่า ชาวเลเข้าไปอาศัยอยู่พร้อมกับชนกลุ่มหนึ่ง คือ โอรัง บูกิต (Orang-Bukit) แปลว่า คนภูเขา (โอรัง-คน, บูกิต-ภูเขา) ชาวพม่าเรียกชาวเลว่า “ฉลาง” ไทยเพี้ยนมาเป็นถลาง ชาวอังกฤษเรียกชาวเลว่า Sea Gypsy แปลว่า ยิปซีทะเล สันนิษฐานว่า สมัยที่อังกฤษเข้ามาค้าขายและแสวงหาอาณานิคมในดินแดนแถบเอเซียอาคเนย์นี้ เห็นชาวเลอพยพเร่ร่อนอยู่ในทะเลอาศัยอยู่ตามเกาะจึงเรียกว่า “Sea Gypsy” บางที่เรียกทับศัพท์ว่า “Chaonam”(ชาวน้ำ ซึ่งพวกเขาไม่ชอบให้เรียก)
ประวัติความเป็นมาของชาวเล จำแนกออกเป็น 2 แนวทางดังนี้
แนวทางที่หนึ่ง เชื่อว่า ชาวเลอพยพจากทะเลทางใต้ขึ้นมายังฝั่งอันดามันทางใต้ของไทย ปรากฎผ่านงานศึกษาของประทีป ชุมพล (2524, 25-27 ; อ้างถึงใน พิมพิไล ตั้งเมธากุล, 2529, 18) ที่มีความเห็นว่า ชาวเลเป็นเผ่าพันธุ์ซึ่งมีถิ่นฐานอยู่แถบหมู่เกาะทะเลใต้ของมหาสมุทรแปซิฟิก หรือหมู่เกาะ เมลานีเซีย (เกาะของคนผิวดำ) ต่อมาได้ย้ายถิ่นฐานกระจายไปหมู่เกาะทะเลใต้ พวกนี้มีรูปร่างลักษณะตัวค่อนข้างเล็ก ผิวดำ ตาดำ ผมหยิกหยอยเป็นกระจุก มีภาษาและวัฒนธรรมเป็นของตนเอง แต่ปัจจุบันมักจะถูกกลืนจากประเทศที่ตนอยู่อาศัย งานศึกษาของเจน จรจัด (2530 : 136) กล่าวถึง บรรพบุรุษของชาวเล เป็นชาวอินโดนีเซีซียน ที่อพยพจากแผ่นดินสู่ทะเลแถบเกาะบอเนียว นับเป็นการอพยพจากแผ่นดินไปสู่ทะเลและเริ่มต้นวิถีชีวิตแบบชาวเกาะที่นี่ เกิดเผ่าพันธ์ดยัค (Dyak) ดยัค กลุ่มหนึ่งปักหลักบนฝั่งจนกลายเป็นบรรพบุรุษของคนพื้นเมืองของแห่งเกาะบอเนียว แต่ดยัคอีกกลุ่มหนึ่ง เรียกว่า “ดยัคทะเล” (Sea Dyak) เป็นกลุ่มที่ใช้ชีวิตเร่ร่อนทำมาหากินอยู่ในท้องทะเล มีการอพยพเคลื่อนย้ายตามแนวหมู่เกาะเรื่อยมาจนถึงแหลมมลายู บางกลุ่มขึ้นฝั่งที่แหลมมลายูกลายเป็นบรรพบุรุษดั้งเดิมของชาวมลายู แต่ยังมีบางพวกที่ไม่ได้หยุดยั้งการเดินทางแสวงหา พวกเขาแล่นเรือร่อนเร่มาทางช่องแคบมะละกาออกสู่บริเวณทะเลอันดามันตามแนวหมู่เกาะฝั่งตะวันตกของไทย และเคลื่อนย้ายขึ้นไปทางหมู่เกาะตอนใต้ของสหภาพพม่า ชนเผ่าผู้ท่องทะเลเหล่านี้ได้แบ่งออกเป็นกลุ่มย่อย และยังคงสืบทอดการดำรงชีวิตแบบเคลื่อนย้ายท่ามกลางหมู่เกาะชายฝั่งทะเลอันดามันต่อมาจึงได้ฉายานามใหม่ว่า “ยิปซีทะเล” (Sea Gypsy) ในช่วงเวลาต่อมาพวกเขาได้ปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตในการตั้งถิ่นฐานถาวร บริเวณหมู่เกาะลันตา ในขณะที่ชาวมอเกล็น (Moklen) และชาวมอเก็น (Moken) ได้เดินทางสู่หมู่เกาะทางตอนใต้ของประเทศสหภาพพม่าและกลายเป็นพลเมืองชาวเกาะกลุ่มแรกบนหมู่เกาะภาคใต้ฝั่งตะวันตกของประเทศไทย
แนวทางที่สอง เชื่อว่า ชาวเล เป็นกลุ่มคนที่อพยพจากเหนือลงใต้ ปรากฎผ่านงานศึกษาของ อุทัย หิรัญโต (2526, 47-50 ; อ้างถึงใน พิมพิไล ตั้งเมธากุล, 2529, 16) ที่ระบุว่า เดิมชาวเลอาศัยอยู่ตามลุ่มแม่น้ำแยงซีเกียงในประเทศจีน ต่อมาได้อพยพหนีภัยลงมาทางใต้โดยอาศัยลำแม่โขง ล่องเรือตามยถากรรมบนเส้นทางในแหลมอินโดจีน วิถีการดำรงชีพส่วนใหญ่จึงอาศัยเรือเร่ร่อนไปตามเกาะต่างๆ ข้ามพรมแดนไปถึงพม่าและมลายู
ในด้านบทเพลงที่ใช้ในการประกอบพิธีกรรม โดยเฉพาะในพิธีลอยเรือ ส่วนหนึ่งจะมีเนื้อร้องที่สัมพันธ์กับตำนานความเชื่อและภูมิหลังทางประวัติศาสตร์ ดังเช่น เพลงปูกุยฆึนัง (เป่าขลุ่ย) ที่กล่าวถึง การเดินเรือไปยังปริส เพลง ติมา ติมา (วิดน้ำเรือ) กล่าวถึง การเดินทางไปยังรัฐกลันตัน บ่งบอกว่าในอดีตพวกเขามีความสัมพันธ์กับรัฐทั้งสอง ปัจจุบันตั้งอยู่ในสหพันธรัฐมาเลเซียทางตอนใต้ของไทยและมีอาณาเขตติดต่อกับรัฐไทรบุรี (เคดาห์) อันเป็นที่ตั้งของเทือกเขาฆูนุงฌึรัย ซึ่งเชื่อกันว่าเป็นถิ่นฐานเดิมของพวกเขา ก่อนอพยพเข้าสู่น่านน้ำไทยและเป็นจุดหมายปลายทางที่เรือปลาจั๊ก (ลาจัง) จะต้องนำวิญญาณบรรพบุรุษ โรคภัยไข้เจ็บและวิญญาณสัตว์ที่เคยฆ่ากินเป็นอาหาร บรรทุกเรือกลับไปยังถิ่นฐานเดิม ดังที่ระบุไว้ในบทเพลงลาจัง ที่ว่า
“ลาจัง มวด บารัง นะปี ฆูนุงฌึรัย (ลาจังบรรทุกของจะไปภูเขาฆูนุงฌึรัย)
ปริฆี บาวา ซาเก็ต ดีรัม บาวา ปี (ให้พาความเจ็บความไข้ไปด้วย)
มีตะ ซึมาอัส บาด ดูลู (ขอโทษความผิดที่ทำไป)
มีตะดูโด๊ะ ซินัง ซินัง (ขอให้อยู่เย็นเป็นสุข)
ลาติ ปราฮูกะลูวัก ปาฆี(เมื่อเรือลอยออกไป)
จูจู อานะ ดูโด๊ะ ซินัง (ขอให้ลูกหลานอยู่เย็นเป็นสุข)”
ในเนื้อเพลงบางสำนวนยังกล่าวถึงเส้นทางการเดินทาง ตั้งแต่ลันตาจนถึงฆูนุงฌึรัย (อาภรณ์ อุกฤษณ์, 2532) อย่างน้อยที่สุด บทเพลงลาจัง สามารถบ่งบอกว่า ในอดีตอย่างน้อยประมาณ 500 ปีที่ผ่านมาชาวเลอูรักลาโวยจน่าจะมีถิ่นฐานเร่ร่อนอยู่บริเวณน่านน้ำแถบเทือกเขาฆูนุงฌึรัย ตามคำบอกเล่าของพวกเขา
ยุคโบราณมีร่องรอยคนพื้นเมือง “ชาวโอรังลอนตา” ชนเผ่าเร่ร่อนทางทะเลแถบชายฝั่งอันดามัน เป็นกลุ่มแรกที่เข้ามาพักพิงในหมู่เกาะลันตาและเกาะจำมานานแล้ว ต่อมา ประมาณ 600-500 ปีที่ผ่านมา “ชาวโอรังลาอุ๊ต” อีกกลุ่มหนึ่ง ซึ่งมีถิ่นฐานเดิมอยู่แถบมะละกาได้อพยพเข้ามาตั้งหลักแหล่งบริเวณหมู่เกาะลันตา จากตำนานและคำบอกเล่าของชาวเลบนเกาะลันตา และชาวเลมอแกนเกาะสุรินทร์ กล่าวถึง เส้นทางการอพยพที่ใกล้เคียงกันว่า เดิมเป็นพวกเดียวกันแต่หนีโจรสลัดจนแตกแยกกันไป เนื่องจากสมัยหนึ่งดินแดนทางภาคใต้แถบประเทศมาเลเซียมีการสร้างเมืองใหม่ต้องการกำลังคน จึงให้โจรสลัดดักจับคนที่หากินในทะเลไปขายเจ้าเมือง ผู้ชายจะถูกจับไปเป็นทหาร ผู้หญิงถูกจับไปให้กำเนิดบุตร เนื่องจากต้องการเพิ่มจำนวนประชากรที่จะกลายมาเป็นพลเมือง คำบอกเล่านี้ แม้จะเป็นตำนานแต่มีประเด็นข้อสังเกตเกี่ยวกับบรรพบุรุษของพวกเขาที่ได้เล่าเกี่ยวกับภัยที่เกิดจากโจรสลัดทำให้ต้องอพยพหนีขึ้นมาในน่านน้ำไทย
คำบอกเล่าดังกล่าวสอดคล้องกับเบอร์นาซิค (Bernazik, 1958, 42 ; อ้างถึงใน อาภรณ์อุกฤษณ์, 2532, 10) บันทึกจากคำบอกเล่าของชาวมอแกนที่มะริดว่าชาวเลกลุ่มหนึ่งถูกชาวมาเลย์จับตัวไปและแต่งงานกับชาวมาเลย์ ชาวจีนและนิกริโต กลายเป็นโอรังลาอุอุต (อูรักลาโวยจ) หรือโอรังลอนตา ซึ่งเป็นชื่อที่มอแกนเรียกชาวอูรักลาโวยจเกาะลันตา และใกล้เคียงกับคำบอกเล่าของชาวเกาะลันตาที่ว่า “...ตอนเด็กๆ เคยเห็นชาวเล ที่เร่ร่อนบริเวณเกาะลันตาเป็นชาวเลสิงห์ (มอแกน) มาจากพม่าอาศัยเรือง่าม (ก่าบาง) แบบชาวเลเกาะสุรินทร์ และมีลูกมีหลานทิ้งไว้ ต่อมามีการแต่งงานผสมผสานกับชาวมลายูที่เรียกว่า แขกชวา ซึ่งเป็นลูกเรือชาวจีนที่เข้ามาค้าขาย กลายเป็นอูรักลาโวยจ...” (อาภรณ์ อุกฤษณ์, 2554 : 76) ในขณะที่ประพนธ์ เรืองณรงค์ [SS2] ได้กล่าวถึงชาวเลที่อาศัยในแถบสตูล กระบี่ พังงาและภูเก็ตในปัจจุบันว่าเป็นชาวเลผสมเกือบทั้งสิ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งระหว่างชาวมะละกาและชาวลิงคาและผสมกับชาวมาซิง บางส่วนได้แต่งงานกับคนพื้นเมือง และเปลี่ยนแปลงการนับถือศาสนามาเป็นศาสนาพุทธ ศาสนาอิสลาม และปัจจุบันมีศาสนาคริสต์เข้าไปเผยแพร่ในกลุ่มนี้เช่นกัน แนวคิดนี้ได้ถูกวิพากษ์จากทัศนะของโฮเก็น (Hogen, 1972, 208 ; อ้างถึงใน อาภรณ์ อุกฤษณ์, 2554, 76) ที่มองว่าการแต่งงานข้ามกลุ่มที่เกิดขึ้นจำนวนน้อย อาจเป็นไปได้ยากที่ชาวเลทั้ง 2 กลุ่มนี้ จะมีบรรพบุรุษร่วมกัน เนื่องจากภาษาและวัฒนธรรมมีความแตกต่างกัน อย่างไรก็ตาม ข้อมูลดังกล่าวทำให้ทราบว่าในอดีตชาวเลมอแกนเคยเร่ร่อนหากินบริเวณหมู่เกาะลันตาด้วย(อาภรณ์ อุกฤษณ, 2554, 76)
จากการสืบย้อนอดีตพบหลักฐานที่บ่งบอกว่าดินแดนที่เรียกว่า “เกาะลันตา”มีประวัติศาสตร์อันยาวนาน ดังปรากฏในแผนที่และบันทึกการเดินเรือของนักเดินเรือชาวอาหรับ (Wheatley, 1966, 241) ที่ทำไว้เมื่อประมาณ 600 ปีก่อนได้ระบุชื่อ “เกาะลันตา” (pulau lanta) ไว้ 3 แห่ง แห่งแรก คือ เกาะลันตาในตำแหน่งที่ตั้งเกาะมะลิวัลย์หรือเกาะย่านเชือก แห่งที่สอง คือ เกาะลันตาในตำแหน่งที่ตั้งเกาะสุรินทร์ และแห่งที่สาม คือ เกาะลันตาจานับหรือเกาะลันตาใต้ ในตำแหน่งที่ตั้งเกาะลันตา จังหวัดกระบี่ในปัจจุบัน เป็นที่น่าสังเกตว่า เกาะเหล่านี้เป็นถิ่นที่อยู่ของชาวเลกลุ่มอูรักลาโวยจและมอแกนทั้งสิ้น ปัจจุบันชาวเลมอแกนเกาะสุรินทร์ยังคงเรียกชาวอูรักลาโวยจที่เกาะลันตาว่า “โอรังลอนตา”
ในขณะที่งานานวิจัยของ สุพัฒน์ธัญญวิบูลย์(2539,92-97 ; อ้างถึงใน อาภรณ์ อุกฤษณ์, 2554, 76 )กล่าวถึงชาวเลว่า กษัตริย์ปรเมศวร ได้สร้างเมืองมะละกาให้รุ่งเรืองทางการค้าและพัฒนาให้เป็นเมืองท่าที่ปลอดภัยจากโจรสลัดด้วยการดึงชนพื้นเมืองที่มีพฤติกรรมเป็นโจรสลัด คือ พวกชาวทะเลหรือชาวเล (Orang Laut) ซึ่งเป็นประชาชนส่วนหนึ่งของภูมิภาคนี้เข้ามาสวามิภักดิ์กลายเป็นกองกำลังในเรือและเป็นแรงงานในการหาของทะเลเป็นสินค้า ช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้เมืองท่ามะละกะมากขึ้น ประเด็นที่น่าสนใจ คือ การระบุว่าชาวเล (Orang Laut) เป็นโจรสลัดซึ่งตรงกันข้ามกับงานวิจัยของ Hogen (1972, 207-208 ; อ้างถึงใน อาภรณ์ อุกฤษณ์, 2554, 78) ที่ระบุลักษณะนิสัยของชาวเลในปัจจุบันขัดแย้งกับพฤติกรรมของโจรสลัด ที่กล่าวถึงในประวัติศาสตร์ มะละกา ซึ่งหากเป็นโจรสลัดอาจถูกบังคับให้เป็นจึงอพยพหนีเข้ามาในเขตประเทศไทย เมื่อตรวจสอบจากหลักฐานทางประวัติศาสตร์ของ ฮอลล์ (Hall, 2549,212 ; อ้างถึงในอาภรณ์ อุกฤษณ์, 2554, 76) มีการบันทึกว่าประมาณ พ.ศ. 1941-1943 หรือประมาณ 589-587 ปีมาแล้วกษัตริย์ปรเมศวรได้รับความช่วยเหลือจากโจรสลัดและชาวมลายูจากปาเล็มบังในการสร้างเมืองมะละกาจนกลายเป็นนิคมขนาดใหญ่ได้อย่างรวดเร็ว เริ่มต้นด้วยการเป็นตลาดสินค้าหายาก และเป็นศูนย์กลางของโจรสลัด อีกช่วงหนึ่งประมาณ พ.ศ. 2367-2386 เป็นช่วงที่มีการปราบปรามโจรสลัด โดยความร่วมมือระหว่างอังกฤษกับฮอลันดา โดยใช้เรือรบขนาดใหญ่ออกตระเวนจับกุมชาวบ้าน ผู้ต้องสงสัยว่าเป็นโจรสลัดในน่านน้ำตั้งแต่ช่องแคบมะละกาลงไป จากเหตุการณ์นี้ผลักดันให้ผู้ที่ทำมาหากินบริเวณนั้น ซึ่งอาจจะมีชาวเลปะปนอยู่ด้วยต้องอพยพหนี (อาภรณ์ อุกฤษณ์, 2532, 11 )
ศาสนาและความเชื่อ :
พุทธ, อิสลาม, วิญญาณนิยม
ระบบความเชื่อ ประเพณี และพิธีกรรม
จากความเชื่อดั้งเดิมของอูรักลาโวยจเป็นความเชื่อในสิ่งเหนือธรรมชาติและวิญญาณบรรพบุรุษ เมื่อมีปฏิสัมพันธ์กับชาวไทย และชาวมุสลิม อูรักลาโวยจบางกลุ่มรับนับถือศาสนาอิสลามเรียกกันว่า “ชาวเลแขก” เช่นอูรักลาโวยจบนเกาะปอ และเกาะบูโหลน อย่างไรก็ตาม อูรักลาโวยจ ส่วนใหญ่สัมพันธ์กับศาสนาพุทธด้วยวิถีชีวิตที่อิสระทำให้ปฏิบัติตามหลักปฏิบัติของศาสนาอิสลามได้ยาก อูรักลาโวยจส่วนใหญ่จึงไปวัดตามแบบพุทธศาสนิกชนทั่วไปและหากมีใครถาม จะบอกว่านับถือศาสนาพุทธ แม้จะไม่เคยมีกรณีอูรักลาโวยจบวชพระ เนื่องจากอาจมีข้อจำกัดด้านการอ่าน การท่องบทสวด และวัตรปฏิบัติ แต่ก็สามารถไปทำบุญที่วัด ไหว้พระฟังธรรม และร่วมฟังพระสวดอภิธรรมในพิธีศพของชาวจีน ขณะเดียวกันสามารถอยู่ร่วมกับชาวมุสลิมได้โดยไม่มีความขัดแย้ง
นอกจากนี้ชาวอูรักลาโวยจยังมีความสัมพันธ์กับศาสนาคริสต์ ที่เกิดขึ้นภายหลังจากการเผยแพร่ศาสนาคริสต์ที่เกิดขึ้นภายหลังจากการเผยแพร่ศาสนาอิสลาม ซึ่งเชื่อว่ามีต้นกำเนิดจากแหล่งเดียวกันมาก่อน ดังเช่นปรากฏในตำนานที่สอดคล้องกันว่า พระเจ้าให้กำเนิดมนุษย์โลกคู่หนึ่ง คือโต๊ะอาดั๊บ (อาดัม) กับโต๊ะซิตีฮาวา (อีวา) แล้วทั้งคู่ให้กำเนิดมนุษย์หลายชาติหลายภาษา ต่อมามนุษย์เหล่านั้นได้ประพฤติผิดทำนองคลองธรรม จนกระทั่งงพระเจ้าดลบันดาลให้น้ำท่วมโลก เหลือแต่นบีโน๊ะ (โนอาห์) และครอบครัวซึ่งต่อเรือขึ้นตามคำเตือนของพระเจ้า เมื่อน้ำแห้งแล้วลูกของนบีโน๊ะได้กลายเป็นผู้นำเผ่าพันธุ์มนุษย์ และมีลูกหลานสืบมา มีบุคคลสำคัญ 7 คน ที่เชื่อว่าสืบเชื้อสายมาจากพระเจ้าองค์เดียวกันทั้งสิ้น แม้ว่าชื่อของบุตรทั้ง 7 คนของชาวคริสต์ และชาวมุสลิมแต่ละถิ่นแตกต่างกันไปบ้าง (อาภรณ์ อุกฤษณ์, 2532 : 93)และความเชื่อนี้ก็ได้ปรากฏในพิธีปักไม้กันผี 7 ต้น (คล้ายไม้กางเขน) ซึ่งเป็นขั้นตอนที่สำคัญขั้นตอนหนึ่งในพิธีลอยเรือของชาวเลอูรักลาโวยจ และความเชื่อเกี่ยวกับหมายเลข 7 ในชีวิตประจำวันของชาวเลอูรักลาโวยจ (อาภรณ์ อุกฤษณ์, 2545-2547 : 27)ต่อมาจะมีกลุ่มบุคคลเข้าไปเผยแพร่ศาสนาคริสต์โดยตรงในชุมชนชาวเลหลายแห่งนอกเหนือจากชุมชนชาวอูรักลาโวยจ โดยเฉพาะในช่วงหลังจากประสบภัยสึนามิ ชาวเลหันไปนับถือศาสนาคริสต์โดยตรงมากขึ้น เนื่องจากไปร่วมกิจกรรมร้องเพลงและรับของแจกจากกลุ่มที่เข้ามาเผยแพร่ศาสนาแล้วได้รับการชักชวนให้เปลี่ยนศาสนา
ความเชื่อดั้งเดิมของชาวเลอูรักลาโวยจ จะผูกพันกับความเชื่อเรื่องผีบรรพบุรุษและสิ่งเหนือธรรมชาติทั้งปวงนอกจากอูรักลาโวยจแต่ละกลุ่มจะมีผีบรรพบุรุษประจำกลุ่มที่ยึดถือร่วมกันแล้ว ยังมีผีบรรพบุรุษประจำชุมชนแต่ละชุมชนด้วย ซึ่งพวกเขาเชื่อกันว่า วิญญาณบรรพบุรุษเหล่านั้นจะสิงสู่อยู่ในตัวสัตว์ สถานที่ หรือสิ่งต่างๆ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ที่มองเห็นได้ อย่างไรก็ตามแม้ชาวเลแต่ละกลุ่มจะมีผีบรรพบุรุษประจำกลุ่มแต่เมื่อทำพิธีต่างๆ เช่น พิธีลอยเรือ พิธีแก้บน ฯลฯ ก็จะเชิญผีบรรพบุรุษของแต่ละชุมชนและผีบรรพบุรุษประจำกลุ่มอื่น ๆ ซึ่งมีความสามารถพิเศษเฉพาะตัวมาร่วมในพิธีกรรมด้วย
การเรียกชื่อวิญญาณบรรพบุรุษจะมีคำนำหน้าว่า “ดาโต๊ะ” หรือ “โต๊ะ” ซึ่งเป็นคำนับญาติที่ชาวเลและมุสลิมภาคใต้ใช้เรียกปู่ ย่า ตา ยาย หรือผู้สูงอายุทั่วไป แล้วตามด้วยชื่อบรรพบุรุษ หรือ “กามัย” หรือ“กาหมาด” ซึ่ืงแปลว่า ศักดิ์สิทธิ์ผีบรรพบุรุษประจำกลุ่มแต่ละกลุ่มจะมีตำนานความเป็นมาและความสามารถพิเศษเฉพาะตัวแตกต่างกันไป ดังรายละเอียดที่กล่าวไว้ในหัวข้อเกี่ยวกับตำนาน
นอกจากนั้นยังมีความเชื่อในชีวิตประจำวัน ซึ่งมีทั้งความเชื่อทางด้านไสยศาสตร์ เครื่องรางของขลังที่สัมพันธ์กับการทำมาหากิน ชีวิตประจำวัน และการรักษาพยาบาล ความเชื่อเหล่านี้บางส่วนเป็นความเชื่อดั้งเดิมที่สืบทอดมาจากบรรพบุรุษ บางส่วนได้รับอิทธิพลความเชื่อของชาวจีน ชาวมุสลิมและชาวไทยที่ตั้งถิ่นฐานใกล้เคียงกันมาผสมผสานกับความเชื่อดั้งเดิมความเชื่อของชาวอูรักลาโวยจ มีดังนี้
ความเชื่อเรื่องเครื่องรางของขลัง ในกลุ่มชาวอูรักลาโวยจจะมีความเชื่อเกี่ยวกับวัตถุที่เป็นเครื่องรางของขลังซึ่งมีไว้ประจำบ้าน ประจำตัว หรือเป็นเครื่องเซ่นในพิธีกรรม เพื่อเป็นศิริมงคล ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นความเชื่อที่ได้รับอิทธิพลจากสังคมภายนอกที่อาศัยอยู่ใกล้เคียง เช่น การใช้หอยหนามแขวนไว้บนขอบประตูด้านบนหน้าบ้านและหลังบ้าน หรือใช้แผ่นทองเหลืองเล็ก ๆ ตอกไว้บนธรณีประตูทั้งหน้าบ้านและหลังบ้าน เพื่อให้หนามที่มีอยู่รอบตัวหอยหนาม หรือแผ่นทองเหลืองเป็นตัวสกัดกั้นไม่ให้สิ่งชั่วร้ายเข้าบ้าน และมีการลงเสาเอกก่อนสร้างบ้านโดยใช้ลูกมะพร้าวผูกไว้ที่ปลายเสาลูกหนึ่งพร้อมผูกผ้าแดง รวงข้าว และดอกไม้ เป็นวัฒนธรรมที่รับมาจากชาวมุสลิม ชาวไทยพุทธ และชาวจีนที่อาศัยบนเกาะลันตา (อาภรณ์ อุกฤษณ์, 2532 : 95)
ความเชื่อเรื่องการทำยาเสน่ห์ วิธีหนึ่งที่ปรากฏในกลุ่มชาวอูรักลาโวยจและชาวมุสลิมที่อาศัยในแถบชายฝั่งทะเลอันดามัน โดยใช้น้ำตาปลาดุหยง หรือปลาพยูน ผสมกับส่วนผสมอื่น ๆ นำไปแตะบนร่างกายของเพศตรงข้าม เพื่อให้ผู้นั้นหลงรักและคิดถึงตน เชื่อว่าหากผู้ใดโดนเสน่ห์น้ำตาปลาดุหยงจะหลงใหลใฝ่ฝันถึงฝ่ายตรงข้ามจนไม่เป็นอันจะกินจะนอน ถึงกับต้องไปให้เห็นหน้า แม้ต้องว่ายน้ำข้ามทะเลไปก็ยอม ดังบทเพลงรองแง็งที่ร้องขับกันในกลุ่มชาวบ้านบนเกาะลันตาและหมู่เกาะใกล้เคียง ที่ว่า
“หลบบ้านไม่รอดแล้วเด
มาถูกเสน่ห์น้ำตาปลาดุหยง
คดข้าวสักหวัก
นึกถึงยอดรักกินข้าวไม่ลง
มาถูกเสน่ห์น้ำตาปลาดุหยง
กินข้าวไม่ลงสักคำเดียว”(อาภรณ์ อุกฤษณ์, 2531 : 97)
นอกจากนี้ การทำเสน่ห์ยังมีอีกวิธีหนึ่ง คือ การใช้น้ำล้างหน้าตอนเช้าของผู้ที่ต้องการทำเสน่ห์มาเสกและประพรมบนร่างกายเพื่อปลูกเกลื้อน ผู้มีประสบการณ์เล่าว่าเกลื้อนเสน่ห์นี้หากเพศตรงข้ามที่ตนรักเห็นเข้าจะหลงใหลคลั่งไคล้จนทุรนทุรายไม่แพ้เสน่ห์น้ำตาปลาดุหยง (อาภรณ์ อุกฤษณ์, 2532: 94)
นอกจากนี้ยังมีการทำนายและโหราศาสตร์เนื่องจากในสังคมชาวเลอูรักลาโวยจ ซึ่งผูกพันกับความเชื่อในสิ่งเหนือธรรมชาติ นอกจากโต๊ะหมอจะเป็นผู้นำทางความเชื่อและเป็นผู้นำในการประกอบพิธีกรรมต่าง ๆเช่นพิธีลอยเรือ พิธีแก้บน พิธีรักษาโรค ดูฤกษ์ยามในการสร้างบ้าน ฯลฯ ซึ่งในพิธีกรรมเหล่านี้โต๊ะหมอจะทำหน้าที่เป็นสื่อกลางในการติดต่อกับวิญญาณบรรพบุรุษ และวิญญาณที่เชื่อว่าสิงอยู่ตามธรรมชาติ ซึ่งมีผลต่อวิถีชีวิตของสมาชิกในกลุ่ม เพื่อสอบถามว่าต้องการอะไร จะให้ แก้บนด้วยอะไรโต๊ะหมอจะมีความสามารถในการทำนายโชคชะตาของสมาชิกด้วย เช่น ในพิธีลอยเรือ ในช่วงที่ทำน้ำมนต์ แต่ละครอบครัวจะนำตุ่มใส่น้ำมาวางเรียงกันไว้โต๊ะหมอจะจุดเทียน แล้วหยดลงไปตุ่มทีละตุ่มและทำนายว่าหลังจากผ่านพิธีลอยเรือแล้วครอบครัวของเจ้าของตุ่มจะมีวิถีชีวิตอย่างไร ซึ่งหากหยดเทียนไม่สวยก็จะหยดใหม่ 2-3 ครั้ง ก่อนจะทำนาย
หลักปฏิบัติทางวัฒนธรรม :
หลักปฏิบัติทางวัฒนธรรม
ชาวอูรักลาโวยจมีหลักปฏิบัติทางวัฒนธรรมในพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งเป็นศาลบรรพบุรุษประจำชุมชนจะเป็นพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ของชุมชนชาวเลอูรักลาโวยจแต่ละแห่ง เช่น “ศาลโต๊ะ ฆีรี” เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ประจำชุมชนอูรักลาโวยจ บ้านเกาะอาดัง เกาะหลีเป๊ะ และเกาะบูโหลน จังหวัดสตูล “ศาลโต๊ะบุหรง”เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ประจำชุมชนชาวเลอูรักลาโวยจบ้านเกาะจำ “ศาลโต๊ะอาโฆ๊ะบาตรัย” เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ประจำชุมชนชาวเลอูรักลาโวยจบ้านสังกาอู้และบ้านหัวแหลมกลาง เกาะลันตา“ศาลโต๊ะบาหลิว”เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ประจำชุนชนชาวเลอูรักลาโวยจบ้านโต๊ะบาหลิว บ้านในไร่ และบ้านศาลาด่าน อำเภอเกาะลันตา จังหวัดกระบี่ “ศาลโต๊ะตามี่” เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ประจำชุมชนชาวเลอูรักลาโวยจบ้านแหลมตุ๊กแก “ศาลโต๊ะบาลัย”
เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ประจำชุมชนชาวเลอูรักลาโวยจบ้านราไวย์ จังหวัดภูเก็ต ส่วน“ศาลโต๊ะแซะ” เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของชาวภูเก็ต แต่ชาวเลอูรักลาโวยจบางกลุ่มนับถือและเชิญมาร่วมในพิธีลอยเรือเพื่อปกป้องลูกหลานชาวเลด้วย เมื่อมีพิธีกรรมต่าง ๆ สมาชิกจะไปรวมตัวกันทำพิธีที่ศาลประจำกลุ่มของตนเพื่อบอกกล่าวและเชิญชวนให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำกลุ่มของตนและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของชุมชนอูรักลาโวยจกลุ่มอื่น ๆ มาร่วมพิธี สถานที่สำคัญเหล่านี้ห้ามล่วงละเมิด หรือทำสิ่งไม่ดีในพื้นที่เหล่านี้
ข้อห้ามสำหรับผู้หญิงตั้งครรภ์ เมื่อสาวชาวเลอูรักลาโวยจตั้งครรภ์จะต้องปฏิบัติตนตามความเชื่อและข้อห้ามที่สืบทอดกันมา เช่น ห้ามอาบน้ำกลางคืน ห้ามลงไปเดินเล่นนอกบ้านหลังพระอาทิตย์ตกดินเพราะผีตายายจะติดตามตัวมา ระหว่างที่ตั้งครรภ์ 3-7 เดือน ห้ามฆ่าหรือทุบตีสัตว์ทุกชนิด ห้ามนั่งบนธรณีประตู ห้ามข้ามเชือกผูกหัวเรือ จะทำให้คลอดยาก ฯลฯ
ข้อห้ามสำหรับเด็ก เด็กห้ามกินไข่จนกว่าจะคลานได้ และห้ามกินปลาจนกว่าจะพูดคำว่าปลา หรือ“อีกัด” ได้
ข้อห้ามขณะสามีออกทะเล ภรรยาที่อยู่ที่บ้านห้ามขยับที่นอนสามี ห้ามเย็บผ้า ห้ามสระผม ห้ามนอนกลางวัน และห้ามกวาดขยะใต้ถุนบ้าน เพราะเชื่อว่าสามีจะประสบอุบัติเหตุ เมื่อลงจากบ้านไปทะเล หากมีคนนั่งขวางบันได เชื่อว่าเป็นการขวางลาภ จับปลาไม่ได้ (อาภรณ์ อุกฤษณ์. 2532 : 42)
ข้อห้ามอื่นๆ เช่น ห้ามนั่งบนหินถ่วงไซ หรือหินลับมีด เพราะเชื่อว่า ก้นจะหนักหรือขี้เกียจทำงาน ห้ามออกจากครัวขณะหุงข้าวเพราะผีตายโหงจะลงโทษ ห้ามเด็ก ๆ เล่นริมหาดโดยเฉพาะ วันขึ้น 11-12 ค่ำ เพราะผีตายายจะติดตัวกลับมาบ้าน ห้ามทักหรือชี้เมื่อเห็นผีพุ่งไต้ หรือดาวตก จะทำให้เกิดอันตรายกับตัวเอง เป็นต้น (อาภรณ์ อุกฤษณ์, 2532 : 94-95, จรัส ง๊ะสมัน, 2534: 43)
ประเพณี เทศกาล และพิธีกรรม :
ประเพณี เทศกาล และพิธีกรรม
ประเพณี เทศกาล และพิธีกรรมสำคัญในรอบปี
ประเพณีแต่งเปรว (เปอตัดเยลัย) ชาวเลอูรักลาโวยจบนเกาะลันตาจะมีประเพณีตกแต่งหลุมฝังศพและเซ่นไหว้บรรพบุรุษซึ่งได้รับอิทธิพลจากประเพณี “เช็งเม้ง” ของชาวจีน พิธีแต่งเปรวหรือหลุมฝังศพหินทรายจะทำในเดือน 4 ส่วนเปรวบ้านเก่าจะทำในเดือน 5 ของทุกปี ปัจจุบันชาวเลได้ย้ายเปรวบ้านเก่ามาไว้ใกล้ศาลโต๊ะ อาโฆ๊ฮฺเบอราตัย ทางทิศเหนือของชุมชนในวันพิธีช่วงเช้าผู้ชายจะดายหญ้าตกแต่งหลุมฝังศพ ผู้หญิงเตรียมทำขนมไปเซ่นไหว้ ไปร่วมพิธีในตอนบ่าย สำหรับเปรวบ้านเก่า ในช่วงบ่ายมีการร้องรำทำเพลงและเลี้ยงข้าวปลาอาหาร ดื่มเหล้ากันด้วย (อาภรณ์ อุกฤษณ์, 2554 : 194)
ประเพณีลอยเรือปลาจั๊ก (เปอ-ลาจั๊ก หรือลาจัง) เป็นประเพณีความเชื่อที่ชาวเลอูรักลาโวยจให้ความสำคัญมากที่สุด และถือปฏิบัติสืบต่อกันมาตั้งแต่บรรพบุรุษ จัดขึ้นปีละ 2 ครั้ง คือวันขึ้น 13 ค่ำ-แรม 1 ค่ำ เดือน 6 เมื่อเริ่มมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ หรือ“ลมพลัด”และวันขึ้น 13 ค่ำ-แรม 1 ค่ำ เดือน 11 เมื่อเริ่มมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือ หรือ “ลมออก” โดยมีจุดประสงค์ที่จะสะเดาะเคราะห์ ส่งวิญญาณบรรพบุรุษกลับไป“ฆูนุงฌึรัย” ซึ่งเชื่อว่าเป็นบ้านเมืองเดิมของบรรพบุรุษ และส่งสัตว์ที่ฆ่ากินเป็นอาหารกลับไปให้เจ้าของเดิมเพื่อไถ่บาป
“ฆูนุงฌึรัย” หรือภูเขาต้นไทร หมายถึง เทือกเขาที่อยู่ในเมืองไทรบุรี ซึ่งเดิมเป็นของไทย ปัจจุบันคือรัฐเกดะห์ ขึ้นอยู่กับประเทศสาธารณรัฐมาเลเซีย (อาภรณ์ อุกฤษณ์, 2554, 194) คนไทยในไทรบุรีเล่าว่า “ที่ไทรบุรีเมื่อก่อน มีชาวโอรังลาอุ๊ต (อูรักลาโวยจ) อาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก ปัจจุบันชาวอูรักลาโวยจได้กลายเป็นชาวมุสลิมทั้งหมด เพราะมีธรรมทูตชาวมุสลิม ชักชวนให้นับถือศาสนาอิสลาม มีสมาคมให้ทุนการศึกษา สร้างบ้านให้อยู่ และอบรมให้ความรู้เรื่องศาสนาจนกลมกลืนเข้าด้วยกัน”
ในช่วงที่มีพิธีลอยเรือ ชาวเลอูรักลาโวยจทุกคนจะต้องมาร่วมงานดังเช่น ในพิธีลอยเรือของชาวอูรักลาโวยจบ้านหัวแหลมกลางและบ้านสังกาอู้ บนเกาะลันตาจัดขึ้นที่บ้านหัวแหลมกลางอูรักลาโวยจทุกครอบครัวจากทั้งสองชุมชนจะต้องหยุดงานมาร่วมฉลอง มีการดื่มเหล้า ร้องรำทำเพลงตลอด 3 วัน 3 คืน ในอดีตช่วงเวลาดังกล่าวคลื่นลมแรงเรือเล็กไม่สามารถออกทะเลได้จำเป็นต้องหยุดงานอยู่แล้ว ปัจจุบันใช้เรือหางยาวลำใหญ่ ส่วนคนที่ต้องการออกทะเลวางอวน จะอนุโลมให้บริจาคเป็นเงินหรือเหล้าแทนการเข้าร่วมได้ พิธีลอยเรือของแต่ละแห่งจะจัดไม่พร้อมกันเพื่อให้ญาติพี่น้องจากชุมชนอื่นบนเกาะลันตาและเกาะอื่น ๆ เช่น เกาะจำ เกาะพีพี เกาะอาดัง เกาะหลีเป๊ะ และเกาะภูเก็ต มาร่วมงานด้วย
ในพิธีลอยเรือปลาจั๊กที่บ้านหัวแหลมกลาง เกาะลันตานี้ มีกิจกรรมและพิธีกรรมซับซ้อนหลายขั้นตอน เริ่มจากสมาชิกที่มาร่วมงานช่วยกันการสร้างและซ่อมแซมที่พักชั่วคราว (ซาเราะ) การเตรียมสถานที่ อุปกรณ์และทำขนมเครื่องเซ่น หลังจากนั้นทำพิธีเซ่นไหว้บรรพบุรุษ “โต๊ะกรามั้ย” พิธีตัดไม้ (ไม้ระกำและไม้ตีนเป็ด)นำกลับมาแห่รอบศาลบรรพบุรุษ (โต๊ะอาโฆฮฺเบอราตัย) พิธีต่อเรือปลาจั๊ก พิธีฉลองเรือ พิธีสาดน้ำ (เลฮฺบาเลฮฺ) พิธีลอยเรือ พิธีตัดไม้ทำไม้กันผี (ไม้ตีนเป็ด)พิธีปักไม้กันผี (กายูพาฮาดั๊ก)พิธีฉลองไม้กันผีและพิธีทำน้ำมนต์สะเดาะเคราะห์และทำขวัญ ความซับซ้อนของพิธีกรรมแต่ละขั้นตอนดังกล่าวบ่งบอกถึงการให้ความสำคัญและความตั้งใจของเจ้าของวัฒนธรรมในการประกอบพิธีกรรม
ปราฮู ปลาจั๊ก หรือ ปราฮู ลาจัง เป็นเรือที่ชาวเลใช้ในพิธีลอยเรือ ที่ต่อเรือด้วยไม้ระกำเป็นรูปย่อส่วนของเรือสำเภาขนาดใหญ่ หัวแหลม ท้ายยกสูงโค้งมน แล่นใบ ติดแจวข้าง 7 คู่หรือ 12 คู่ เป็นเรือที่งดงามมาก จากการศึกษาพบว่ามีลักษณะคล้ายเรือใบขนาดใหญ่ของอินโดนีเซียที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบัน (เปลี่ยนมาใช้เครื่องยนต์) ซึ่งมีหัวเรือแหลมยาวยื่นไปข้างหน้า เรียกว่า Perahu Pinisi หรือ Kapal Pinisi แต่ อัมรี (อาภรณ์ อุกฤษณ์, 2554, 195)ไกด์ชาวอินโดนีเซียและเพื่อนชาวเรือ มีความเห็นว่า “ปราฮู ลาจัง” น่าจะมาจาก คำว่า Perahu Layar ในภาษาอินโดนีเซีย หมายถึงเรือใบขนาดเล็ก ซึ่งใช้กันในแถบทะเลอินโดนีเซียในอดีต แต่จากภาพเขียนและเรือใบจำลอง ที่เป็นสัญลักษณ์ของอินโดนีเซีย ซึ่งจัดแสดงในพิพิธภัณฑ์เมืองมากัสซ่าไม่ปรากฏว่ามีกรรเชียง 7 คู่ หรือ12 คู่ บริเวณแคมเรือทั้งสอง ทำนองเดียวกันในภาษามลายู คำว่า “ลาจัง” หมายถึง “เรือใบ” แต่รายละเอียดของรูปแบบเรือแตกต่างกันอย่างไรก็ตามพบว่ารูปแบบเรือ “ปลาฮูปลาจั๊ก ของชาวเลอูรักลาโวยจเกาะลันตา จะใกล้เคียงกับเรือใบเสาเดียวของชวา (Javanese fusta) ซึ่งเป็นเรือโบราณที่ใช้ทั้งใบทั้งพายเหมือนเรือที่ใช้ในทะเลเมดิเตอร์เรเนียน แต่เรือปลาจั๊กมี 2 เสา (Kemp, 2002, : 68-69 ; อ้างถึงใน อาภรณ์ อุกฤษณ์, 2554 : 195)
ในบทเพลงที่ชาวเลเกาะลันตาร้องขับในพิธีลอยเรือ กล่าวถึง “อาเจ” หรือ “เรือแห่งอาเจ (อาเจ๊ะ)” นอกจากนั้นบันทึกของ สมิธ (ธนัญญา ทองซ้อนกลีบ, (ผู้แปล)2539 : 185-187; อ้างถึงใน อาภรณ์ อุกฤษณ์, 2554: 195) มีภาพลายเส้นรูปเรือของโอรัง เล้าท์ หรือ โอรังลาอุ๊ต (Urang Laut) มีลักษณะใกล้เคียงกับปลาฮูลาจัง หรือปลาจั๊กของชาวเลอูรักลาโวยจ รูปแบบของเรือลาจัง หรือปลาจั๊กซึ่งไม่เคยมีใช้ในน่านน้ำไทย จึงมีข้อสรุปได้ว่าเป็นเรือแบบอุดมคติที่ชาวเลสร้างขึ้น โดยอาจจะประสมประสานรูปแบบของเรือใบท้องถิ่นเข้ากับรูปแบบของเรือยุโรปยุคล่าอาณานิคม
ประเพณีลอยเรือ จึงน่าจะมีมาก่อนที่อูรักลาโวยจจะอพยพเข้ามาในเขตประเทศไทยและอาจจะมีการประดิษฐ์เรือลาจัง หรือปลาจั๊ก เลียนแบบเรือที่ใช้ทำสงครามในมะละกา ในช่วงที่เร่ร่อนบริเวณเทือกเขา“ฆูนุงฌึรัย” หากพิจารณาถึงความซับซ้อนของพิธีกรรมในประเพณีลอยเรือ ความงดงามของลวดลาย และความประณีตของงานศิลปะการต่อเรือ ตลอดจนสัญลักษณ์และการให้ความหมายของวัตถุที่บรรจุในเรือแต่ละชิ้น ลักษณะเฉพาะของดนตรี บทเพลงรำมะนา และท่ารำ บ่งบอกว่า งานศิลปะเหล่านี้มิใช่พึ่งเกิดขึ้นในระยะเวลาอันใกล้แต่ได้ผ่านขบวนการสร้างสรรค์ สืบทอด ปรับเปลี่ยน และสั่งสมมาเป็นเวลายาวนานจนกระทั่งกลมกลืนกลายเป็นอัตลักษณ์เฉพาะของกลุ่ม ดังนั้น อาจจะเป็นไปได้ว่าบรรพบุรุษของพวกเขาน่าจะเคยเร่ร่อนแถบน่านน้ำอินโดนีเซีย ซึ่งเป็นเมืองที่มีความเจริญมาก่อน และชื่อเรือน่าจะมาจากคำว่า “Perahu Layar” ตามภาษาอินโดนีเซียหรือ “Prahu Lacang” ในภาษามลายู
ส่วนวัตถุประดิษฐ์ในพิธีลอยเรือ แสดงถึงร่องรอยหลักฐานของอัตลักษณ์ทางวัตถุที่สูญหายไปจากวิถีชีวิตของอูรักลาโวยจ เช่น ไม้ระกำที่ใช้ประดิษฐ์เรือปลาจั๊กเคยใช้เป็นวัสดุสำหรับต่อเรือที่ใช้ในชีวิตประจำวันในอดีต ชิ้นส่วนวัตถุประดิษฐ์ด้วยไม้ระกำที่บรรจุในเรือลาจังบางชิ้น เช่น ซัมปัง (ฉมวก) เป็นเครื่องมือแทงปลาเพื่อยังชีพ ปัจจุบันเปลี่ยนไปจับสัตว์น้ำด้วยบูบู หรือไซดักปลา ประดิษฐ์กรรมที่สร้างสรรค์ขึ้นใหม่ เช่น แห อวน ระเบิดฯลฯ ที่เรียนรู้จากการปฏิสัมพันธ์กับกลุ่มชาติพันธุ์อื่นเพื่อนำส่วนเกินไปจำหน่าย ฆ้องเครื่องมือสื่อสารประจำเรือ สำหรับส่งสัญญาณตามรหัสลับที่ตกลงกันไว้ เพื่อบอกกล่าวให้รับรู้ว่า “เป็นพวกเดียวกันเข้ามาได้” หรือ “มีภัยอันตรายให้รีบหนี” หรือ “ขอความช่วยเหลือ” ปัจจุบันเลิกใช้ไปแล้วหลังจากที่เปลี่ยนวิถีชีวิตขึ้นมาตั้งถิ่นฐานบนบก (อาภรณ์ อุกฤษณ์, 2554 : 196).
ในบางขั้นตอนของพิธีกรรมลอยเรือมีร่องรอยที่บ่งบอกว่าในกลุ่มชาติพันธุ์อูรักลาโวยจมีความเชื่อเรื่องคู่ตรงข้ามที่ใกล้เคียงกับทฤษฎีคู่ตรงข้ามของเลวี่เสตร๊าส์ (Levi-Struss ,1963,1969 ; อาภรณ์ อุกฤษณ์. 2554 : 196) เช่น เครื่องเซ่นที่มีไก่ดิบ-ไก่สุก แป้งดิบ 7 สี-ข้าวสุก 7 สี โดยให้เหตุผลว่า ผีบรรพบุรุษมีทั้งที่ชอบกินของดิบและของสุก (อาภรณ์อุกฤษณ์, 2532 : 171,197)และยังใกล้เคียงกับความเชื่อเรื่องคู่ตรงข้ามหรือหยิน-หยางของชาวจีน ที่ปรากฏในธรรมชาติและสัมพันธ์กับอาหารการกินในชีวิตประจำวันและการรักษาผู้ป่วย
นอกจากนั้น ในกลุ่มอูรักลาโวยจยังมีความเชื่อเกี่ยวกับหมายเลข 7 ที่อาจสืบเนื่องจากความเชื่อเรื่อง บุตร 7 คน ของโต๊ะอาดั๊บและโต๊ะสิตีฮาวา เช่น ในพิธีลอยเรือ ตัวเรือปลาจั๊ก หรือลาจัง ยาว 7 ศอก มีกรรเชียง 7 คู่ ไม้กันผี 7 ต้น ยาวต้นละ 7 ศอกบทเพลงรำมะนาที่ใช้ในพิธีลอยเรือและพิธีแก้บนเริ่มด้วยเพลงบรรพบุรุษ 7 เพลง ในบทเพลงกล่าวถึงการไว้เกลื้อน 7 ดอก และมีพิธีแก้บนด้วยการสร้างบ้าน 7 ชั้น เป็นต้น (อาภรณ์อุกฤษณ์, 2532 : 211)
ปัจจุบันรูปแบบและรายละเอียดของพิธีลอยเรือของอูรักลาโวยจแต่ละกลุ่มแตกต่างกันไป บางกลุ่มไม่จัดพิธีลอยเรือแล้ว เช่นที่เกาะบูโหลนเล และเกาะบูโหลนดอน (ธานี สิงขโรทัย,สัมภาษณ์, 2559) ที่บ้านราไวย์ไม่มีพิธีลอยเรือแต่มีพิธีทำน้ำมนต์ (ชนะ หาดทรายทอง, สัมภาษณ์, 2559) บ้านเกาะจำในอดีตไม่มีพิธีลอยเรือ มีแต่พิธีเซ่นไหว้โต๊ะบุหรง ปัจจุบันเปลี่ยนมาทำพิธีลอยเรือและเซ่นไหว้โต๊ะบุหรงพร้อมกัน (อูลิน ช้างน้ำ, สัมภาษณ์, 2559) ที่แหลมตง เกาะพีพี เลิกทำพิธีลอยเรือมานานแล้วหลังจากที่โต๊ะหมอแต่งงานไปอยู่เกาะอื่น แต่ปัจจุบันได้กลับมาทำพิธีลอยเรืออีกโดยเชิญโต๊ะหมอจากเกาะลันตาไปประกอบพิธีให้ (พรสุดา ประโมงกิจ, สัมภาษณ์, 2559)
ประเพณีแลกเปลี่ยนสิ่งของและชิงเปรต
อูรักลาโวยจดั้งเดิมบนเกาะลันตา จะนำของทะเลไปแลกเปลี่ยนเสื้อผ้า อาหาร ของใช้ที่ต้องการกับชาวจีนในตลาดศรีรายา ในงานประเพณีวันสารทไทย หรือสารทเดือน 10 ของชาวไทยพุทธ ก็เช่นกัน พวกเขาจะเดินทางขึ้นบกไปยังตัวเมืองกระบี่และอำเภอใกล้เคียง ล่วงหน้า 2-3 วัน เพื่อนำผลผลิตที่ได้จากทะเล เช่น ปลาเค็ม ปลาย่าง ปะการัง กัลปังหา เปลือกหอย ไข่มุก และกำไลกระ ฯลฯ ไปแลกกับเสื้อผ้า อาหารของใช้จำเป็นกับคนเมือง และไปร่วมพิธีชิงเปรต เพื่อเก็บขนมพอง ขนมลา ข้าวปลาอาหาร และเงินที่ชาวไทยพุทธนำไปตั้งไหว้เปรต ในวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน10 ในช่วงนี้คนเมืองจะเตรียมเสื้อผ้าอาหารมาบริจาคด้วย ในทัศนะของอูรักลาโวยจไม่ใช่เรื่องที่น่าอายเพราะเป็นน้ำใจที่คนรวยจะแบ่งปันช่วยเหลือ คนยากจน และเป็นความเชื่อว่าต้องไปรับบุญไม่เช่นนั้นวิญญาณบรรพบุรุษจะอดอยาก ไม่ได้กินบุญ แม้ชาวเล อูรักลาโวยจที่มีฐานะร่ำรวยก็ต้องมาร่วมในประเพณีนี้ ปัจจุบันอูรักลาโวยจผู้สูงอายุและเด็ก ๆ ยังคงปฏิบัติอยู่ แต่หนุ่มสาวรุ่นใหม่ส่วนใหญ่ไม่ไปร่วมแล้ว (อาภรณ์อุกฤษณ์, 2554: 197)นอกจากชาวเลอูรักลาโวยจบนเกาะลันตาแล้วกลุ่มอื่น ๆ ทั้งในจังหวัดกระบี่ ภูเก็ต และสตูล ก็เข้าร่วมพิธีประเพณีแลกเปลี่ยนสิ่งของและชิงเปรตตามวัดในตัวอำเภอ และตัวจังหวัดที่อาศัยอยู่ หรือเดินทางไปต่างจังหวัดก็มี แต่ปัจจุบันเดินทางไปเข้าร่วมน้อยลง ส่วนใหญ่จะเป็นผู้สูงอายุและเด็ก ๆ เท่านั้น
ประเพณี เทศกาล และพิธีกรรมที่เกี่ยวกับชีวิต
การตั้งครรภ์และคลอดบุตร
เมื่อสาวชาวอูรักลาโวยจตั้งครรภ์ถึงกำหนดจะคลอด “โต๊ะบิดัด” หรือหมอตำแยจะทำคลอดให้โดยใช้ไม้ไผ่เหลาบางตัดสายสะดือ และอาบน้ำเย็นก่อนอาบน้ำอุ่นให้เด็กดื่มน้ำผึ้งจนกระทั่งครบ 3 วัน เพื่อให้เด็กถ่ายของเสียออก แล้วให้ดื่มนมแม่จนกระทั่งหย่านมหลังคลอดได้ 3 วัน จะทำพิธีเซ่นไหว้ตายายและเลี้ยงฉลองหรือ “ทำนู้หรี” โต๊ะบิดัดจะช่วยดูแลแม่และลูกในช่วงที่แม่อยู่ไฟ 7-9 หรือ 15 วัน ในช่วงนี้ผู้เป็นแม่จะต้องปฏิบัติตัวตามกฎข้อห้ามอีกหลายประการ เมื่อครบ 44 วัน พ่อแม่จะทำพิธีเซ่นไหว้ตายายอีกครั้ง
การแต่งงาน การหย่าร้าง
ประเพณีการแต่งงานของอูรักลาโวยจผู้ชายจะเข้าไปอยู่บ้านฝ่ายหญิง เพื่อนำแรงงานเข้าบ้านเช่นเดียวกับสังคมเกษตรกรรมทั่วไป หนุ่มสาวชาวอูรักลาโวยจจะแต่งงานประมาณอายุ 14-18 ปี บางคู่จะมีการสู่ขอหมั้นและแต่งงานตามประเพณีแต่บางคู่อยู่กินกันก่อนจึงจัดพิธีแต่งงาน หรือพาหนีแล้วค่อยกลับมาขอขมา ก่อนพิธีหมั้น ผู้ใหญ่ฝ่ายชายจะไปขอถึง 3 ครั้งหากได้รับการตอบรับจะไปขอหมั้น หรือ “ปากัยตูนัง” และนัดแนะวันแต่งงาน ก่อนแต่งงาน 3 วัน ฝ่ายชายจะต้องมาอาสางานบ้านผู้หญิง เช่น หาบน้ำ ผ่าฟืน ฯลฯ ในวันแต่งขบวนแห่จะให้เจ้าบ่าวขี่คอเดินวนซ้ายรอบบ้านเจ้าสาว 3 รอบ ก่อนย่างเข้าประตูผู้ใหญ่ฝ่ายเจ้าสาวจะถามว่า “มีเรือไหม มีแหไหม มีซัมปัง (ฉมวก) ไหม”หากเจ้าบ่าวตอบว่า “มี” ก็อนุญาตให้เข้าบ้านได้ก่อนเข้าบ้านจะมีคนล้างเท้าให้ก่อนข้ามธรณีประตู เพื่อนเจ้าบ่าวจะนำเสื่อและหมอนไปวางในห้องเจ้าสาว เจ้าภาพจะปะแป้งให้แขกเหรื่อที่มาร่วมงานเลี้ยง บางแห่งจะมีการแจกบุหรี่คนละตัวเป็นของชำร่วยแก่แขกที่ให้เงินช่วยงาน
เช้าวันรุ่งขึ้นแขกที่เหลือและพ่อแม่ญาติพี่น้องจะส่งตัวเจ้าบ่าวและเจ้าสาวลงเรือไปผจญภัยตามหมู่เกาะต่าง ๆ กลางทะเล พร้อมกับข้าวสาร น้ำจืดและเครื่องมือจับปลา เพื่อให้ฝ่ายชายพิสูจน์ตัวเองว่าสามารถทำมาหาเลี้ยงภรรยาได้ขาไปผู้ชายเป็นฝ่ายกรรเชียงเรือให้ผู้หญิงนั่งหัวเรือ ตอนขากลับหากผู้หญิงกรรเชียงเรือให้ผู้ชายเป็นฝ่ายนั่งหัวเรือ เป็นที่เข้าใจกันว่าทั้งคู่ได้เสียกันแล้ว หากตรงกันข้ามแสดงว่าผู้หญิงยังบริสุทธิ์ ระยะแรกที่แต่งงานกันสามีภรรยาจะนอนหมอนใบเดียวกัน หากนอนคนละใบแสดงว่าผู้หญิงไม่รักฝ่ายชาย (อาภรณ์อุกฤษณ์, 2532 : 100)
พิธีแต่งงานของชาวอูรักลาโวยจแต่ละแห่ง ปัจจุบันปรับเปลี่ยนแตกต่างกันไปตามสังคมภายนอกที่ติดต่อสัมพันธ์ด้วย เจ้าบ่าวจะสวมสูท และเจ้าสาวสวมชุดเจ้าสาวแบบสากล และแต่งหน้าเช่นเดียวกับชาวไทยและชาวจีน มีการจัดงานเลี้ยงแขกเหรื่อที่ไปร่วมงาน บางกลุ่มมีการรดน้ำสังข์ด้วย ไม่มีการถามคำถามที่ว่า “มีเรือไหม มีแหไหม มีซัมปัง (ฉมวก) ไหม” และไม่มีการส่งตัวเจ้าบ่าวเจ้าสาวลงเรือไปผจญภัยตามหมู่เกาะต่างๆ กลางทะเล เพื่อให้ฝ่ายชายพิสูจน์ตัวเองว่าสามารถทำมาหาเลี้ยงภรรยาได้เหมือนในอดีต
การหย่าร้าง
สามีภรรยาชาวเลคู่ใดอยู่กินกันแล้วมีความขัดแย้งจนไม่สามารถอยู่ร่วมกันได้อีกต่อไปสามารถหย่าร้างกันได้ด้วยวิธีตกลงด้วยวาจา โดยนั่งหันหน้าเข้าหากัน แล้วผลัดกันพูดว่า “เกาตีดะสูกา กูตีดะสูกา กีตาเบอตางัน” หมายถึง เธอไม่รักฉันแล้ว ฉันไม่รักเธอแล้ว เราเลิกกันดีกว่า หลังจากนั้นหากไม่กลับมาคืนดีกันต่างฝ่ายมีสิทธิแต่งงานใหม่ได้ แม้ค่านิยจะเข้มงวดในเรื่องการแตะเนื้อต้องตัว หรือการมีเพศสัมพันธ์ก่อนแต่งงานแต่ทัศนะเกี่ยวกับแม่หม้าย จะน่าเห็นใจและน่าสงสาร มากกว่าเป็นเรื่องเสียหายหรือน่ารังเกียจ (อาภรณ์อุกฤษณ์, 2532 : 101)
ความตาย และการทำศพ
ชาวอูรักลาโวยจที่เกาะลันตา หากบ้านใดมีสมาชิกในครอบครัวเสียชีวิตจะก่อกองไฟไว้หน้าบ้าน และนำข้าวปลาอาหารวางไว้หน้ากองไฟตลอด 3 วัน 3 คืน หากเสียชีวิตในช่วงเช้าจะทำพิธีฝังศพตอนเย็น หากเสียชีวิตหลังเที่ยงวัน จะทำพิธีฝังในวันรุ่งขึ้นเช่นเดียวกับมุสลิม ในช่วงที่รอเวลา เจ้าภาพจะเลี้ยงข้าวปลาอาหารและเหล้าแก่ญาติพี่น้องและเพื่อนบ้านที่นำข้าวสารน้ำตาลและสิ่งของจำเป็นมาช่วยงานและให้กำลังใจ ผู้ชายจะช่วยกันทำโลงศพ ซึ่งเดิมใช้ไม้ไผ่สานเป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้า ปัจจุบันใช้ไม้กระดานแบบโลงศพทั่วไป พิธีอาบน้ำศพ วางศพพาดลงบนตักลูก ๆ ที่นั่งเหยียดเท้าเรียงกันตามลำดับจากทิศใต้ไปยังทิศเหนือ ศีรษะอยู่บนตักของลูกคนโตที่นั่งทางทิศใต้ ลำตัวอยู่บนตักลูกคนกลาง เท้าวางบนตักลูกคนเล็กทางทิศเหนือ หากไม่มีลูกจะเป็นหน้าที่ของญาติสนิท โต๊ะหมอจะทำพิธีอาบน้ำศพเป็นคนแรก ต่อด้วยญาติพี่น้อง เพื่อนบ้าน เมื่อเสร็จพิธีลูก ๆ หรือญาติที่ประคองศพจะต้องล้างตัวด้วยน้ำมะนาวผสมใบสะบ้า เพื่อไม่ให้วิญญาณผู้ตายติดตัว ศพจะถูกทาแป้งแต่งตัวและทาน้ำมันหอมก่อนบรรจุในโลงศพที่ปูด้วยเสื่อ และใช้ผ้าขาวยาว 9 ศอกคลุมบนศพ นำข้าวของเครื่องใช้ของผู้ตายบรรจุลงไปในโลงด้วย สำหรับเด็ก ๆ ที่เป็นลูกหลานจะใช้ผ้าขาวยาว 1 ศอก ที่เหลือฉีกเป็นชิ้นเล็ก ๆ ผูกคอขณะยกโลงศพไปป่าช้าให้ลอดโลงศพคนละ 3 รอบ ขบวนแห่ศพไปฝังที่ชายทะเล เมื่อหย่อนโลงศพลงในหลุม ผ่ามะพร้าวที่เตรียมไว้ เป็น 2 ซีก ราดน้ำมะพร้าว ลงบนศพมะพร้าวซีกที่มีตา คว่ำลงบนตำแหน่งสะดือของศพ อีกซีกให้ลูกหลานไปกินที่บ้าน เมื่อโต๊ะหมอทำพิธีและญาติพี่น้องช่วยกันกลบหลุมแล้ว จะปลูกมะพร้าวอีกลูกที่มีหน่อไว้ปลายเท้าศพและให้ผู้ที่หามศพ จับคู่กันทีละ 2 คน ยืนหันหลังให้กันคนละฟากของปากหลุม ทำพิธีเวียนผ้าขาวม้า เป็นอันเสร็จพิธี ระหว่างทางกลับบ้านล้างมือล้างเท้า ด้วยน้ำผสมมะนาวและใบสะบ้าที่วางไว้ริมทางตอนขาไป และเด็ดใบไม้หรือดอกไม้ทัดหู เพื่อไม่ให้วิญญาณผู้ตายจำได้และติดตามกลับไปบ้าน หลังจากนั้นอีก 3 วัน จะเลี้ยงอาหาร ดับกองไฟ และทำบุญผู้ตายอีกครั้งในพิธีแต่งเปรวในเดือน 4 หรือเดือน 5 ปัจจุบันมีการวางรูปถ่ายหน้าโลงศพ และหลังจากดับกองไฟแล้ว นำรูปถ่ายไปวางบนหิ้งในบ้านพร้อมกับกระถางธูป ตามแบบอย่างของชาวจีน (อาภรณ์อุกฤษณ์, 2532 : 107)
พิธีฝังศพของอูรักลาโวยจแต่ละชุมชนจะแตกต่างกันไปบ้าง เช่นที่แหลมตุ๊กแก จังหวัดภูเก็ต ญาติผู้ตายจะต้องนำของ 3 อย่างไป คือ หน่อมะพร้าว 1 หน่อ มะพร้าวปอกเปลือกแล้ว 3 ลูก และน้ำ 1 กะละมัง (สมัยก่อนจะผสมเปือกต้นสะบ้าลงในน้ำด้วย)เพื่อใช้สำหรับล้างมือล้างหน้าก่อนกลับบ้านหลังเสร็จพิธีฝังศพและผู้ไปร่วมพิธีฝังศพจะต้องพกของมีคมติดตัวไปคนละชิ้นเมื่อวางศพลงหลุม โต๊ะหมอผู้ประกอบพิธีจะผ่ามะพร้าว 2 ผล เทน้ำมะพร้าวบนโลงศพและคว่ำกะลามะพร้าวบนโลงศพ ตัวแทนผู้หามศพ 2 คน จะยืนตรงกันสองฝั่งปากหลุมโดยหันหลังให้กันแล้วทำพิธีเวียนผ้าชุบ (ผ้าขาวม้า) โดยส่งผ่านจากขาวมือของคนหนึ่งไปให้อีกคนหนึ่งด้วยมือซ้าย ซึ่งอีกคนจะรับด้วยมือขวาเช่นกัน แล้วส่งกลับมาให้คนแรกด้วยมือซ้าย จนครบ 3 รอบเพื่อให้ดวงวิญญาณของผู้ตายลืมเหตุการณ์สมัยยังมีชีวิตอยู่ จะได้ไม่มาหลอกหลอนลูกหลานหลังจากนั้นผู้หามทุกคนนั่งรอบปากหลุม โต๊ะหมอกำดินทั้งสองมือวางบนบ่าของผู้หาม ว่าคาถาแล้วซัดดินในมือลงในหลุมคนละ 3 ครั้ง จนครบทุกคน แล้วผู้มาร่วมพิธีช่วยกันหยิบดินโรยบนโลงศพเพื่อกลบดินให้สูงขึ้น พร้อมกับปลูกมะพร้าว 1 ต้น หลังจากนั้น 3 วัน หรือ 7 วัน ญาติพี่น้องก็มานำข้าวปลาอาหารมาทำบุญให้ผู้ตาย(พิมพิไล ตั้งเมธากุล. 2529 : 50,55 )
ปัจจุบันชาวอูรักลาโวยจที่นับถือศาสนาพุทธจะนิมนต์พระไปสวดในงานศพด้วย ส่วนกลุ่มที่นับถือศาสนาอิสลาม เช่น ชาวเลเกาะปอ และเกาะบูโหลนจะปฎิบัติศาสนกิจและทำพิธีฝังศพตามหลักศาสนาอิสลามและกลุ่มที่นับถือคริสต์ก็จะทำพิธีตามหลักศาสนาคริสต์
ประเพณีเซ่นไหว้ผีบรรพบุรุษ
เดิมอูรักลาโวยจอาศัยอยู่ในชุมชนเดียวกันจะทำพิธีเซ่นไหว้วิญญาณบรรพบุรุษร่วมกัน เช่น บ้านหัวแหลมเกาะลันตา แยกย้ายกันอยู่ 4 กลุ่ม คือ กลุ่มบ้านหัวแหลมกลางกลุ่มอ่าวสังกาอู้กลุ่มอ่าวบาเระ และกลุ่มอ่าวคลองปอ (ปัจจุบันย้ายกลับมารวมกับกลุ่มสังกาอู้) แต่ละกลุ่มจะมีวิญญาณบรรพบุรุษประจำชุมชนของตนเอง ต่างกลุ่มต่างทำพิธีเซ่นไหว้ปีละครั้ง (อาภรณ์อุกฤษณ์, 2532 : 108) นอกจากนั้น ในอดีตเคยมีพิธีเซ่นไหว้วิญญาณบรรพบุรุษที่สิงสถิตอยู่ตามธรรมชาติ เช่น เจ้าทะเลเจ้าถ้ำ เจ้าเกาะ เจ้าแหลม ฯลฯก่อนหรือหลังพิธีลอยเรือในเดือน 6 และเดือน 11 เพื่อร้องขอว่าเมื่อลมพลัด (ลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้) หรือลมออก (ลมมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือ) พัดมาขอให้ลูกหลานหาปลาได้มาก ๆ อย่าเจ็บ อย่าไข้ และขอให้ปลอดภัยในการออกทะเล แต่ปัจจุบันพิธีนี้เลิกไปแล้ว (อาภรณ์อุกฤษณ์,. 2532 : 108) ชาวอูรักลาโวยจกลุ่มอื่น ๆ ต่างมีบรรพบุรุษประจำกลุ่มเช่นกัน แต่เมื่อมีพิธีสำคัญ เช่น พิธีลอยเรือนอกจากแต่ละกลุ่มจะเชิญบรรพบุรุษประจำกลุ่มของตัวเองมาร่วมในพิธีแล้ว ยังเชิญบรรพบุรุษของกลุ่มอื่นมาร่วมพิธีด้วย
การรักษาโรคภัยไข้เจ็บ
ประเพณีรักษาพยาบาลและการแก้บนเป็นความเชื่อในกลุ่มชาวเล เมื่อเกิดการเจ็บป่วย หรือความผิดปกติที่เกิดขึ้นจากธรรมชาติ เช่น เกิดภัยพิบัติทางทะเล เกิดมรสุมไม่ตรงตามฤดูกาล ทำมาหากินฝืดเคือง หรือสมาชิกในชุมชนประสบอุบัติเหตุบาดเจ็บ เชื่อกันว่าเป็นการลงโทษจากสิ่งเหนือธรรมชาติหรือผีบรรพบุรุษ ดังเช่น ที่แหลมตุ๊กแก เดิมอูรักลาโวยจเชื่อว่าการเจ็บไข้ได้ป่วยนั้นสาเหตุมาจาก “ผีกิน” การรักษาพยาบาลจึงเป็นหน้าที่ของหมอผีประจำบ้าน ที่จะต้องปัดรังควานขับไล่ หรือทำพิธีเชิญให้ผีออกไป วิธีบำบัดรักษาส่วนมากใช้วิธีร่ายเวทย์มนต์คาถา เป่ามนต์บนศีรษะผู้ป่วย แล้วทำน้ำมนต์ให้ดื่มระยะเวลาในการรักษาใช้เวลา 3 วัน หยุด 1 วัน หากอาการมาทุเลาก็รักษาต่ออีก 3 วัน หยุด 1 วัน เป็นระยะๆ ไปเรื่อยจนกว่าอาการไข้จะหาย หรืออาจใช้วิธีเสกหมากเสกพลูให้กินหรือทา บางครั้งก็ใช้รากไม้ฝนกับน้ำแล้วทาตามร่างกาย หรือรักษาหลายวิธีผสมกันไป หากอาการไข้ไม่หายจึงนำผู้ป่วยไปโรงพยาบาล หรือสถานีอนามัย (พิมพิไล ตั้งเมธากุล. 2529 : 37-38)
เช่นเดียวกันกับชุมชนชาวเล เกาะลันตา หากมีเด็กเจ็บไข้เล็กน้อย ปวดท้อง เป็นชันตุจะรักษากันเองด้วยการ เคี้ยวหมากพลูหรือใบไม้ พอกลงไปตรงที่เจ็บ และร้องขอต่อผีบรรพบุรุษไม่ให้ลงโทษเด็ก หากอาการป่วย หรือประสบเคราะห์ร้ายที่รักษาเองไม่ได้ก็ให้โต๊ะหมอรักษา โดยหยดเทียนเพื่อสื่อสารกับบรรพบุรุษ และทำน้ำมนต์ ให้ดื่มหรืออาบไล่ผีร้ายออกจากตัว หากเจอคนไข้หรือประสบภัยพิบัติที่ค่อนข้างหนัก โต๊ะหมอจะดูหยดเทียนว่าผีบรรพบุรุษคนใดต้องการอะไร และ บนว่าหากช่วยได้สำเร็จจะแก้บนด้วยการเล่นเพลงรำมะนาของบรรพบุรุษ 7 เพลง หรือเล่นรองแง็ง หรือโนรากาบงให้ดู หรือหากเด็กหายป่วยจะยกเป็นลูกบุญธรรมให้ใคร ฯลฯ และหากอาการป่วยหนักจนอาจถึงชีวิตหรือประสบภัยพิบัติอย่างร้ายแรง เช่น โดนมรสุมกลางทะเลยังไม่กลับเข้าฝั่ง หรือเกิดโรคระบาด เกิดเหตุอาเพศในชุมชน ก็จะบนด้วยการทำ “รูมะปลีเมา” หรือสร้างบ้านจำลอง 7 ชั้น โดยใช้ไม้พังแหลลักษณะกลมและยาวทั้งต้น วางซ้อนขึ้นไปทีละคู่ สลับกันเป็นสี่เหลี่ยมจัตุรัสให้เหลื่อมเล็กลงเรื่อย ๆ จนถึงชั้นที่ 7 จะเป็นที่นั่งสำหรับผู้ที่จะเข้าพิธีแก้บน ผู้ชายทำหน้าที่สร้างบ้าน ส่วนผู้หญิงจะทำขนมต้ม (ข้าวต้มลูกโยน)ผูกโยงไว้บนบ้านจำลองทั้ง 7 ชั้น ในงานพิธีจะมีการเลี้ยงฉลอง ร้องรำทำเพลงตลอดเวลา 1 วัน 1 คืน ก่อนเสร็จพิธี สมาชิกที่เข้าร่วมพิธีทุกคนจะตักน้ำมนต์ในตุ่มใหญ่ที่โต๊ะหมอเสกไว้ สาดไปที่ตัวผู้นั่งแก้บนบนบ้าน 7 ชั้น จนน้ำมนต์หมดตุ่ม พิธีนี้ปัจจุบันเลิกทำไปแล้ว มีการทำครั้งสุดท้ายประมาณ 50-60 ปีที่แล้ว โดยนายเหง็ม ทะเลลึก เป็นผู้บนหลังจากมีการสร้างโรงพยาบาลรัฐขึ้นใกล้บ้านหัวแหลมกลาง โรคบางโรคที่โต๊ะหมอรักษาไม่หายก็จะแนะนำให้ไปหาหมอที่โรงพยาบาล (อาภรณ์อุกฤษณ์,2532: 101-104)
ผู้นำในการประกอบพิธีกรรม
ในระดับผู้นำกลุ่ม นอกจากจะมีผู้ใหญ่บ้าน ซึ่งได้รับแต่งตั้งจากทางราชการแล้ว ชาวอูรักลาโวยจจะมี “โต๊ะหมอ” ซึ่งผู้นำกลุ่มที่ผ่านการเรียนวิชาทางด้านไสยศาสตร์ จนสามารถเป็นผู้นำในการประกอบพิธีกรรมได้และเป็นที่ยอมรับของสมาชิกในกลุ่ม
โต๊ะหมอ เป็นผู้นำกลุ่มที่ได้รับเลือกจากสมาชิกในกลุ่มให้สืบทอดตำแหน่งและหน้าที่ต่อเนื่องกันมาตั้งแต่บรรพบุรุษ เมื่อมีกิจกรรมต่าง ๆ เกี่ยวกับพิธีกรรมความเชื่อ สมาชิกในกลุ่มจะเชิญโต๊ะหมอไปเป็นผู้นำในการประกอบพิธีกรรม เช่น พิธีแก้บน พิธีศพ พิธีเกี่ยวกับการให้กำเนิดทารก พิธีลอยเรือ พิธีรักษาผู้ป่วย เป็นต้น นอกจากนั้นโต๊ะหมอยังมีบทบาทหน้าที่ในการดูแลทุกข์สุข และแก้ปัญหาความขัดแย้งในชุมชนด้วย จึงนับว่า โต๊ะหมอเป็นผู้นำกลุ่มที่มีบทบาทหน้าที่ทั้งทางโลกและทางธรรม
การปฏิบัติหน้าที่ของโต๊ะหมอจะมีผู้ช่วยที่มีความชำนาญพิเศษเฉพาะด้าน เช่น ผู้ช่วยฝ่ายจัดยาสมุนไพรตามคำสั่งของโต๊ะหมอ หมอตำแยซึ่งทำหน้าที่ทำคลอดให้สมาชิกในกลุ่ม ผู้ช่วยฝ่ายพิธีกรรมซึ่งสามารถปฏิบัติหน้าที่แทนโต๊ะหมอได้ (เฉพาะที่โต๊ะหมออนุญาตให้เป็นตัวแทน) และผู้ช่วยฝ่ายประสานงาน
ทั้งนี้ ผู้ช่วยฝ่ายต่าง ๆ รวมทั้งผู้ใหญ่บ้านและสมาชิกในชุมชนจะให้ความเคารพและนับถือโต๊ะหมอทั้งในฐานะที่เป็นผู้อาวุโสที่มีความรู้ความสามารถและเป็นญาติผู้ใหญ่ด้วย เนื่องจากในชุมชนอูรักลาโวยจต่างก็มีความสัมพันธ์ทางเครือญาติกัน
การแสดง มหรสพ และการละเล่น :
การแสดง มหรสพ และการละเล่น
เครื่องดนตรีและเพลงรำมะนา การแสดงพื้นบ้าน ซึ่งเป็นอัตลักษณ์ที่ชาวอูรักลาโวยจนำติดตัวมาใช้เล่นในพิธีกรรมต่าง ๆ เช่น พิธีลอยเรือ และพิธีแก้บน ฯลฯ เครื่องดนตรีประกอบด้วย กลองรำมะนา 2-3 ใบ กลองทน 2 ใบซอ หรือไวโอลิน 1 ตัว จะเพิ่มฉิ่งและฉาบก็ได้ ส่วนนักดนตรี แม่เพลงหรือพ่อเพลง และลูกคู่ ส่วนใหญ่จะเป็นชุดเดียวกัน ในอดีตแม่เพลงจะเป็นผู้เปิดวงด้วยการขับเพลงรำมะนา 7 เพลง ที่ถ่ายทอดมาจากบรรพบุรุษก่อน เพื่อบอกกล่าวและเชิญชวนให้มาร่วมสนุกสนานหลังจากนั้นจึงสามารถขับเพลงอื่น ๆ รวมทั้งเพลงที่แต่งขึ้นใหม่ได้ปัจจุบันในกลุ่มอูรักลาโวยจหลายกลุ่มยังคงเล่นรำมะนาอยู่ เช่น บ้านหัวแหลมสังกาอู้บ้านหัวแหลมกลางแต่ไม่มีแม่เพลงแล้ว มีแต่พ่อเพลงผู้ชาย2-3 คน สลับกันร้องและเล่นดนตรี ส่วนนักดนตรีที่เหลือเล่นดนตรีไปด้วยเป็นลูกคู่ไปด้วย ในงานพิธีลอยเรือ จะมีการเล่นรำมะนา ขับเพลงและรำรอบเรือ และรอบไม้กันผี 1 วง และมีเวทีรำวงอีก 1 วง ในอดีตหากถึงช่วงที่ทำพิธีทุกขั้นตอนทุกคนจะหยุดรำวง วิ่งมารำรอบเรือ หรือรอบไม้กันผีผู้ใหญ่จะอุ้มเด็กเล็ก ๆ เข้าไปรำด้วยเพราะเชื่อว่าจะได้บุญแต่เด็กอูรักลาโวยจรุ่นใหม่ไม่ค่อยสนใจพิธีกรรมชอบรำวงมากกว่า (อาภรณ์ อุกฤษณ์, 2532 : 204) ปัจจุบันชาวเลอูรักลาโวยจกลุ่มอื่น ๆ ก็ไม่มีแม่เพลงแล้ว บางกลุ่มไม่มีผู้สืบทอด การเล่นรำมะนาแล้ว เช่น ที่เกาะบูโหลน
ท่ารำประกอบบทเพลงรำมะนา คล้ายท่าทางของปูเหล็กไฟหรือปูหิน ดังปรากฏในตำนานท่ารำปูเหล็กไฟ ที่เล่ากันในกลุ่มอูรักลาโวยจเกาะลันตาว่า ชาติก่อนชาวอูรักลาโวยจเป็นนางรำของพระพุทธเจ้าบนสวรรค์แต่เมื่อถึงเวลารำไม่ออกมารำตามเวลา มัวแต่เห็นแก่กิน จึงถูกสาปให้ลงมาเป็นอูรักลาโวยจ ก้มหน้าแทงปลาอยู่ในทะเล จนกระทั่งเห็นท่ายกก้ามของปูเหล็กไฟ (ปูหิน) จึงจำได้ว่าเป็นท่ารำในอดีต “โต๊ะลาแกกึตัมบาตู” ซึ่งมีอัตลักษณ์เป็นปูเหล็กไฟจึงเป็นต้นแบบท่ารำรำมะนาในพิธีลอยเรือตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา และเชื่อกันว่าโต๊ะ ลาแกกึตัมบาตูเป็นผู้ถ่ายทอดวิชาลอยเรือให้โต๊ะหมอด้วย (อาภรณ์ อุกฤษณ์, 2532 : 91)
รองแง็งเป็นวัฒนธรรมที่รับมาจากชาวมุสลิม และด้วยมีลักษณะการร้องรำทำเพลงคล้ายคลึงกับการเล่นรำมะนา จึงสามารถนำมาพัฒนา จนกระทั้งผสมกลมกลืนกับวิถีชีวิต และมีคณะรองแง็งที่เป็นอัตลักษณ์ของกลุ่มชาวเลอูรักลาโวยจเองบทเพลงรองแง็งของอูรักลาโวยจจะขับเป็นภาษามลายูกลาง เรียกว่า “ขับแขก” ศิลปินอูรักลาโวยจบ้านสังกาอู้ ที่มีชื่อเสียงในการขับเพลงรองแง็ง ในอดีต ชื่อ บุญเติมทะเลลึก (สุวรรณกุล) ต่อมาย้ายไปอยู่เกาะหลีเป๊ะ แต่งงานกับคนไทยส่วนนางรำ ชื่อแลอ๊ะทะเลลึก (หาญกล้า) ต่อมาแต่งงานกับชาวมุสลิม คณะรองแง็งของชาวเกาะลันตา ซึ่ง มีนักดนตรีและนางรำ จากสมาชิกชาวเกาะลันตาทุกกลุ่มชาติพันธุ์รวมทั้งชาวเลอูรักลาโวยจด้วย เคยได้รับความนิยมมาก ก่อนที่รำวงแพร่กระจายเข้าไปบนเกาะลันตา (อาภรณ์ อุกฤษณ์, 2554 : 204-205) ปัจจุบันโครงการฟื้นฟูวิถีชีวิตดั้งเดิมของชาวเกาะลันตาหลังภัยพิบัติสึนามิได้ให้ความสำคัญกับการอนุรักษ์การแสดงพื้นบ้านของอูรักลาโวยจด้วยการสร้างบ้านรองแง็งเพื่อให้เป็นศูนย์การเรียนรู้ และเป็นพื้นที่สำหรับสืบทอดศิลปะการแสดงพื้นบ้านให้กับศิลปินรุ่นใหม่ และจัดหาเครื่องดนตรีให้ แต่ยังขาดผู้นำในการบริหารจัดการ จึงไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร แต่มีคณะรองแง็งที่สามารถรับงานแสดงทั้งในและนอกชุมชนได้ (อาภรณ์ อุกฤษณ์, 2554 : 205) บนเกาะหลีเป๊ะ และแหลมตุ๊กแกก็ยังมีวงรองแง็ง เล่นในโอกาสต่าง ๆ และเดินทางไปร่วมแสดงในงานรวมญาติของชาวเลที่จัดขึ้นทุก ๆ ปี
รำวง ศิลปะการแสดงพื้นบ้านของภาคกลางที่อูรักลาโวยจรับเข้าไปใช้ในการร้องรำทำเพลง เพื่อความบันเทิงในงานแต่งงาน และงานพิธีลอยเรือควบคู่กับการเล่นรำมะนาในช่วงที่ประกอบพิธีกรรม ปัจจุบันยังคงเล่นอยู่ ทั้ง 2 อย่าง แต่เด็กวัยรุ่นนิยมชมชอบรำวงมากกว่า การรำวงจะมีดนตรีและนางรำผู้หญิงที่เปิดโอกาสให้ผู้ชายขึ้นไปโค้งเป็นคู่รำเช่นเดียวกับการรำรองแง็ง แต่บทเพลงรำวงเป็นภาษาไทย นอกจากนั้น จากคำบอกเล่า พบว่าในอดีตกลุ่มอูรักลาโวยจนิยมเล่นโนรากาบง มะโย่งและกาหยง หรือสีลัต ซึ่งเป็นการแสดงพื้นบ้านของชาวมุสลิมด้วย
วรรณกรรมท้องถิ่น :
วรรณกรรมท้องถิ่น
ตำนานความเชื่อ ที่กล่าวถึงในนี้เป็นตัวอย่างตำนานที่เล่ากันในกลุ่มชาวอูรักลาโวยจบนเกาะลันตาซึ่งเป็นกลุ่มที่อาศัยบริเวณหมู่เกาะลันตามายาวนานที่สุด และเนื่องจากชาวอูรักลาโวยจไม่มีภาษาเขียน
การบันทึกเรื่องราวประวัติศาสตร์เพื่อสืบทอดไปสู่ลูกหลานจึงผูกเรื่องเป็นตำนานเพื่อให้ง่ายแก่การจดจำและสะดวกในการสืบทอดต่อไป เช่นเดียวกับกลุ่มชาติพันธุ์ดั้งเดิมทั่วไป และด้วยวิถีชีวิตที่สัมพันธ์ใกล้ชิดกับสภาพแวดล้อมธรรมชาติมากที่สุด มีความเชื่อในสิ่งเหนือธรรมชาติและผีบรรพบุรุษ จึงมีตำนานเรื่องเล่าเกี่ยวกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ตามความเชื่อดั้งเดิมของกลุ่ม ซึ่งเป็นอัตลักษณ์ที่มีตัวตน สามารถมองเห็นได้ ในรูปลักษณ์ของสัตว์บก สัตว์น้ำ ต้นไม้ ทะเล และสถานที่บนเกาะและหมู่เกาะใกล้เคียงมากที่สุด ดังตัวอย่างตำนานที่บันทึกจากคำบอกเล่าของชาวเลอูรักลาโวยจบนเกาะลันตา และหมู่เกาะใกล้เคียง
ตำนานโต๊ะอาโฆ๊ฮฺเบอราตัยหรือโต๊ะแหลมทอง เดิมเป็นจอมปลวกและมีงูตัวใหญ่เลื้อยมาขดตัวเป็นประจำ เชื่อกันว่าโต๊ะอาโฆ๊ฮฺเบอราตัย สิงสถิตในตัวงู ชาวบ้านหัวแหลมจึงร่วมใจกันสร้างศาลให้เป็นที่อยู่ในอดีตชาวมุสลิม ที่มีสวน มีนา บริเวณนั้นจะร่วมกันจัดงานฉลองด้วย แต่ปัจจุบันเลิกทำไปแล้ว หลังจากนั้นมีการทำพิธีเชิญวิญญาณมาสิงสถิตร่วมกับศาลโต๊ะซิตีฮาวา เรียกกันว่า ศาลโต๊ะอาโฆ๊ฮฺเบอราตัยชาวเลอูรักลาโวยจยังคงทำพิธีไหว้ศาล และเวียนไม้ระกำก่อนทำพิธีลอยเรือ ในเดือน 6 และเดือน 11 ก่อนจะเกิดคลื่นยักษ์สึนามิ ไม่นานนัก ชาวเลอูรักลาโวยจต้องย้ายศาลโต๊ะ อาโฆ๊ฮฺเบอราตัยและสุสานมาไว้ทางทิศเหนือของชุมชนบ้านหัวแหลมกลาง (อาภรณ์อุกฤษณ์, 2532 : 87-88)
ตำนานโต๊ะเมอเต็กฮูดือ เป็นผีบรรพบุรุษที่สิงสถิตอยู่ในแอ่งน้ำจืดในป่า บนเกาะลันตาระหว่างชุมชนบ้านหัวแหลมกลางและหัวแหลมสุด ตามตำนานเล่าว่า มีชายคนหนึ่งขึ้นไปตัดต้นเต่าร้างกินเป็นอาหารตอนขากลับขณะแบกต้นเต่าร้างจะไปลงเรือ ได้ผ่านแอ่งน้ำตาผุด (แอ่งที่มีตาน้ำไหล) แห่งหนึ่ง บังเอิญเท้าของชายผู้นั้นเหยียบพลาดลงไปในแอ่งน้ำนั้น แล้วปรากฏว่าตัวคนจมหายไปเหลือแต่ต้นเต่าร้างขวางแอ่งน้ำอยู่ จึงเชื่อว่าแอ่งน้ำนั้นเป็นที่สิงสถิตของโต๊ะเมอเต็กฮูดือ (อาภรณ์ อุกฤษณ์, 2532 : 87)
ตำนานโต๊ะเบอแล็บบึรายุค (โต๊ะเบอแล็บโต๊ะฮา) ผีบรรพบุรุษผู้หญิงสิงสถิตอยู่ที่แหลมโตนด ซึ่งอยู่ปลายแหลมสุดของเกาะลันตา มีสัญลักษณ์เป็นแมงมุม นั่งแกว่งชิงช้าไม้ที่ผูกไว้กับยอดเขาสองลูก มีวิชาตัวเบา ไต่เชือกโยนตัวข้ามยอดเขาได้ เชื่อว่าเป็นผู้ถ่ายทอดวิชาหมอตำแยให้โต๊ะบิดัด (หมอตำแย) ในพิธีลอยเรือวงรำมะนาผู้หญิงจะเริ่มเล่นก่อนเพื่อเซ่นไหว้บูชาและเชิญวิญญาณของโต๊ะเบอแล็บบึรายุค ให้มาช่วยยกเรือข้ามภูเขาไปปล่อยในทะเล (อาภรณ์ อุกฤษณ์, 2532 : 88)
ตำนานโต๊ะบุหรง เล่ากันว่าครั้งหนึ่ง ขณะที่บรรพบุรุษของอูรักลาโวยจเผชิญกับพายุคลื่นลมแรงกลางทะเล มีนกตัวหนึ่งบินมาเกาะเสากระโดงเรือ ทันใดนั้นพายุคลื่นลมก็สงบลงทันทีจึงเชื่อกันว่าโต๊ะบุหรง สิงสถิตใน ตัวนก สามารถห้ามลมห้ามฝนได้ และเป็นที่นับถือของอูรักลาโวยจทุกกลุ่มตามตำนาน ดังนั้นจึงแกะสลักรูปนก ไว้บนหัวเรือปลาจั๊ก หรือ ลาจัง ที่ใช้ในพิธีลอยเรือ และมีศาลโต๊ะบุหรงเป็นศาลบรรพบุรุษประจำกลุ่มอูรักลาโวยจบ้านเกาะจำ ซึ่ง ทั้งชาวเล ชาวจีน และชาวไทย บนเกาะจำนิยมไปกราบไหว้บนบาน เมื่อถึงเทศกาลตรุษจีนของทุกปีชาวจีนจะนำหัวหมูไปเซ่นไหว้ที่ศาลโต๊ะบุหรงด้วย (อาภรณ์ อุกฤษณ์, 2532 : 88)
ตำนานโต๊ะบิกง มีสัญลักษณ์เป็นปลาฉนาก มีเรื่องเล่าว่าชาวเลอูรักลาโวยจคนหนึ่งออกไปหาปลากลางทะเลลึกบังเอิญโดนมรสุม เรือล่มจมน้ำ ปรากฏว่าโต๊ะบิกงในร่างของปลาฉนากช่วยชีวิตไว้พามาส่งริมฝั่งโต๊ะบิกงเคยปรากฏตัวให้เห็นในร่างของปลาฉนากตัวกว้างประมาณ 1 วา ยาวเท่าต้นมะพร้าว มีคนขึ้นไปขี่หลัง และให้หมากพลู ใบจากเป็นเครื่องเซ่น สมัยก่อนชาวเลอูรักลาโวยจบ้านบอแหนจะทำพิธีเซ่นไหว้โต๊ะบิกง ในวันขึ้น 11 หรือ 12 13 ค่ำ โดยใช้ หมาก พลู ข้าวสารหว่านลงไปริมแม่น้ำ ในช่วงนั้นหากปลาต่าง ๆ เช่น ปลาฉลาม ปลากระเบน หรือปลาอื่น ๆ เข้ามาในบริเวณนั้น ห้ามทำอันตราย และหากใครกินปลาเหล่านั้นเป็นอาหารจะต้องไถ่บาปในพิธีลอยเรือ ด้วยการส่งวิญญาณปลาเหล่านั้นคืนเจ้าของเดิม (อาภรณ์ อุกฤษณ์, 2532 : 90)
ตำนานโต๊ะบาหลิว เป็นศาลบรรพบุรุษประจำบ้านบ่อแหน ซึ่งอยู่ทางทิศเหนือของเกาะลันตา มีสัญลักษณ์เป็นปลวก 3 ยอดติดกัน ต่อมาวิญญาณบรรพบุรุษมาเข้าฝันว่า จอมปลวกทั้ง 3 ยอดนั้น ยอดตรงกลาง คือโต๊ะบาหลิว ยอดทางซ้ายมือเป็นผู้หญิง คือ โต๊ะอาโฆฮฺเบอราตัย ขวามือเป็นผู้ชาย ชื่อ โต๊ะอีตับ ทั้งสองเป็นลูกศิษย์โต๊ะบาหลิวใครทำความผิดโต๊ะบาหลิวจะมอบหมายให้ โต๊ะอีตับลงโทษให้ไม่สบาย ปัจจุบันย้ายไปตั้งที่ศาลาด่าน (อาภรณ์อุกฤษณ์, 2532 : 89)
บรรพบุรุษเหล่านี้ อูรักลาโวยจบางกลุ่มเชื่อว่า มีความสัมพันธ์กัน เช่น อูรักลาโวยจบ้านบ่อแหนเชื่อว่า โต๊ะบาหลิว เป็นต้นตระกูลของอูรักลาโวยจ โต๊ะแซะเป็นน้องชาย โต๊ะบุหรง โต๊ะอาโฆฮฺบึราตัย และโต๊ะอีตับ เป็นลูกศิษย์ (อาภรณ์ อุกฤษณ์, 2532 : 89) ฯลฯ บรรพบุรุษเหล่านี้จะปรากฏชื่อในบทเพลงที่ใช้ในพิธีเซ่นไหว้บรรพบุรุษ และเชื้อเชิญให้มาร่วมพิธีกรรมและดูลูกหลานรำถวายในงานพิธีลอยเรือ
ตำนานความเชื่อที่สัมพันธ์กับกลุ่มชาติพันธุ์อื่น หรือรับอิทธิพลจากกลุ่มชาติพันธุ์อื่น มีตำนานเรื่องเล่าเกี่ยวกับชาวเลอูรักลาโวยจที่รับฟังจากกลุ่มชาติพันธุ์อื่น หรือจากการปฏิสัมพันธ์กับกลุ่มชาติพันธุ์ที่มีวัฒนธรรมที่เหนียวแน่นกว่าส่งผลให้อูรักลาโวยจรับวัฒนธรรมความเชื่อจากต่างกลุ่มมาผสมผสานกับวัฒนธรรมความเชื่อของตนเอง เช่น
ตำนานกำเนิดมนุษย์ของชาวมอแกน มีตำนานเรื่องหนึ่งที่น่าสนใจเกี่ยวกับกำเนิดมนุษย์ ซึ่ง Bernatzik (1958 : 40-41; อ้างถึงใน อาภรณ์ อุกฤษณ์, 2532 : 8-9) บันทึกจากคำบอกเล่าของชาวเลมอแกนที่อาศัยบริเวณหมู่เกาะมะริดว่า นานมาแล้วได้เกิดไฟล้างโลก เหลือไว้แต่ผู้หญิงคนหนึ่ง เมื่อผู้หญิงคนนั้นหันตะโพกไปทางทิศตะวันออกได้ให้กำเนิดคนผิวขาว หันตะโพกไปทางทิศเหนือให้กำเนิดพม่า หันตะโพกไปทางทิศตะวันตกให้กำเนิดชาวอินเดียหันตะโพกไปทางทิศใต้ให้กำเนิดชาวจีน หันตะโพกไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือให้กำเนิดชาวมาเลย์ หันตะโพกไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือให้กำเนิดพวกกาลา (Indian Coolies) หันตะโพกไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ ให้กำเนิดออรัง ลอนตา หรือออรังลาอุต (อูรักลาโวยจ) และเมื่อหันตะโพกไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ ก็ให้กำเนิดมอแกน (Moken) ต่อมาผู้หญิงผู้นี้ได้ขอร้องให้ยักษ์ใจดีตนหนึ่ง สร้างเกาะและสร้างโลกใหม่ให้มนุษย์โลกอาศัยอยู่จนปัจจุบัน ตำนานนี้แม้ทิศทางสับสนแต่แฝงความเชื่อที่ว่า เดิมชาวมอแกน และ อูรักลาโวยจ รวมทั้งมนุษย์เผ่าพันธุ์ต่าง ๆ มีบรรพบุรุษเดียวกัน แต่แตกแยกเผ่าพันธุ์ทิศทางที่อยู่อาศัยกันอย่างชัดเจนมานานแล้วที่สำคัญคือทัศนะของชาวมอแกนที่ปรากฏในตำนาน ได้แยกกลุ่มชาวลอนตา หรือชาวอูรักลาโวยจเป็นอีกพวกหนึ่ง เป็นชาติพันธุ์ อื่นไม่ปะปนกับตน
ตำนานกำเนิดอูรักลาโวยจ เล่ากันว่าบรรพบุรุษของอูรักลาโวยจเกิดจากลูกคนโต ในบรรดาลูก 7 คน ของโต๊ะอาดั๊บและโต๊ะสิตีฮาวา แต่มีนิสัยดื้อ เกเร ขี้เกียจเรียนหนังสือ จึงถูกไล่ให้ออกไปหากินกับทะเล ตำนานนี้ใกล้เคียงกับตำนานของชาวมุสลิมที่เชื่อว่า สืบเชื้อสายมาจากลูกคนโตของโต๊ะอาดัมและโต๊ะสิตีฮาวา และยังใกล้เคียงกับความเชื่อในศาสนาคริสต์ที่ว่า มนุษย์คู่แรกกำเนิด มาจากอาดัมและอีฟ จึงสันนิษฐานว่าน่าจะรับอิทธิพลความเชื่อมาจากสายรากเดียวกัน หรืออูรักลาโวยจได้รับการครอบงำจากกลุ่มที่มีวัฒนธรรมที่เข้มแข็งกว่า (อาภรณ์ อุกฤษณ์, 2532 : 90)
ตำนานอูรักลาโวยจเข้าแขก เล่าถึงประวัติอูรักลาโวยจที่ได้รับอิทธิพลจากศาสนาอิสลาม ในช่วงประมาณ 200-100 ปีที่ผ่านมา มีชาวมาเลเซียกลุ่มหนึ่งเข้ามาชักชวนให้อูรักลาโวยจนับถือศาสนาอิสลาม และสาปแช่งไว้ว่าหาก อูรักลาโวยจเปลี่ยนใจกลับไปกินหมูเหมือนเดิม ขออย่าให้รวมตัวกันได้ หากมีการก่อฝูงหรือรวมตัวกันขอให้มีอันเป็นไป จึงเชื่อว่าที่อูรักลาโวยจต้องอพยพหนีภัยกระจัดกระจายกันไปบ่อยครั้งในอดีตเพราะถูกสาป อีกสำนวนหนึ่งเล่าว่ามีแขกมาจากลังกาวี ชวนชาวเลเข้าแขก (เข้ารับนับถือศาสนาอิสลาม) แล้วสอนให้ทำไร่ เมื่ออิสลามคนนั้นหนีกลับบ้าน จึงแช่งว่าหากอูรักลาโวยจกลับไปกินหมู ให้ลำบาก 15 ปี ปัจจุบันเชื่อกันว่าพ้นคำสาปแช่งแล้วจึงมีความเป็นอยู่ดีขึ้น (อาภรณ์ อุกฤษณ์, 2532 : 91)
ตำนานโต๊ะแซะ ศาลศักดิ์สิทธิ์ของชาวภูเก็ต เชื่อว่าเป็นมุสลิมชาวชวา 3 น้อง ที่เดินทางจากมาเลเซียมาบุกเบิกตั้งชุมชนที่เกาะภูเก็ต (สิริพงษ์ มุกดา : ออนไลน์) ที่ศาลโต๊ะแซะมีรูปปั้นเสือหลายตัว ในตำนานของชาวภูเก็ตไม่ได้กล่าวถึงเสือ แต่โต๊ะแซะตามตำนานของชาวอูรักลาโวยจ (อาภรณ์ อุกฤษณ์, 2532 : 89) เล่ากันว่าเป็นน้องของโต๊ะบาหลิ่ว จะปรากฏตัวให้ลูกหลานกราบไหว้ในร่างของเสือ เมื่อมีการเข้าทรงม้าทรงจะแสดงกริยาคลาน 4 เท้าคล้ายเสือ ศาลโต๊ะแซะจะตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของเกาะลันตา ในพิธีลอยเรือของชาวอูรักลาโวยจเกาะลันตา จะเชิญโต๊ะแซะมาร่วมพิธีด้วย เชื่อกันว่าโต๊ะแซะจะทำหน้าที่สำรวจและรายงานต่อผีร้ายว่าชุมชนอูรักลาโวยจกลุ่มไหนได้ทำบุญให้แล้ว และหากชุมชนใดไม่ทำบุญจะถูกลงโทษ หลังจากเสร็จพิธีลอยเรือก็จะนำไม้กันผี 7 ต้น ไปปักในชุมชนอูรักลาโวยจ 7 ทิศ เว้นทิศตะวันตกไว้เพื่อเปิดทางให้โต๊ะแซะเข้ามาดูแลความปลอดภัยให้ลูกหลาน
ตำนาน“โต๊ะลาแกกึตัมบาตู” (ตำนานท่ารำปูเหล็กไฟ) เล่ากันว่า ชาติก่อนอูรักลาโวยจเป็นนางรำของพระพุทธเจ้าบนสวรรค์แต่เมื่อถึงเวลารำไม่ออกมารำตามเวลา มัวแต่เห็นแก่กิน จึงถูกสาปให้ลงมาเป็นชาวอูรักลาโวยจ ก้มหน้าแทงปลาอยู่ในทะเล จนกระทั่งเห็นท่ายกก้ามของปูเหล็กไฟ (ปูหิน) จึงจำได้ว่าเป็นท่ารำในอดีต “โต๊ะลาแกกึตัมบาตู” ซึ่งมีอัตลักษณ์เป็นปูเหล็กไฟจึงเป็นต้นแบบท่ารำ ของรำมะนาในพิธีลอยเรือตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา และเชื่อกันว่าโต๊ะลาแกกึตัมบาตูเป็นผู้ถ่ายทอดวิชาลอยเรือให้โต๊ะหมอด้วย (อาภรณ์ อุกฤษณ์, 2532 : 91)
ตำนานโต๊ะบูมั้ย เล่ากันในหมู่อูรักลาโวยจเกาะลันตาว่า มีเทศขี้หนู (แขกปาทาน) เรือแตกลอยน้ำเข้ามาติดอยู่ที่ป่าพังกา (ป่าโกงกาง) ในคลองบ้านบ่อแหน นกขี้ใส่หัวจนขาวไปหมด ตามตัวมีหอยตีเตบ (หอยนางรมเล็ก) ขึ้นไปเกาะจนตัวแข็ง คอแข็ง พูดไม่ได้ (ได้แต่กระพริบตา) มีคนไปพบแต่เมื่อพาขึ้นบนบกก็ตาย ในกลุ่มอูรักลาโวยจจึงมีเพลงหนึ่งชื่อ เพลงโต๊ะบูมั้ย เนื้อหาเล่าเรื่องโต๊ะบูมั้ย ในพิธีลอยเรือวงรำมะนาผู้หญิงจะเล่นเพลงนี้ด้วย เพื่อส่งโต๊ะบูมั้ยขึ้นบก (บูเด็น คบคน. สัมภาษณ์ : 18 กันยายน 2550 ; อ้างถึงใน อาภรณ์ อุกฤษณ์, 2554 : 191) ที่น่าสังเกต คือ โต๊ะบูมั้ยไม่ใช่อูรักลาโวยจแต่เป็นแขกปาทาน (อาภรณ์ อุกฤษณ์, 2532 : 191)
ตำนานโต๊ะแป๊ะ มีเพลงรำมะนาอีกเพลงหนึ่ง ที่ร้องกันในพิธีลอยเรือของอูรักลาโวยจบ้านสังกาอู้ และ บ้านหัวแหลมกลาง เนื้อหาพูดถึงชาวจีนคนหนึ่ง เรียกกันว่า “โต๊ะแป๊ะ” พายเรือรอบเกาะลันตา เนื้อเพลงกล่าวถึงชื่อสถานที่รอบเกาะลันตาที่โต๊ะแป๊ะพายเรือไป ขณะเดินทางเรือจะจมต้องว่ายน้ำไปขึ้นฝั่งอีกสถานที่หนึ่ง แล้วพายต่อไปเรือก็จะจมอีกที่หนึ่ง ต้องว่ายน้ำไปขึ้นฝั่งอีกที่หนึ่ง สลับกันไป แต่ละช่วงที่โต๊ะแป๊ะว่ายน้ำขึ้นฝั่งเนื้อเพลงจะพรรณนาถึงสภาพร่างกายและอาการที่เหนื่อยล้าของโต๊ะแป๊ะ ตามตำนานเล่ากันว่าโต๊ะแป๊ะและลาจังซึ่งเป็นหลานได้เดินทางจาก ฆูนุงฌึรัย มาหากินแถวเกาะลันตา แล้วทำบาปด้วยการแทงปลา ฆ่าเต่า กินเป็นอาหาร จึงถูกสาปแช่งให้พลัดบ้านพลัดเมือง อดอยาก ต้องผจญกับความทุกข์ทรมาน เพราะเรือล่มตลอดระยะเวลาที่เดินทางรอบเกาะ บทเพลงนี้เป็นเพลงไม่รู้จบจะร้องต่อกันไปได้ทั้งวันทั้งคืนหากพ่อเพลงแม่เพลงหรือนักดนตรี ไม่ง่วงหลับไปก่อน (อาภรณ์ อุกฤษณ์, 2532 : 192) ดังตัวอย่างบทเพลงบางตอนว่าที่ อาภรณ์ อุกฤษณ์,( 2532 : 283- 284) บันทึกไว้ว่า
โต๊ะบึรายุค บึรานุย ปาปัน........... ขอไหว้โต๊ะบึรายุคผู้แกว่งไม้กระดาน
ลามาลามา โต๊ะแป๊ะ ซาเกะ ตูโบฮ ดีดาลัมบาดัน...........นานมาแล้วโต๊ะแป๊ะเจ็บปวดไปทั้งตัว
มาตา ฮารี มารีมัง นะซียัง..........พระอาทิตย์จะขึ้นแล้ว
มาตา ดาโต๊ะแป๊ะ ซาฮัด ลามา บึงาตุตา..........โต๊ะแป๊ะกำลังจะหลับ
โต๊ะแป๊ะ กาลัม ดี ปาไตย กสิ ..........โต๊ะแป๊ะจมที่หาดไม้ไผ่
บีดึนัง ญาแญะ ปูเลา ยุกลี เฮ ..........ว่ายน้ำขึ้นที่แหลมโตนด
มาตา ดาโต๊ะแป๊ะ ซาฮัด ลามา บึงาตุตา..........โต๊ะแป๊ะกำลังจะปิดแล้ว
โต๊ะแป๊ะ บึฌาฆา นัจ บึดึกา..........โต๊ะแป๊ะร้องเพลงจนสว่างคาตา
โต๊ะแป๊ะ กาลัม ดี ปูเลา ปูโย๊ะ..........โต๊ะแป๊ะจมที่เกาะหม้อ
บึดึนัง ญาแญะ ดี ซูซือ ปาฮา ..........ว่ายน้ำขึ้นฝั่งที่แหลมขาเสือ
ตูโบฮ ดาโต๊ะแป๊ะ ซาฮัด ปนตูฮา ..........โต๊ะแป๊ะแก่มากแล้ว
ดาโต๊ะแป๊ะ ตีดอก ยางัน ลามาลาโย..........โต๊ะแป๊ะนอนคราง
โต๊ะแป๊ะ กาลัม ดี ซูซือ ปาฮา..........โต๊ะแป๊ะจมที่แหลมขาเสือ
บึดึนัง ญาแญะ ดี ซุไงบารู..........ว่ายน้ำขึ้นที่คลองปอ
โต๊ะแป๊ะ กาลัม ดี ซุไงบารู ..........โต๊ะแป๊ะจมที่คลองปอ
บึดึนัง ญาแญะ ดี ตาโละบาเระ..........ว่ายน้ำขึ้นฝั่งที่อ่าวบาเระ
ดาโต๊ะแป๊ะ ตีดอก ยางัน ลามาลาโย.......... โต๊ะแป๊ะนอนคราง
บากิด ตะลาลาด ดูโด๊ะ ตะบูเลฮ..........นอนก็ไม่ได้นั่งก็ไม่ได้
โต๊ะแป๊ะ กาลัม ดี ตาโละบาเระ ..........โต๊ะแป๊ะจมที่อ่าวบาเระ
โต๊ะแป๊ะ กาลัม ดี กะอีสักกะอู ..........ว่ายน้ำขึ้นฝั่งที่สังกาอู้
มากัด นาซิ ตะมากัด ลาโลด..........กินข้าวก็กินไม่ลง
โต๊แป๊ะ บีนียัจ รูมัฮปลีเมา..........โต๊ะแป๊ะบนบาน “บ้านเจ็ดชั้น”
อีตู บารู โต๊ะแป๊ะ นะซารามัย..........โต๊ะแป๊ะจึงสบายตัว
ฯลฯ
เนื้อหาในบทเพลงนี้ นอกจากทำหน้าที่บันทึกรายชื่อสถานที่ต่าง ๆ ที่เป็นหลักฐานยืนยันได้ว่ามีชื่อสถานที่รอบเกาะเป็นภาษาอูรักลาโวยจหรือภาษามาเลย์ ซึ่งมาจากตระกูลภาษาเดียวกันแล้วยังกล่าวถึงประเพณีที่เป็นอัตลักษณ์ของอูรักลาโวยจ ได้แก่ ประเพณีการแก้บนด้วยบ้านเจ็ดชั้น หรือ “รูมัฮปลีเมา” สำหรับผู้ที่ป่วยหนักที่กล่าวถึงในบทเพลงท่อนสุดท้ายเมื่อต้องการจบเพลงว่า เมื่อโต๊ะแป๊ะอาการหนักมากก็จะบนว่าถ้าหายป่วยจะสร้างบ้านจำลองเจ็ดชั้นถวาย หลังจากนั้นโต๊ะแป๊ะก็สบายตัวขึ้น และยังแสดงให้เห็นว่าการขับเพลงของอูรักลาโวยจ จะเริ่มด้วยการไหว้ครู เช่น ในเพลงนี้กล่าวถึง “โต๊ะเบอแลบ บึรายุด” ซึ่งนั่งไกวชิงช้าไม้ (บึรานุย ปาปัน) อยู่ที่แหลมโตนด นอกจากนั้น ยังมีตำนานที่สัมพันธ์กับสถานที่ วัตถุและปรากฏการณ์ทางความเชื่ออื่นๆ
ตำนานโต๊ะอีซักกะอู อีซักกะอูเป็นภาษาชาวอูรักลาโวยจ แปลว่า เหงือกปลากะเบนยักษ์หรือปลาราหูเป็นที่มาของชื่อหมู่บ้านสังกาอู้ ซึ่งตั้งอยู่ริมทะเล ด้านหลังหมู่บ้านมีหินที่วางตัวซ้อนๆ กัน คล้ายเหงือกปลากระเบน ชาวบ้านเชื่อว่าบริเวณดังกล่าวเป็นที่สิงสถิตของโต๊ะอีซักกาอู ถัดจากปลายแหลมอีซักกะอู มาทางทิศตะวันตก ประมาณ 7-8 เมตร ไม่ไกลจากที่ตั้งชุมชน มีศาลอยู่หลังหนึ่ง ผู้สร้างศาลเล่าว่า “ครอบครัวตนเป็นครอบครัวแรกที่ย้ายจากบ้านหัวแหลมกลางมาอยู่สังกาอู้ก่อนที่จะสร้างบ้านโต๊ะอีซักกาอูมาเข้าฝันว่าถ้ามาอยู่ที่นี้ต้องตั้งศาลหลังหนึ่งด้วย ตนและครอบครัวจึงได้ตั้งศาลนี้ขึ้น และในทุก ๆ ปีจะมีการเซ่นไหว้วิญญาณโต๊ะอีซักกาอู โดยมีสมาชิกชาวเลอูรักลาโวยจในชุมชนมาร่วมด้วย (อาภรณ์ อุกฤษณ์, 2532 : 87)
ตำนานบ่อคุลีที่บ้านศาลาด่าน เดิมมีบ่อเล็ก ๆ คล้ายไห อูรักลาโวยจเรียกว่า“บ่อไห” หรือ “ตะลากา ตะปอกุลี” เล่ากันว่า หญิงพุงใหญ่ (ผู้หญิงท้องแก่) ที่ภูเก็ตอยากดื่มน้ำจากบ่อคุลีตามที่พบในฝัน จึงให้คนกรรเชียงเรือมาหา เมื่อผ่านมาเห็นแสงที่ปาตัยซาตัก (เกาะลันตา) จึงจอดเรือขึ้นเดินหาบ่อน้ำ และตักไปดื่มหลายบ่อแต่ไม่ใช่บ่อที่ต้องการ จนกระทั้ง ถึงบ่อคุลีตักให้กินจึงคลอดลูก (บูเด็น คบคน. สัมภาษณ์ : 18 กันยายน 2550 ; อ้างถึงใน อาภรณ์ อุกฤษณ์, 2554 : 190)
ตำนานต้นปาโว๊ะญาญี (ปาโวฮญาญี) เป็นต้นไม้ชนิดหนึ่ง เป็นที่มาของยางอำพันสีเหลืองที่ลอยมาจากทะเล มีลักษณะคล้ายหินฟองน้ำ มีกลิ่นเหม็น เชื่อกันว่า ต้นปาโว๊ะญาญีเป็นที่สิงสถิตของผีบรรพบุรุษตนหนึ่ง ดังนั้นในสมัยก่อนเมื่อถึง วันขึ้น 11 หรือ 12 13 ค่ำ ของทุกเดือน นอกจากชาวเลจะหว่านข้าวตอก และหมากพลู ใบจาก เพื่อเซ่นไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ต่าง ๆ ในทะเลแล้ว ยังเซ่นไหว้ผีบรรพบุรุษ ปาโว๊ะญาญีด้วย (เกม ช้างน้ำ และซาเย้ ทะเลลึก สัมภาษณ์ : 2530 ; อ้างถึงใน อาภรณ์ อุกฤษณ์, 2532 : 90)
ตำนานปลาดุยง (ดุหยง) หรือปลาพยูน เป็นปลาอีกชนิดหนึ่งที่ชาวเลอูรักลาโวยจนับถือ ตามตำนานเล่าว่า มีผู้หญิงท้องแก่คนหนึ่ง ซึ่งเป็นลูกคนสุดท้องของครอบครัว อยากกินสาหร่ายทะเลจึงบอกให้สามีดำน้ำลงไปเอามาให้ ปรากฏว่าสามีของนางจมหายไปใต้ท้องทะเล หญิงผู้นั้นจึงกระโดดน้ำตามลงไปแล้วจมหายลงไปอีก กลายเป็นปลาพยูน ซึ่งมีนม มีมือ และมีเท้าคู่หนึ่งสำหรับว่ายน้ำ ดังนั้นลูกหลานชาวเลจึงนับถือปลาพยูน โดยเฉพาะลูกสาวคนสุดท้องห้ามกินปลาพยูนเด็ดขาด นอกจากนั้นชาวเลยังใช้น้ำตาปลาพยูนทำยาเสน่ห์ได้ด้วย(อาภรณ์อุกฤษณ์, 2532 : 90)
ตำนานคลื่นเจ็ดลูก หรือ “รูมัก ตูโยะ” เป็นตำนานหนึ่งที่น่าสนใจ เล่าสืบทอดกันมาจากบรรพบุรุษของอูรักลาโวยจเกาะลันตาและเกาะปูว่า เมื่อครั้งโบราณมีคลื่นยักษ์เจ็ดลูกซัดขึ้นมาท่วมเกาะต่าง ๆ อูรักลาโวยจวิ่งหนีขึ้นไปบนยอดเขาเกาะปูและรอดชีวิตมาได้ด้วยการยึดเกาะต้นหญ้า จนกระทั่ง “พระพุทธบาท” (พระพุทธเจ้า) มาห้ามทะเล อีกสำนวนเล่าว่าเกาะลันตาถูกคลื่นยักษ์ เจ็ดหน่วย(ลูก) ซัดน้ำท่วมเกาะจมอยู่ใต้น้ำ เหลือแต่เขาเกาะปูเพียงศอกเดียว จนกระทั่งดาโต๊ะดามั้ย (พระพุทธเจ้า) สั่งให้คลื่นหยุด ปรากฏว่ามีคนรอดเพียงคนเดียว คือคนที่วิ่งขึ้นไปบนยอดเขาเกาะปู และจับหญ้าตีนกาไว้ ปัจจุบันที่ช่องเภาช่วงน้ำลดจะเห็นรอยหยักของคลื่น 7 ลูก (อาภรณ์ อุกฤษณ์, 2554 : 193) หลังจากเกิดเหตุการณ์สึนามิตำนานคลื่นยักษ์ที่กำลังจะเลือนหายไปกลับฟื้นคืนกลับมาเล่ากันใหม่ พร้อมกับมีการตั้งข้อกังขาต่อกันอีกว่าคลื่นยักษ์ครั้งนี้เพิ่งจะมาเพียง 3 ลูก เท่านั้น ยังไม่ครบ 7 ลูก
หลังคลื่นยักษ์สึนามิ ยังมีเรื่องเล่าในกลุ่มอูรักลาโวยจอีกเรื่องหนึ่งว่ามีปลาวาฬตัวหนึ่งมาเข้าฝันโต๊ะหมอฮูเด็นสามคืนติดกันเพื่อขอความช่วยเหลือ วันรุ่งขึ้นคนแห่กันไปดูปลาวาฬที่มาเกยตื้น ที่โหนหน้าเปรว (เนินทรายหน้าสุสาน) โต๊ะดาเอ๊ะอูรักลาโวยจที่แข็งแรงมาก ว่ายน้ำเวียนไปขึ้นหลังปลาวาฬ ปีนขึ้นไปบนหัว ไหว้กาด ทำพิธีปัดรังควาญ เมื่อโต๊ะดาเอ๊ะลงจากหลัง ปลาวาฬปลาก็ขยับครีบขยับคอถอยหลังลงน้ำไป แต่คนจีนกับมุสลิมบ้านหัวแหลมกลางตามมาจับปลาวาฬตัวนั้น โดยใช้เรือ 2 ลำ ลากปลาวาฬเข้าฝั่งที่บ้านหัวแหลมกลาง แล้วเชือดแล่เนื้อเอาไปขายที่ตรังและนครศรีธรรมราช กระดูกเอาไปฝัง เชื่อกันว่า ปลาวาฬตัวนั้นเป็นตัวการทำให้เกิดสึนามิเพื่อลงโทษ เพราะสึนามิทำลายเฉพาะที่บ้านหัวแหลมกลาง แต่ที่สุสานอูรักลาโวยจไม่ถูกทำลาย (อาภรณ์ อุกฤษณ์, 2554 : 193) จากการที่อูรักลาโวยจดั้งเดิม เป็นสังคมชนเผ่าอยู่รวมกันเป็นกลุ่ม ดังที่พวกเขาเปรียบเปรยกันเองว่า “อูรักลาโวยจเราอยู่กันเหมือนฝูงลิง ไปไหนไปด้วยกัน” (อาภรณ์ อุกฤษณ์, 2554 :193) ชีวิตไม่ยุ่งยากซับซ้อนทำให้มีเวลาว่างที่จะถ่ายทอดและจดจำตำนานเรื่องเล่าสืบต่อกันมา จนถึงปัจจุบันโดยเฉพาะเรื่องคลื่นยักษ์ แม้จะเป็นตำนานที่มีการต่อเติมเสริมแต่ง แต่อ้างอิงเรื่องราวจากประสบการณ์จริงบางส่วน ซึ่งบรรพบุรุษของพวกเขาเคยประสบมาในอดีต
ตำนานดังกล่าวยังเป็นหลักฐานยืนยันได้ว่า อูรักลาโวยจเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ที่มีการเข้ามาตั้งถิ่นฐานในบริเวณพื้นที่แถบนี้มายาวนานจนกระทั่งสามารถสั่งสมเรื่องราวและสร้างตำนานความเชื่อในลักษณะของชื่อบ้านนามเมืองไว้มากกว่ากลุ่มอื่น ๆ
อย่างไรก็ตาม แม้ปัจจุบันวิถีชีวิตของอูรักลาโวยจยังคงผูกพันกับตำนานความเชื่อที่สืบทอดอัตลักษณ์ดั้งเดิมไว้มากมาย แต่ขณะเดียวกันก็มีตำนานอีกหลายเรื่องที่บ่งบอกว่าได้ผ่านกระบวนการหยิบยืมและนำศาสนาความเชื่อและเรื่องราวของผู้คนต่างกลุ่มวัฒนธรรมบนเกาะลันตา ที่ปฏิสัมพันธ์ด้วยมาผสมผสานจนกลืนกลายเป็นอัตลักษณ์ของกลุ่มด้วย
นิทาน (Folk tale)
นอกจากตำนานดังกล่าวแล้วนั้น จรัส ง๊ะสมัน (2534,, 119-206) ได้ศึกษาและบันทึกข้อมูลนิทานชาวเลอูรักลาโวยจ เกาะอาดัง เกาะหลีเป๊ะ เกาะบูโหลนใหญ่ (เกาะบูโหลนเล) และเกาะบูโหลน (เกาะบูโหลนดอน) จังหวัดสตูล ไว้ถึง 82 สำนวน แบ่งเป็น 5 ประเภทได้แก่ นิทานประเภทคติ 14 เรื่องประเภทอธิบาย 9 เรื่อง ประเภทมุขตลก 39 เรื่องประเภทความเชื่อ 16 เรื่อง และประเภทภูมินามหรือกำเนิดสถานที่ 4 เรื่อง และจากนิทานชาวเล จังหวัดสตูลทั้ง 82 เรื่อง ได้วิเคราะห์ถึงภาพสะท้อนสังคมและวัฒนธรรมที่ปรากฏในเนื้อหา ดังเช่น
ความเป็นมาของกลุ่มชน จากเรื่อง ม่วงทองปากกรัง หาดทรายดำ หินเชี่ยน ลักหมากและประไหมสุหรี ครอบครัวประชากร จากเรื่อง ผีทอดแห ไปซาบ กูจะกินมึง วัดรอย อ้ายบอด นางเรือ ได้ของดี ฯลฯ การปกครอง จากเรื่อง แม็ดคอซา หวังขี้คร้าน นกยาง จงกับเสือ จับยักษ์ ฯลฯ เศรษฐกิจ จากเรื่อง ผีทอดแห ผีตกเบ็ด ชักเบน เมียเพื่อน คุ้ยบังคุ้ย ขุดไข่เต่า ลูกปูด ฯลฯ การคมนาคม จากเรื่อง หลามใหญ่คลื่นสามพี่น้อง ปลาใหญ่ บ่าวอินเดีย ฯลฯ การศึกษาและภูมิปัญญา ไม่ได้สะท้อนให้เห็นระบบการศึกษาในโรงเรียนอย่างเด่นชัดแต่นิทานสะท้อนให้เห็นการศึกษาเพื่อเรียนรู้ระเบียบของสังคม การศึกษาคุณธรรมจริยธรรม จากเรื่อง หวังกอดนอ จงกับเสือ นายพราน ได้ของดี ขอทาน เภตรา สามเขย ร้อยเจ็ดปาเหนา ฯลฯ นอกจากนั้น นิทานชาวเล ยังสะท้อนด้านภาษา การอนามัยและสาธารณสุข ศาสนาความเชื่อ ประเพณี ศิลปะและนันทนาการ